Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 622 : พันธสัญญาชั่วคราว

ราชันเร้นลับ 622 : พันธสัญญาชั่วคราว

เมื่อตระหนักว่าคำพูดของอมิรุส·รีเวลต์เป็นประโยคบอกเล่า มิใช่คำถาม หน้าผากบิลต์พลันผุดเหงื่อเม็ดใหญ่เย็นเฉียบ

มันพะงาบปาก คล้ายต้องการอธิบายบางสิ่ง แต่กลับลงเอยด้วยการคุกเข่าลงหนึ่งข้าง ละล่ำละลักท่ามกลางแรงกดดันมหาศาล

“ท…ท่านนายพล! คนเร่ร่อนรายนั้นเสียชีวิตอย่างกะทันหันจากอาการป่วย ผมจึงต้องหานักผจญภัยที่มีพลังแปลงโฉมมาทำงานแทนขอรับ”

ในทางกลับกัน ไคลน์มิได้ตึงเครียดอะไรนัก เพราะพลเรือเอกอมิรุส·รีเวลต์ตระหนักถึงตนได้ตั้งแต่งานเลี้ยงแล้ว เรื่องที่บิลต์มากับผู้วิเศษจึงมิใช่สิ่งแปลกใหม่ในสายตาอีกฝ่าย ในเมื่อยังกล้านัดพบโดยปราศจากความเกรงกลัว ก็แปลว่า พลเรือเอกแห่งกองทัพเรือรายนี้มิได้แยแสว่าบิลต์จะพาใครมาทำงาน

ไม่กังวลเลยสักนิด… คงเป็นความมั่นใจของครึ่งเทพ หรือไม่ก็ เส้นทางของเขามีลักษณะเฉพาะในการหยั่งถึงอันตรายล่วงหน้า…

ไคลน์ฝืนเงยหน้า จ้องพลเรือเอกที่กำลังมองกลับมาทางตน

“แข็งแกร่งพอตัว” อมิรุส·รีเวลต์แสดงความเห็นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

มันหันไปจ้องบิลต์พลางกล่าว

“อย่าได้นำลูกไม้ใต้โต๊ะที่คุณถนัดมาใช้กับผม บนโลกใบนี้ คนธรรมดาและผู้วิเศษมีจุดยืนแตกต่างกันมาก ตัวผมที่เป็นผู้บังคับใช้กฎ ย่อมสามารถจำแนกได้ชัดเจนกว่าใคร”

ไม่ผิดจากที่คิด… จากข้อมูล นายพลเป็นคนชอบสอนสั่ง เราต้องจดบันทึกไว้ นี่คือบุคลิกใหม่ที่แตกต่างจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยสิ้นเชิง…

ไคลน์ก้มหน้ามองพื้นอีกหน เพราะมิอาจทนแรงกดดันจากอีกฝ่ายไหว

อมิรุส·รีเวลต์ขยับมาข้างหน้าหนึ่งก้าว

“ความผิดแรกของคุณคือการโกหกผม ความผิดที่สองคือการประมาทเลินเล่อ “ลองคิดตามให้ดี คนเร่ร่อนที่คุณลงทุนลงแรงไปมากมายได้เสียชีวิตลงอย่างกะหันทัน หลังจากนั้นก็มีนักผจญภัยที่สามารถแปลงโฉมปรากฏตัวต่อหน้าทันที …ไม่คิดบ้างหรือว่ามันบังเอิญเกินไป”

ใช่ บังเอิญเกินไป…

ไคลน์เกือบจะเปล่งเสียงตาม

หากไม่ใช่เพราะมิติหมอกยืนยันว่าภารกิจนี้ปลอดภัย มันคงเกิดข้อกังขาว่า โชคชะตาของตนอาจถูกสัตว์ในตำนานหรือสมบัติวิเศษระดับ 0 คอยชักนำเข้าอีกแล้ว

เมื่อบิลต์ได้ยินประโยคดังกล่าว รูม่านตาพลันหดลีบเท่าหัวเข็มหมุด สติเริ่มกระจ่างแจ่มชัด

มันพบว่า จิตใจของตนในช่วงก่อนหน้านี้มีเพียงความหวาดกลัวอัดแน่นเต็มเปี่ยม ประหนึ่งคนใกล้ตายที่ดิ้นรนคว้าเส้นฟางเพื่อเอาชีวิตรอด หลงลืมความรอบคอบและประสบการณ์ที่สั่งสมมาชั่วชีวิตจนหมดสิ้น ลืมคิดไปว่า เหตุการณ์เกี่ยวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เต็มไปด้วยความบังเอิญมากเพียงใด!

ในวันแรกที่นักผจญภัยเสียสติมาเยือนผับมะนาวหวาน คนเร่ร่อนซึ่งเตรียมไว้ก็ตายทันที!

ยิ่งบิลต์ใคร่ครวญ มันก็ยิ่งพบความไม่ปรกติของเหตุการณ์

เมื่ออมิรุส·รีเวลต์เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของบิลต์ มันผงกศีรษะแผ่วเบาด้วยบรรยากาศขึงขัง

“บิดาของผม อดีตเอิร์ลรีเวลต์ผู้ล่วงลับ เคยมอบคำสอนไว้ว่า : จงยกโทษให้กับความผิดพลาดครั้งแรกของผู้ใต้บังคับบัญชา “บิลต์… คุณต้องขอบคุณท่าน”

บิลต์เริ่มผ่อนคลาย ในใจเกิดความซาบซึ้ง

มันคิดไปแล้วว่า นายพลอมิรุส·รีเวลต์ บุคคลที่ใกล้เคียงเทพมากกว่ามนุษย์ จะลงมือประหารตนทันที นัยเพื่อตักเตือนนักผจญภัยทรงพลังที่รับภารกิจปลอมตัว บิลต์คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีเมตตายอมไว้ชีวิต

“ท่านเจ้าคุณ… ผ…ผม” บิลต์ตะกุกตะกัก

อมิรุสยังคงเคร่งขรึม กล่าวเสียงลุ่มลึก

“คำสอนของท่านยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง นั่นก็คือ : จงลงโทษอย่างเด็ดขาดเมื่อลูกน้องทำผิดพลาดซ้ำสอง บิลต์ คงทราบแล้วใช่ไหมว่าต้องทำตัวอย่างไรนับจากนี้”

บิลต์ที่กำลังคุกเข่าหนึ่งข้าง นำกำปั้นขวาทาบลงบนหน้าอกซ้ายจนเกิดเสียง

“กระผมขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านนายพลตลอดไป!”

อมิรุสพยักหน้า หันมาทางไคลน์

“ชื่ออะไร”

เอาตัวตนไหนดีครับ…

ไคลน์รำพันติดตลก มอบคำตอบเยือกเย็น

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”

ได้ยินเช่นนั้น อมิรุส·รีเวลต์ชะงักไปสองวินาที ประหนึ่งเวลาภายในห้องพัสดุถูกแช่แข็ง

ไคลน์เกิดความอึดอัดเหนือพรรณนา จนกระทั่งอมิรุสกล่าวออกมา

“คุณนี่เอง”

ไม่เอาน่าท่านเจ้าคุณ ผมเป็นแค่สายข่าวตัวเล็ก ๆ ของ MI9 เท่านั้น แถมยังไม่เคยเบิกค่าแรงเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่นำศีรษะโจรสลัดไปขึ้นเงินรางวัลผ่านออส·เคนท์…

ไคลน์พึมพำ ภายในใจเริ่มประหม่า

อมิรุสผงกหัว มองบิลต์และไคลน์พลางกล่าว

“ดำเนินการตามแผนเดิม แต่ต้องทำพันธสัญญา”

พันธสัญญา…?

ไคลน์ฝืนเผชิญสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขาม

อมิรุสไม่อธิบายเพิ่มเติม เพียงหยิบปากกาและกระดาษที่เตรียมไว้ออกมาเขียน

ทุกครั้งที่จรดปลายปากกา ตัวหนังสือจะแผ่แสงสีทองสว่าง ประหนึ่งกำลังเขียน ‘กฎ’ ลงไป

ไคลน์หรี่ตาลง ทัศนวิสัยเริ่มพร่ามัว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลงอีกครั้ง

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ อมิรุสหยุดการขีดเขียน หยิบกระดาษยื่นมาทางไคลน์

“ลงนามด้านล่างสุด”

“หากไม่พอใจกับเงื่อนไข จะไม่เซ็นก็ไม่ว่า”

ใครมันจะไปกล้า…

ไคลน์รำพัน สายตาชำเลืองบิลต์ที่ลุกขึ้นยืนและเดินไปหยิบกระดาษมาให้

เนื้อหาบนกระดาษไม่ซับซ้อน ส่วนมากเป็นข้อห้ามที่มิให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์กระทำขณะอยู่ในร่างอมิรุส·รีเวลต์ ประกอบด้วย ห้ามจงใจเปิดเผยความจริง ห้ามนำตำแหน่งนายพลไปสร้างความเสื่อมเสียให้กับอมิรุส ห้ามใกล้ชิดกับมาดามซินเธียมากเกินไป รวมถึงข้อห้ามอื่น ๆ

คาดไม่ถึงว่าคนใหญ่คนโตระดับนี้จะหึงหวงภรรยารองบนเกาะห่างไกล… นายพลอมิรุสคงเป็นพวกหัวเก่ากระมัง… แต่ไม่ต้องกังวล เราก็ไม่ใช่คนแบบนั้นเหมือนกัน…

ไคลน์เก็บงำความสงสัย เอ่ยปากถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งเป็นคำถามเชิงวิชาการ

“…แล้วต้องทำอย่างไร หากมาดามซินเธียพยายามทำตัวใกล้ชิดกับผม”

ความนัยที่แฝงมาด้วยก็คือ จะต้องทำตัวอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่เกิดความสงสัย

“เรื่องนั้นไม่เป็นไร” อมิรุสกล่าวหน้านิ่ง “หากอยู่ระหว่างพันธสัญญา ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเธอ คุณจะหมดความรู้สึกทางเพศโดยสิ้นเชิง ร่างกายไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าในเรื่องดังกล่าว”

ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ… เป็นพันธสัญญาที่ทรงพลังชะมัด… นอกจากพันธสัญญาของโลกวิญญาณ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นพันธสัญญาของจริง ยิ่งไปกว่านั้น ฉบับโลกวิญญาณต้องพึ่งพาพลังจากโลกแห่งความตาย แต่ฉบับของนายพลไม่ต้องพึ่งพาพลังภายนอก… นี่คือพลังระดับครึ่งเทพของพลเรือเอกอมิรุสแห่งกองทัพเรือโลเอ็น?

เป็นของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ ใช่ไหม?

ไคลน์กวาดตาอ่าน จนกระทั่งพบว่าสัญญามีอายุห้าวัน

เขามั่นใจว่าจะกลับทันภายในห้าวัน หรือเป็นเพราะพลังในปัจจุบันสามารถร่างพันธสัญญาได้เพียงห้าวัน…?

ไคลน์อ่านรายละเอียดอย่างชัดเจนอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้น เขียนชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์ลงไป

เมื่อจรดอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ มันเห็นตัวหนังสือบนพันธสัญญาลอยขึ้นทีละหนึ่ง หลั่งไหลมารวมกันเป็นก้อนแสงสีทองอร่าม

ท่ามกลางความเจิดจ้า กระดาษหายวับไปกับความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว คล้ายหลอมรวมเข้ากับกฎของโลกใบนี้โดยสมบูรณ์

หมองมายาล่องหนรอบตัวไคลน์สั่นกระเพื่อมแผ่วเบา ชายหนุ่มสัมผัสได้ชัดเจนว่า ตนถูกรายล้อมด้วยกฎที่ห้ามฝ่าฝืนจำนวนหลายข้อ

จากนั้น พลังแห่ง ‘กฎ’ ได้แผ่ซ่านเข้าไปในร่างกายอย่างท่วมท้น หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างวิญญาณและจิตใจ

หมอกสีเทาสามารถกีดขวางการบิดเบือนโชคชะตาในระดับสูงจากภายนอก แต่มิอาจกีดขวางพันธสัญญาที่เราลงนามด้วยตัวเอง… ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะถ้ากีดขวางสำเร็จ เราก็จะทำสัญญากับผู้ส่งสารไม่ได้…

ไคลน์หันไปมองอมิรุส·รีเวลต์

พลเรือเอกตรงหน้ายังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศองอาจและน่าเกรงขาม ทันใดนั้น แผ่นยันต์สีทองเข้มพลันปรากฏบนฝ่ามืออีกฝ่าย

ผิวยันต์มีสัญลักษณ์ของ ‘ดาบพิพากษา’ และอักขระเวทมนตร์มากมายสลักเรียงรายเป็นระเบียบ ประหนึ่งข้อความในหนังสือประมวลกฎหมายอาญาก็มิปาน

“นี่คือยันต์ระดับสูงที่สร้างจากหลายปัจจัย ประกอบด้วยเลือดของผม ประมวลกฎหมายจากยุคสมัยที่สี่และสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ของราชวงศ์” อมิรุสเล่าหน้านิ่ง “ชื่อของมันคือ ‘กฎหมายที่เก้า’ เพียงถ่ายพลังวิญญาณลงไปเล็กน้อย กลิ่นอายรอบตัวคุณจะเปี่ยมด้วยอำนาจแบบเดียวกับผมทุกประการ เป็นยันต์ที่คนทั่วไปก็สามารถใช้งานได้ หากไม่มีสิ่งนี้ คุณคงปลอมตัวเป็นผมได้ลำบากมาก”

ถูกต้อง เราทำได้แค่คัดลอกบุคลิกภาพ สายตา และบรรยากาศอย่างผิวเผิน ไม่มีทางสำแดงกลิ่นอายเฉพาะตัวของครึ่งเทพได้…

ไคลน์เริ่มหายใจทั่วท้อง

อมิรุสเล่าต่อ

“ด้วยพลังปัจจุบันของคุณ คงสามารถทนรับผลข้างเคียงจากการใช้พลังเต็มประสิทธิภาพของยันต์ชนิดนี้ได้เช่นกัน หากถ่ายพลังวิญญาณและท่องคาถา คุณจะบังคับให้เป้าหมายอยู่ในกฎได้ชั่วคราว เป็นการสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาล ดังนั้น ถึงแม้จะถูกครึ่งเทพตัวจริงทดสอบ แต่คุณก็สามารถใช้สิ่งนี้ข่มขวัญกลับไปได้ หากเสร็จงานโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และยันต์แผ่นนี้ไม่ถูกใช้งาน มันจะจะกลายเป็นของคุณ อายุขัยคือหนึ่งปี”

…? ไคลน์ถึงกับผงะ ภายในใจกำลังตะลึง

หากกล่าวถึงยันต์ระดับสูง นับตั้งแต่ ‘ยันต์เพลิงสุริยัน’ ซึ่งสร้างจากตราศักดิ์สิทธิ์สุริยันที่ถูกบิดเบือนในเมืองทิงเก็น นี่เป็นชนิดที่สองที่ไคลน์มีโอกาสได้ใช้งาน

แม้วัตถุประเภทนี้จะมีอายุขัยจำกัด และใช้งานได้เพียงหนเดียว แต่ข้อดีก็คือ พวกมันไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง อาจได้รับภาระทางร่างกายและพลังวิญญาณบ้างเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ยันต์เหล่านี้มีปริมาณไม่มากเนื่องจากความซับซ้อนในกระบวนการผลิต

สมกับเป็นครึ่งเทพ ใจกว้างกว่าบิลต์มาก…

นั่นสินะ… การติดสินบนคนเร่ร่อนและเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ค่าใช้จ่ายคงเทียบไม่ได้กับการจ้างนักผจญภัยระดับพลเรือโจรสลัด…

ขณะไคลน์ครุ่นคิดอย่างมีความสุข มันยื่นมือออกไปรับยันต์ระดับสูงนามว่า ‘กฎหมายที่เก้า’

จากนั้น ชายหนุ่มเห็นอมิรุสปลดกางเกงลง

ความเงียบสงัดปกคลุมบรรยากาศหนึ่งอึดใจ ก่อนที่ไคลน์จะเริ่มได้สติ รีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองโดยพยายามไม่เปลี่ยนสีหน้า

เพียงไม่นาน คนทั้งสองก็สลับเสื้อผ้ากันเสร็จ ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบนายทหารเรือสีกรมท่าที่ถูกรีดจนเนียนกริบ

เมื่อเห็นบิลต์และอมิรุสเดินออกไปในสวนด้วยช่องทางลับ ไคลน์บรรจงติดกระดุมอย่างพิถีพิถันพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดและจันทราสีแดง กระจกที่เคยใสกลายเป็นกระจกเงา สะท้อนให้เห็นสภาพร่างกายปัจจุบันอย่างเลือนราง

เส้นผมดำขลับหวีเรียบ ดวงสีฟ้าเข้มค่อนไปทางน้ำเงิน มุมปากหย่อนยานเล็กน้อย ใบหน้าปราศจากหนวดเครา บรรยากาศรอบตัวองอาจน่าเกรงขาม สวมเครื่องแบบสีกรมท่า ติดริบบิ้น และอินทรธนูสีทองบนบ่า

ไคลน์ขยับปากพึมพำ

“นับแต่นี้ไป เราคือพลเรือเอก”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset