ท่ามกลางพายุทอร์นาโดโหมกระหน่ำ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเปรียบดังใบไม้ไร้ทิศทาง พร้อมจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ
ในสภาพปัจจุบัน มันมิอาจตอบสนองใดๆ ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงการพูดคุย ทำได้เพียงอาศัยความแข็งแกร่งทางร่างกายของ ‘อัศวินวินัย’ เพื่อต้านรับความเสียหายอันหนักหน่วง และภาวนาให้ไม่สูญเสียแขนขาหรือสมองไปกับพายุทอร์นาโดอันทรงพลัง
เดิมที มันเข้าใจว่าการล่าประสบความสำเร็จแล้ว รอเพียงทริสซี่ถูกจับกุม และมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีผู้ช่วย ความสนใจของมันจึงมุ่งไปยังเชอร์มาเน่โดยไม่ระวัง แต่กลับกลายเป็นว่า มันถูกลอบจู่โจมทีเผลอ ดำดิ่งสู่ก้นหลุมพรางที่ไม่คาดคิด
เมื่อพบว่าพายุทอร์นาโดเริ่มอ่อนกำลังลง และตัวเองเพิ่งได้รับความเสียหายอย่างจังจากการกระแทกแค่ครั้งเดียว ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ในจุดอื่น ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพยายามควบคุมร่างกายตัวเอง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในยกถัดไป
ทันใดนั้น ศีรษะของมันรู้สึกปวดแปลบกะทันหัน คล้ายกับว่ามีมีดคมๆ เสียบเข้าไปและคนกวนสมองสองสามครั้ง
ความรู้สึกเช่นนี้ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดทั้งคุ้นและไม่คุ้นเคย เพราะแม้มันจะไม่เคยลิ้มรสด้วยตัวเอง แต่เคยก็ ‘กระทำ’ กับผู้อื่นหลายครั้งพลางสังเกตท่าทีตอบสนองของเหยื่อ
นี่คือหนึ่งในพลังที่มันชำนาญที่สุด:
ทะลวงจิต!
โครม!
เนื่องจากถูกโจมตีซ้ำ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่ยังปรับสภาพร่างกายไม่ได้ ร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนไม้กางเขนสีทองแดงกระดำกระด่างหลุดมือและกระเด็นไปบนพื้นหลายเมตร
กึก กึก กึก ซิลถือมีดเหมันต์พร้อมกับปรี่เข้าหาไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่กำลังมึนงงด้วยความเร็วสูง
สำหรับฟอร์ส ก่อนที่ซิลจะพุ่งเข้าหาศัตรู เธอรีบพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ไปยังแผ่นกระดาษที่มีผิวเหมือนหนังสัตว์
หลังจากลูบไล้ปลายนิ้วลงบนกระดาษ เงาดำรอบๆ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา รวมตัวกันกลายเป็นโซ่สีดำหลายเส้นและพันธนาการร่างเหยื่อ
แม้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจะฟื้นคืนสติได้หลายส่วน แต่ยังไม่ทันจะได้เลือกเป้าหมายสำหรับ ‘ลงทัณฑ์’ และตั้งกฎบางอย่างให้กับสภาพแวดล้อม มันถูกปิดตายอิสรภาพโดยสมบูรณ์อีกครั้ง แม้กระทั่งปากก็ถูกผนึกแน่น
ตรวนนรก!
ตรวนนรกของผีดูดเลือดหรือผู้วิเศษเส้นทางจันทราในลำดับกลาง!
ฟอร์สที่เคยใช้งานมาแล้วครั้งหนึ่ง เกิดติดใจพลังชนิดนี้มาก เพราะเธอมองว่าตรวนนรกมีอรรถประโยชน์หลากหลายในการต่อสู้ ในภายหลังจึงว่าจ้างให้มิสเตอร์มูนที่กลายเป็นไวเคาต์ ช่วยบันทึกมันลงไปเรื่อยๆ
บึ้ม!
ทันใดนั้น ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดระเบิดพลังที่มันไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน บดขยี้ตรวนนรกจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
มันเลือกใช้พลัง ‘ลงทัณฑ์’ ไปกับตรวนนรกที่พัฒนาการตัวเอง!
แต่ในวินาทีเดียวกัน ซิลพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายประหนึ่งหัวรถจักรไอน้ำที่วิ่งเต็มกำลัง จ้วงแทงมีสามคมสีใสในมืออย่างชำนาญ
ท่ามกลางเสียงเนื้อถูกเสียบ มีดเหมันต์ทะลวงเข้าไปในช่องท้องส่วนล่างของเป้าหมาย
ร่างของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพลันแข็งทื่อ แววตาเริ่มหมองคล้ำ ลำตัวไม่ขยับเขยื้อนราวกับกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง
ซิลปล่อยมือออก ทิ้งให้มีดเหมันต์คาอยู่ในท้องของหัวหน้าราชองครักษ์ คล้ายกับต้องการให้วิญญาณอาฆาตภายในมีดช่วย ‘สิง’ ร่างอีกฝ่าย ปิดผนึกการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์
ทันทีหลังจากนั้น ซิลง้างหมัดและชกเข้าไปที่กกหูของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ภายใต้แรงปะทะอันหนักหน่วงสองครั้ง ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดหมดสติโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้อง ร่างกายทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลังจากปล่อยหมัด ซิลฝากให้ฟอร์สช่วยจัดการต่อ ส่วนเธอวิ่งผ่านไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่มีมีดเหมันต์ปักอยู่ในท้อง ตรงไปหาเชอร์มาเน่ที่ยังคงนั่งบนลังไม้
ฟอร์สพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ อีกครั้ง ใช้พลังสายพันธนาการเพื่อผนึกไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดให้แน่นิ่งยิ่งกว่าเก่า จากนั้นก็เดินออกจากแนวลังไม้ที่ซ่อนตัว ขยับเข้าไปใกล้ไม้กางเขนสีทองแดงกระดำกระด่าง
ฉากเมื่อครู่ทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจ วัตถุชิ้นนี้ต้องเป็นสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพ หรือตามหลักของผู้วิเศษทางการ มันควรถูกเรียกว่า ‘สมบัติปิดผนึกระดับ 1’
และเนื่องจากได้เห็นไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดถือมันพร้อมกับใช้งานเป็นเวลานาน ฟอร์สเชื่อว่าผลข้างเคียงด้านลบคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในทันที สามารถลองหยิบจับขึ้นมาทดสอบได้
แน่นอน ในฐานะอดีตโหราจารย์ที่ย่อยโอสถสมบูรณ์ ระหว่างทางที่เดินไป ฟอร์สควักลูกแก้วคริสตัลออกมาทำนายดวงอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอันตราย…” ฟอร์สชำเลืองมองผลลัพธ์ ตามด้วยเร่งฝีเท้า
ขณะเดียวกัน ซิลวิ่งมาถึงด้านหน้าเชอร์มาเน่และยืนมองเพื่อนของตนที่สวยขึ้นจนผิดหูผิดตา หมดคำจะกล่าวไปสักพัก
ในสายตาซิล สภาพปัจจุบันของเชอร์มาเน่เข้าขั้นวิกฤติ
เส้นผมของแม่มดรายนี้ล้วนชี้ขึ้นทุกทิศในลักษณะจับกลุ่มหนา ดูคล้ายกับงูตัวเล็ก
สุดปลาย ‘งู’ ตัวเล็กๆ เหล่านี้ บ้างมีตาโต บ้างอ้าปากกว้าง ทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัว
บนใบหน้าของเชอร์มาเน่ ลวดลายลึกลับสีดำผุดขึ้นจากผิว จากนั้นก็แพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายอย่างรวดเร็ว
ดวงตาที่ค่อนข้างเหม่อลอยของหญิงสาวเริ่มสะท้อนใบหน้าซิล สติค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด เกิดขึ้นพร้อมกับความสับสนและเจ็บปวด
เธอเปิดปากพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ซิล… ฉันเจ็บปวด…”
ดวงตาของซิลพลันพร่ามัว
เธออาจจะมีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับไม่มาก เพราะแทบไม่เข้าใจบทสนทนาของสมาชิกชุมนุมทาโรต์เลย คนเหล่านั้นเอาแต่พูดถึงสิ่งมีชีวิตระดับสูงและเรื่องเข้าใจยากๆ และทางคนของ MI9 ก็เอาแต่ป้อนข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรลับนอกรีต แต่อย่างน้อย ซิลก็ยังพอจะมีความรู้ด้านการคลุ้มคลั่ง – สำหรับผู้วิเศษไร้สังกัด นี่คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น ซิลจึงพอจะทราบว่า สภาพปัจจุบันของเชอร์มาเน่คือภาวะเริ่มต้นของอาการคลุ้มคลั่ง ไม่สามารถย้อนกลับได้อีกแล้ว มีแต่จะทวีความโหดร้ายขึ้นทุกขณะ
ทางด้านเชอร์มาเน่เองก็ดูเหมือนจะยอมรับสภาพ สูดลมหายใจเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขื่นขมและกล่าวด้วยความยากลำบาก
“ฆ่าฉัน… บาปของฉันมีมากเกินไป… และฉันก็… ทำตามความฝัน… สำเร็จแล้ว”
น้ำตาของซิลไหลอาบสองแก้ม รีบลงมือโดยปราศจากความลังเล ตวัดมือชักอาวุธสำรองซึ่งเป็นปืนลูกโม่แสนธรรมดากระบอกหนึ่ง
ปากกระบอกถูกเลื่อนไปยังกึ่งกลางหน้าผากเชอร์มาเน่
เชอร์มาเน่ยิ้มด้วยดวงตาสดใสและเปี่ยมเสน่ห์
“ได้โปรด… เรียกฉันว่า… เชอร์มาเน่…”
“เชอร์มาเน่” ใบหน้าซิลบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม ดวงตาพร่ามัวสถานหนัก
ปัง! ปัง! ปัง!
เธอเหนี่ยวไกอย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยกระสุนในโม่ให้พุ่งตรงออกไป
เลือดเนื้อสีแดงฉานบานสะพรั่งราวกับกุหลาบ
ฟอร์สที่ได้เห็นฉากดังกล่าว เม้มปากเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
สองวินาทีถัดมา เธอถอนหายใจยาว ก้มลงหยิบไม้กางเขนสีทองแดงกระดำกระด่าง
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสวัตถุ คล้ายกับมือถูกไฟลวก ปวดแสบปวดร้อนราวกับวิญญาณถูกแผดเผา
ฟอร์สชักมือกลับตามสัญชาตญาณ ภายในใจเต็มไปด้วยคำถาม
เธอจำได้แม่นยำว่า ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดไม่เคยแสดงอาการเช่นนี้
ท่ามกลางกระแสความคิด ฟอร์สชำเลืองไปทางไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเล็กน้อย ตามด้วยเตะไม้กางเขนสีทองแดงไปหาซิลที่อยู่ไม่ไกล
“เธอลองดูหน่อย… นอกจากนั้น พวกเราต้องรีบเผ่นจากที่นี่ ความวุ่นวายเมื่อครู่ต้องดึงดูดผู้วิเศษของทางการแน่นอน! และยังมี ‘คนส่งข้อความ’ ที่ยังไม่รู้จุดประสงค์นั่นอีก!”
ซิลที่มีดวงตาแดงก่ำ ไม่ได้กล่าวคำใด เพียงโน้มตัวก้มหยิบไม้กางเขนทองแดง โดยที่ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอมิได้แสดงอาการทุรนทุรายให้เห็น
เห… ฟอร์สไม่เสียเวลาถามถึงเหตุผล รีบเดินไปทางไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่กำลังตัวแข็ง เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความระมัดระวัง
ซิลวางไม้กางเขนทองแดงลง หยิบร่างของเชอร์มาเน่ขึ้นมาและเดินไปหาไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
“วัตถุชิ้นนั้นมีมูลค่าสูงมาก… สถานะของหมอนี่ก็เช่นกัน… เราจะถูกตามล่าจากราชวงศ์แน่นอน หากไม่หาวิธีกลบเกลื่อนร่องรอยและแทรกแซงผลการทำนาย” ฟอร์สก้มหน้ามองไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด พึมพำพลางใช้ความคิด
เธอคิดไวทำไว ยกมือขึ้นและก้มหน้าลง ท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูล
เธอเชื่อว่า ต่อให้ทิ้งไม้กางเขนทองแดงไว้ที่นี่และหนีไป ทางราชวงศ์ก็คงไม่หยุดตามล่าเพียงเพราะพวกเธอเป็นมดปลวกไร้ค่า ดังนั้น ฟอร์สสลัดความลังเลและวิงวอนขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลโดยตรง
สำหรับเธอแล้ว ต่อให้ต้องสังเวยไม้กางเขนให้มิสเตอร์ฟูล ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ที่นี่
แทบจะในเวลาเดียวกัน เธอเห็นเทวทูตศักดิ์สิทธิ์ที่มาพร้อมกับปีกเพลิงสิบสองคู่บนแผ่นหลัง
ภาพมายาของนางฟ้าร่อนลงจากด้านบน โอบกอดเธอและซิลด้วยปีกเพลิงทีละชั้น
จนกระทั่งฉากดังกล่าวเลือนหายไป ขณะฟอร์สเตรียมกล่าวบางสิ่งกับซิล ร่างกายของเธอพลันสั่นสะท้านโดยไม่ทราบสาเหตุ รับรู้ได้ถึงความสยดสยองและชั่วร้ายที่พรั่งพรูออกจากความว่างเปล่า
เธอหรี่ตาลงทันที หมอบลงพร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งคว้าน่องของซิล ส่วนอีกข้างคว้าร่างไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ขณะเดียวกัน บนสร้อยข้อมือที่มีรอยไหม้ซึ่งฟอร์สกำลังสวม หินสีน้ำเงินเข้มเม็ดสุดท้ายพลังส่องสว่างด้วยแสงมายาสีนวล
เพียงพริบตา ร่างของฟอร์ส ซิล ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด และเชอร์มาเน่ ต่างแปรเปลี่ยนเป็นสีใส ก่อนจะหายไปจากจุดดังกล่าว
ผ่านไปสองสามอึดใจ ทั้งหมดออกจากเขตท่าเรือและโผล่ในบริเวณรอบนอกของเขตนักบุญจอร์จ
ระหว่างนั้น ฟอร์สฉวยโอกาสใช้พลังของนักบันทึก และประสบความสำเร็จในการคัดลอกพลัง ‘เทเลพอร์ต’ ของนักท่องเที่ยว
หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ และตระหนักว่าพวกตนกำลังอยู่ในป่าบนภูเขาลูกหนึ่ง ฟอร์สปล่อยมือที่จับซิลและไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด จากนั้นก็เหยียดตัวตรง
“ด้วยพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล พวกเราคงไม่เป็นอะไรแล้ว และ ‘ผู้ส่งข้อความ’ ก็คงล็อกตำแหน่งของเราไม่ได้” ฟอร์สถอนหายใจโล่งอก กล่าวด้วยเสียงเจอความกลัว “คนที่เตรียมปรากฏตัวในตอนสุดท้ายน่าจะมีระดับไม่ต่ำกว่านักบุญ… โชคดีที่เราหนีออกมาเร็ว”
ซิลค่อยๆ วางร่างเชอร์มาเน่ลง ครุ่นคิดสักพักและกล่าว
“แต่ถ้าคนที่ฝากข้อความเป็นคนเดียวกับที่คอยจับตามองเชอร์มาเน่ หล่อนคงรู้จักบ้านของเราแล้ว… ตอนนี้ยังไม่ควรกลับไป”
“อา… คงต้องเปลี่ยนที่อยู่” ฟอร์สกล่าวอย่างชำนาญ พลางหันไปมองไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดที่อยู่ในสภาพหมดสติและตัวแข็งทื่อ “เธอลองสอบสวนหมอนี่ดู ทุกวินาทีมีค่ามาก”
ขณะกล่าว ฟอร์สยื่น ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ให้ซิลพร้อมกับเตือน
“ในนี้บันทึกพลังอ่านใจเอาไว้ ต้องใช้คู่กับแสงเทียน… เริ่มด้วยคำถามง่ายๆ และไม่สำคัญ อีกฝ่ายจะได้ลดแนวป้องกันลง”
ซิลรับสมุดเวทมนตร์ด้วยสีหน้าขึงขัง แต่ข้อมือเกิดสั่นระริกกะทันหัน ส่งผลให้ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ หลุดมือ
แปะ!
เมื่อเห็นสมุดบันทึกปกสีเขียวขี้ม้าหล่นลงบนพื้น ซิลขมวดคิ้วและกล่าว
“ร้อน… เหมือนไฟ…”
ฟอร์สเคยมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อน เธอไตร่ตรองสักพักก่อนจะคาดเดา
“ลองวางไม้กางเขนนั่นลงและจับใหม่”
ซิลทำตามคำแนะนำ โดยคราวนี้จับ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ได้โดยไม่มีปัญหา
“มันปฏิเสธสมบัติวิเศษชิ้นอื่น…” ได้เห็นฉากเมื่อครู่ ฟอร์สสร้างข้อสรุป
ซิลมิได้สนใจกับปัญหา รีบนำเทียนไขออกมาจุด
จากนั้น เธอดึงมีดเหมันต์ออกจากท้องหัวหน้าราชองครักษ์ ปลดปล่อยมันจากภาวะแข็งทื่อและเฉื่อยชา
รอจนกระทั่งไวเคาต์วัยกลางคนเริ่มได้สติกลับมา ซิลพลิกสมุดไปยังหน้ากระดาษหนึ่ง
ดวงตาไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพลันล่องลอย เหลือทิ้งไว้เพียงแสงเทียนไขบนกระจกตา
“ทำไมเชอร์มาเน่ถึงพยายามเข้าหาคุณ” ซิลถามในสิ่งที่เพิ่งนึกออก
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบกลับอย่างล่องลอย
“เธออยากจะรู้ว่า แท้จริงแล้วผมภักดีกับใคร”
ซิลผงะเล็กน้อย ถามตามสัญชาตญาณ
“แล้วคุณภักดีกับใคร?”
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบเชื่องช้า
“ต้องเป็นฝ่าบาทแน่นอนอยู่แล้ว”
…………………………..