Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 615 : หมอกสีเทา

ราชันเร้นลับ 615 : หมอกสีเทา

ขณะจัสติส·ออเดรย์กำลังทักทาย เฮอร์มิท·แคทลียายังคงทำตัวเหมือนทุกครั้ง เพียงเฝ้ามองจากวงนอกอย่างใจเย็น ไม่แสดงท่าทีสนอกสนใจมากนัก ประหนึ่งยังเป็นเพียงคนนอกชุมนุม

หญิงสาวนั่งมองจัสติสและเมจิกเชี่ยนก้มหน้าเขียนไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เพื่อจ่ายหนี้ที่เคยติดค้างกับเดอะฟูล จากนั้น แคทลียาเหลือบมองไปทางเก้าอี้ประธานชุมนุม แต่สายตายังคงมิอาจทะลวงผ่านม่านหมอกสีเทาเข้าไปได้ เห็นเพียงเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายเสกขึ้นมา

หลังจากรับไดอารีจักรพรรดิโรซายล์สามหน้ามาถือ ไคลน์ไม่รีบร้อนก้มหน้าอ่านตามปรกติ ส่วนหนึ่งเพราะมันเพิ่งได้ใกล้ชิดกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 วัตถุที่เป็นถึง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางกงล้อโชคชะตา แถมยังข่มขู่อีกฝ่ายให้หวาดกลัว ดังนั้น ไม่ว่าเนื้อหาในไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์จะน่าตื่นเต้นสักเพียงใด แต่ก็คงมิอาจสร้างความตกตะลึงให้ได้มากนัก

นอกเสียจาก เขาจะถูกแม่มดบรรพกาลอวยพรและได้รับสิทธิ์ให้เป็นหญิงชั่วคราว…

ไคลน์รำพันติดตลก กวาดตามองไปรอบโต๊ะทองแดงยาวเล็กน้อย

หืม… ความอยากรู้อยากเห็นของมาดามเฮอร์มิทแตกต่างจากมิสจัสติสกับมิสเมจิกเชี่ยน คล้ายกับเธอให้ความสนใจในตัวไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์เป็นพิเศษ…

ไคลน์เบือนหน้ากลับ บันทึกสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ไว้ในความทรงจำ ตามด้วยการก้มหน้าอ่านแผ่นกระดาษหนังสีน้ำตาลในมือ

“22 เมษายน พวกเราพร้อมแล้วที่จะเข้าไปสำรวจนรก!”

“23 เมษายน พวกเราแล่นเรือไปตามร่องน้ำทะเลสีดำสนิท ผ่านกลุ่มหมอกของเหลวเข้มข้น จนไปถึงยอดเขาที่มีลักษณะคล้ายสัตว์ประหลาด ถัดจากภูเขาเต็มไปด้วยสายหมอกสีดำไร้ขอบเขตที่ดูราวกำลังแผ่ปกคลุมทั้งผืนทวีป เมื่อก้มมองลงจากยอดเขา เราอดคิดไม่ว่าก้นเหวด้านล่างอาจไม่มีสุดสิ้นสุด ยังหันไปเล่นมุกกับเอ็ดเวิร์ดว่า หากฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงไป เกรงว่าอาจมิได้ตายเพราะร่างกายกระแทกพื้น แต่จะค้างอยู่ในสภาพ ‘ร่อนลง’ จนกระทั่งแก่ตาย”

อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์เกือบหลุดขมวดคิ้ว เพราะเป็นการยากที่จะให้เชื่อว่า จักรพรรดิโรซายล์บ้าบิ่นถึงขั้นพาจตุรอาชาและลูกเรือของตน เสี่ยงชีวิตเข้าไปสำรวจภายในนรก!

ไม่กลัวตายเลยหรือ… หากเราจำไม่ผิด เพียงบรรยากาศด้านในนรกก็มากพอจะกัดกร่อนทุกสรรพสิ่งจนสิ้นซาก ไม่มีทางที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้… โรซายล์ในขณะนั้นยังไม่ใช่ครึ่งเทพด้วยซ้ำ อย่างมากก็ลำดับ 5 หรืออาจน้อยกว่า… ถ้าเป็นเราคงหันหัวเรือกลับทันที และรายงานเรื่องดังกล่าวให้โบสถ์ทราบ…

เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตนกับโรซายล์

ยิ่งไปกว่านั้น สภาพแวดล้อมของ ‘นรก’ ที่จักรพรรดิโรซายล์อธิบาย ทำให้ไคลน์หวนนึกถึงบานประตูปริศนาในสุสานตระกูลอามุนด์

เป็นบานประตูที่หุ่นกลของฮารามิค·ไฮเดิน อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำ เอื้อมมือสัมผัส

โรซายล์ค้นพบอะไรในนรก… แต่อย่างน้อย เขาก็มิได้ตายระหว่างการสำรวจ เพราะช่วงชีวิตหลังจากนั้นยังคงเต็มไปด้วยความสุดโต่ง…

ไคลน์ก้มหน้าลง อ่านส่วนที่เหลือของไดอารีแผ่นแรกให้จบ

“24 เมษายน พวกเราลงจากภูเขา พยายามสำรวจให้ลึกกว่าเดิม”

“หมอกสีดำโดยรอบทั้งเย็นเฉียบและเหนอะหนะ คล้ายกับมีฤทธิ์ทำให้เปียกชุ่มไปถึงแก่นของดวงวิญญาณ ฮะฮะ… แต่โชคดีว่าสมบัติบางชิ้นบนเรือ ‘บัลลังก์มืด’ สามารถป้องกันการกัดกร่อนในลักษณะนี้ได้ ไม่อย่างนั้น บรรดาจตุรอาชาและเราคงได้กลายเป็นกลุ่มอันเดดลีเจี้ยนนานแล้ว”

“ที่นี่เงียบมาก พวกเราไม่พบสิ่งใดเลย”

“25 เมษายน พวกเราได้พบกับปีศาจสักที แต่มาในรูปแบบของศพเน่าเปื่อย”

“พวกเราพบศพปีศาจกระจัดกระจายเต็มทั่วทุกซอกมุม ไม่ว่าจะเป็นด้านหลังหินก้อนใหญ่สีดำสนิท หรือบนทางเดินโคลนที่ยากจะเรียกว่าถนน รวมไปถึงทุกจุดที่คาดไม่ถึงว่าจะมี”

“ราวกับพวกมันทั้งหมดเสียชีวิตพร้อมกัน และด้วยสาเหตุการตายเดียวกัน”

“26 เมษายน พวกเรายังไม่พบอะไรนอกจากศพปีศาจและความเงียบงัน”

“สมบัติวิเศษในบัลลังก์มืดเริ่มส่งสัญญาณการถูกกัดกร่อน”

“เราไม่เคยเกิดความหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาหลายปีแล้ว ที่นี่มอบความรู้สึกคล้ายกับถูกฝ่ามือล่องหนบีบรัดหัวใจจนอึดอัด”

“ต้องรีบกลับทันที! อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!”

เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? โรซายล์หนีรอดจากนรกอย่างราบรื่น หรือเจออะไรเข้ากลางทาง? ฉากที่นรกโรซายล์บรรยายหมายถึงอะไร?

เกิดสงครามขึ้นที่นั่นอย่างกะทันหัน?

ไคลน์รีบพลิกไปถัดไปด้วยความคาดหวัง แต่น่าเสียดายที่มันมิได้ต่อเนื่องจากของเก่า

“8 พฤษภาคม แบร์นาแดตที่น่ารักของเรามีอายุครบสองขวบแล้ว! ยิ่งโตก็ยิ่งน่ารัก เธอสืบทอดพันธุกรรมของเราและแม่เด็กไปอย่างสมบูรณ์”

“เมื่อได้ยินแบร์นาแดตเรียกว่าพ่อ เมื่อได้เห็นความน่ารักสดใสของเธอ เราเกิดความพึงพอใจและความยินดีอย่างน่าประหลาด”

“สารภาพตามตรง นับตั้งแต่เดินทางข้ามโลก เราเคยผ่านเรื่องราวมากมาย บ้างก็น่าละอาย แต่เราไม่นึกเสียใจที่ได้ทำลงไป เพราะตามสันดานแล้ว เราเป็นพวกยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่อยู่ มักถูกสิ่งเร้ารอบตัวกระตุ้นได้ง่ายดายเสมอ ฮะฮะ… ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญกับ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ของเส้นทางปีศาจ ไม่อย่างนั้น จากรายละเอียดที่บันทึกไว้ในเอกสารลับของโบสถ์ เรามั่นใจว่าตัวเองจะถูกเส้นทางดังกล่าวเล่นงานได้ง่ายกว่าคนปรกติ บางทีอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ตายทันที”

“ถึงเราจะไม่มีความผูกพันกับโลกใบนี้สักเท่าไร แต่พ่อแม่ของโลกนี้เลี้ยงดูเราเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ต้องการตอบแทนให้พวกท่านเกิดความภาคภูมิใจ”

“แต่เรารู้จักตัวเองดี ความรู้สึกที่มอบให้พวกเขามิได้แน่นแฟ้นอะไรนัก เช่นเดียวกับความรู้สึกที่มีต่อมาทิลด้า เป็นความผูกพันและหน้าที่มากกว่าความรักใคร่”

“เรามองโลกนี้ด้วยมุมมองที่คล้ายกับเกม RPG เสมือนจริงมาคลอด ไม่ว่าจะบุพการี ภรรยา พี่น้อง หรือมิตรสหาย ทุกคนเป็นเพียง NPC จืดชืด เราแทบไม่เคยใส่อารมณ์และความรู้สึกลงไป เป็นสาเหตุให้กล้าเข้าร่วมงานเลี้ยงผิดศีลธรรมบ่อยครั้งโดยไม่เกิดความตะขิดตะขวงใจ กล้าปฏิบัติตัวต่อคนแปลกหน้าอย่างเลือดเย็น ประหนึ่งกำลังเล่นเกม ‘ดิ·เอลเดอร์·สกอลล์’ (The Elder Scroll) ที่ต้องฆ่าคนทั้งหมู่บ้านเพียงเพราะไก่ตัวเดียว”

“แต่หลังจากแบร์นาแดตลืมตาดูโลก เราพบว่าตัวเองผูกพันกับที่นี่มากขึ้น มิได้โดดเดี่ยวและอ้างว้างเหมือนเมื่อก่อน”

“นี่คือลูกของเรา… เธอเป็นเด็กที่มีชีวิตจิตใจ”

“หรือจะเป็นเพราะความคิดของเรา ‘เติบโต’ ขึ้นจากวัยหนุ่ม?”

เราที่ไม่มีลูก คงเข้าไม่ถึงความรู้สึกดังกล่าว… ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่แฟนก็ยังหาไม่ได้…

แต่ทำไมโรซายล์ถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นในช่วงสุดท้ายของชีวิต… เห็นที เราคงต้องคอยตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แม้เหตุการณ์นี้จะยังไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่า ในอนาคตจะไม่เกิดขึ้น… ยิ่งมีลำดับสูงก็ยิ่งห่างไกลความเป็นมนุษย์ และเข้าใกล้ความเป็นเทพ…

ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เปิดไปยังหน้าที่สามของไดอารี

“6 มกราคม ขึ้นปีใหม่ เริ่มต้นศักราชใหม่ หลังจากเลื่อนลำดับเป็น ‘ช่างฝีมือ’ เราก็มีโอกาสได้สร้างสิ่งนั้นสักที! ถาดเงินลึกลับตามความทรงจำของเราสมัยโลกเก่า! บางที มันอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยไขปริศนาการเดินทางข้ามโลก! “อันที่จริง หลังจากกลายเป็น ‘นักปราชญ์’ ความทรงจำในอดีตและโลกเก่าของเราคมชัดขึ้นจากเดิมมาก ภาพของถาดเงินและลวดลายประหลาดบนผิวจึงไม่มีจุดใดตกหล่น แต่น่าเสียดาย การทดลองสร้างในครั้งแรกประสบความล้มเหลวไม่เป็นท่า 9 มกราคม หลังจากเผชิญความผิดพลาดหนแล้วหนเล่า ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ!”

“เราทดลองโดยการถือถาดเงินไว้และถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปกระตุ้น ผลลัพธ์ก็คือ ทัศนวิสัยของเราถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่คล้ายกับสายหมอกสีเทาไร้สิ้นสุด แต่ก็ไม่มากไปกว่านั้น เป็นความล้มเหลวที่เกิดจากตัววัสดุ หรือเป็นเพราะความบกพร่องในบางขั้นตอน? 10 มกราคม จากความทรงจำก่อนเดินทางข้ามโลก เรามั่นใจว่า ถาดสีเงินในมือไม่มีความแตกต่างจากในอดีตแม้แต่จุดเดียว รวมไปถึงวัสดุและพิธีกรรม แต่จนแล้วจนรอด เราก็ยังไม่ได้เห็นอะไรมากไปกว่าหมอกประหลาดสีเทา ถ้าแม้แต่วิธีนี้ยังไม่สำเร็จ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ? เราตัดสินใจล้มเลิกความพยายามและทำลายถาดเงินทิ้ง บางที หลังจากได้เป็นผู้วิเศษลำดับสูง หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ อาจมีมุมมองในการตีความสิ่งนี้ต่างไปจากเดิม อาจได้พบความลับบนลวดลายพิสดาร และหาทางกลับโลกเดิมได้ในที่สุด ดีละ! เป้าหมายต่อไปคือครึ่งเทพ! เราต้องกลายเป็นพระเอกของโลกใบนี้!”

หมอกสีเทา…? หลังจากจักรพรรดิพยายามถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในถาดเงินที่สร้างจำลองจากโลกเก่า เขามองเห็นหมอกสีเทาไร้สิ้นสุด!

ไคลน์หรี่ตาลงและก้มหน้า

ปัจจุบัน ปลายเท้าของมันกำลังเต็มไปด้วยสายหมอกสีเทาไร้สิ้นสุด!

หรือว่า… สาเหตุการเดินทางข้ามโลกของเราและจักรพรรดิ จะเกี่ยวข้องกับมิติหมอกแห่งนี้? แต่ทำไมเราถึงเข้ามาได้ แต่จักรพรรดิไม่ได้?

พิจารณาจากข้อมูลในไดอารีช่วงปั้นปลายชีวิตโรซายล์ จักรพรรดิยังไม่ค้นพบความลับของถาดเงิน ไม่อย่างนั้น ในวาระสุดท้ายที่ไม่มีใครให้พึ่งพิง คงมีการเอ่ยถึงมิติหมอกแห่งนี้บ้าง…

ไคลน์เงยหน้า สายตามองออกไปด้านนอกพระราชวังโบราณ

มันยังจำได้แม่นยำ ในส่วนลึกของมิติหมอกจะมีขั้นบันไดแสง โดยต้องพึ่งพา ‘ลำดับ’ ในการเดินขึ้นไปแต่ละขั้น

บันไดดังกล่าวมีขนาดใหญ่ราวกับถูกสร้างให้คนยักษ์ใช้งาน ปลายทางของมันคือชั้นหมอกสีเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ความลับในการเดินทางข้ามโลกของเรากับจักรพรรดิโรซายล์คืออะไรกันแน่…

ไคลน์เสกให้ไดอารีหายไป เหยียดหลังตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“เชิญ”

เดิมที เดอะซัน·เดอร์ริคมีแผนจะประกาศซื้อสูตรโอสถลำดับ 6 ที่ต่อจาก ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ เตรียมไว้ล่วงหน้า แต่หลังจากอาวุโสโลเฟียร์ถูกปล่อยตัว เด็กหนุ่มต้องพับเก็บความคิดดังกล่าวไปก่อน ตอนนี้ปรารถนาจะอธิบายเรื่องราวให้ทุกคนฟัง จากนั้นก็รอรับคำแนะนำที่มีประโยชน์

เมื่อประเมินว่าปัจจุบันยังเป็นช่วงเวลาค้าขาย เดอร์ริคฝืนระงับความอัดอั้น รอคอยอย่างใจเย็นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด

เดอะซันน้อยมีบางสิ่งในใจ… เกิดอะไรขึ้นกับเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ…

จัสติส·ออเดรย์ถอนสายตากลับพลางครุ่นคิด แต่มิได้ซักถามออกไป

ถึงตรงนี้ อัลเจอร์มองไปรอบตัวและกล่าว

“ผมต้องการซื้อสูตรโอสถนักขับขานสมุทร”

เป็นอย่างที่คิด เขาเลื่อนเป็นลำดับ 6 ‘ข้ารับใช้วายุ’ เรียบร้อยแล้ว… แต่แฮงแมนเป็นคนของโบสถ์วายุสลาตันไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงถามหาสูตรโอสถ ‘นักขับขานสมุทร’ จากคนนอกโบสถ์? โดยทั่วไปแล้ว การใช้คะแนนผลงานแลกเปลี่ยนนั้นสะดวกกว่ามาก… เขากำลังปิดบังลำดับพลังตัวเองจากโบสถ์วายุสลาตัน หรือแสร้งหลอกทุกคนที่นี่ว่าตนเป็นสมาชิกของโบสถ์?

เฮอร์มิทผุดข้อสงสัยมากมาย แต่สุดท้ายเพียงพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน

“ดิฉันจะช่วยดูให้”

เมื่อเห็นการตอบสนอง อัลเจอร์หันไปถาม

“มาดาม คุณต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด ผมจะได้สืบหาข้อมูลเตรียมไว้ล่วงหน้า การแลกเปลี่ยนในอนาคตจะได้ไม่ติดขัด”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset