Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 596 : เบาะแส

ราชันเร้นลับ 596 : เบาะแส

ท่ามกลางวังหรูหราที่รายล้อมด้วยเสาหินต้นใหญ่มากมาย ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้สีดำพนักสูง ปลายนิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว ในใจกำลังตัดตัวเลือกที่พลเรือเอกดวงดาวเสนอออกไป

เหตุผลไม่ซับซ้อน มันแทบไม่มีความสัมพันธ์กับโบสถ์สุริยันเจิดจรัสเลย ยากจะติดต่อหาใครมาช่วยเหลือ ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ไคลน์เคลือบแคลงว่า ‘ผู้เจิดจรัส’ อาจไม่ทรงพลังพอที่จะขจัดจิตกัดกร่อนออกจาก ‘ดวงตาดำล้วน’ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เดอะเฮอร์มิทเสนอวิธีดังกล่าวโดยอ้างอิงจากตะกอนพลังที่ปนเปื้อนของผู้คลุ้มคลั่งทั่วไป มิใช่การถูกกัดกร่อนจากพระผู้สร้างแท้จริงโดยตรง

ในทางปฏิบัติ เราคงไม่สามารถหาเทวทูตหรือเทพแท้จริงมาช่วย ‘ทำลาย’ ตะกอนพลังให้แตกละเอียดได้…

ในทางทฤษฎี เราสามารถทำนายถึง ‘สุริยันเจิดจรัส’ บนมิติสายหมอก และอาศัยพลังตอบสนองของอีกฝ่ายเพื่อทำลายดวงตาดำล้วนให้กลายเป็นเศษผง…แต่ปัญหาคือ ทางนั้นเคยมีประสบการณ์กับมิติสายหมอกมาแล้ว หนนี้อาจถึงขั้นบุกรุกมิติเหนือสายหมอกสำเร็จ และช่วงชิงอำนาจการปกครองไปจากเรา…ผลลัพธ์ไม่คุ้มเสี่ยงเลยสักนิด…

หรือต่อให้อีกฝ่ายบุกรุกไม่สำเร็จ แต่เราก็ไม่มั่นใจว่าจะควบคุมพลังที่ตอบโต้กลับมาอย่างฉับพลันได้ทัน ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะใช้วิธีใดเบี่ยงเบนความเสียหายไปยังดวงตาดำล้วนแทนตัวเรา…

อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ การทำนายถึงสุริยันเจิดจรัสไม่ใช่เรื่องง่าย เราเคยทำได้ในอดีตเพราะมีสื่อกลางอย่าง ‘ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยัน’ ที่บรรจุโลหิตเทพ เหมือนกับเมื่อครั้ง ‘ใบหูสีดำ’ ที่ถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อน ปัจจุบัน หากนับเฉพาะสื่อกลางในมือ เราจะติดต่อได้เพียง ‘มิสเตอร์ประตู’ และ ‘ปราชญ์เร้นลับ’ รายหนึ่งกระทำผ่านเสียงเพรียกขอความช่วยเหลือที่มิสเมจิกเชี่ยนได้ยิน ส่วนอีกรายกระทำผ่านพิธีกรรมที่พลเรือเอกดวงดาวพยายามไล่ล่าความรู้…

แต่ติดปัญหาเดียวกับข้อด้านบน เรายังไม่ทราบวิธีเบี่ยงเบนพลังตอบสนองไปยังดวงตาดำล้วน มิสเตอร์อะซิกยังฟื้นฟูพลังได้ไม่เต็มที่ วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา ยังไม่คลอดจากครรภ์มารดา เมื่อลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ไม่มีเทวทูตตนใดช่วยเหลือเราได้… เราเองก็ไม่ได้รู้จักครึ่งเทพสักเท่าไรอยู่แล้ว…จริงสิ…ยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกในระดับเทวทูต นั่นคือวิญญาณมารของราชาเทวทูต·เมดีซีที่ถูกผนึกในอาคารโบราณใต้ดินในกรุงเบ็คลันด์…

แต่จุดมุ่งหมายของมันยังเป็นปริศนา ไม่มีทางเดาได้เลยว่ากำลังวางแผนชั่วร้ายอะไรอยู่ หากไม่จนปัญญาอย่างแท้จริง เราไม่มีวันให้มันช่วยเด็ดขาด… ใช่แล้ว… เราไม่ควรนำชีวิตตัวเองไปเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์ หากจนปัญญา ก็แค่ยอมปล่อยวางจากดวงตาดำล้วน กลับไปหาซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ตามปรกติ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นละอองของวิญญาณอาฆาต กับผลึกแก่นของกากอยล์หกปีก สำหรับชนิดแรก คงหาได้ไม่ยากในโลกแห่งความตาย ดูเหมือนว่า เราคงต้องหาซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถไปพลาง…

ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสอดส่องมองหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษได้เหมือนกับ ‘เส้นเลือดหัวขโมย’ เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว ถ้าเราใช้วิธีนี้โดยมีมิติสายหมอกสนับสนุน ก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังที่ช่วงชิงมาจะย้อนกลับไปหาดวงตาดำล้วน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เมื่อการช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วนสำเร็จ ก็แค่โยนวัตถุวิเศษทิ้งไว้บนมิติสายหมอก และประกอบพิธีกรรมนำดวงตาดำล้วนกลับมายังโลกจริง เพียงเท่านี้ วัตถุทั้งสองชนิดจะถูกกีดขวางในเชิงกายภาพโดยสมบูรณ์ จิตกัดกร่อนบนมิติสายหมอกจะมิอาจไหลย้อนมายังโลกความจริง แต่ปัญหาก็คือ เราจะหาวัตถุวิเศษชนิดดังกล่าวได้จากไหน… มิสเตอร์แฮงแมนมีท่าทีเงียบขรึมหลังจากได้อ่านข้อมูล…

เราอาจตีความได้ว่า ทางนั้นก็ไม่มีเบาะแสเหมือนกัน… ไว้ถึงชุมนุมทาโรต์ครั้งถัดไปเมื่อไร เราค่อยขอความช่วยเหลือจากเฮอร์มิท เดอะซัน จัสติส เอ็มลิน เมจิกเชี่ยน ให้พวกเขาสอบถามจากเครือข่ายส่วนตัว สำหรับสัปดาห์นี้ คงต้องพยายามด้วยตัวเองไปก่อน เริ่มจากการติดต่อพลเรือโทธารน้ำแข็ง ให้เธอสอบถามผู้ช่วยรองกัปตัน ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน ผู้มีความสามารถช่วงชิงพลังพิเศษเป้าหมาย บางทีเขาอาจทราบเบาะแสของสมบัติวิเศษบนเส้นทางเดียวกัน…

ไคลน์ตกตะกอนความคิดอย่างใจเย็น วางแผนระยะใกล้ ระยะกลาง ระยะยาว

ชายหนุ่มทำนายยืนยันระดับอันตรายเป็นครั้งสุดท้าย ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง ออกจากสภาพที่กำลังเอนกายบนเก้าอี้นอนพร้อมกับถือแก้วเครื่องดื่มและอ่านหนังสือพิมพ์

ถัดมา แท่นบูชาถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว

พิธีกรรมยังคงใช้เทียนไขสามเล่ม แต่จุดประสงค์ของเทียนไขแตกต่างออกไปจากปรกติ กระดาษสำหรับวาดสัญลักษณ์ถูกเปลี่ยนตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพปัญญาความรู้ เนตรแห่งปัญญาดวงหนึ่ง ซึ่งลอยเหนือหนังสือแนวนอนที่กำลังกางออก ไม่เพียงเท่านั้น กริชเงินของพิธีกรรมก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นกริชทองเหลือง

ในเชิงศาสตร์เร้นลับ ดวงดาวที่เกี่ยวข้องกับเทพปัญญาความรู้คือดาวสีฟ้า โลหะที่อยู่ในขอบเขตของดาวสีฟ้าคือทองเหลืองและปรอท

ไคลน์เตรียมตัวติดต่อพลเรือโทธารน้ำแข็งมาสักพักแล้ว พิธีกรรมวิญญาณสถิตจึงถูกจัดขึ้นอย่างชำนาญโดยไม่ต้องเสียเวลาหาวัสดุ เมื่อเตรียมการพื้นฐานเสร็จ ผงสมุนไพรถูกเผาจนเกิดกลิ่น ตามด้วยการหยดลาเวนเดอร์ สะระแหน่ และน้ำค้างบริสุทธิ์ลงไป

กลิ่นลึกลับอันสดชื่น น่าหลงใหล และเงียบสงบลอยฟุ้ง ไคลน์ก้าวถอยหลัง ปากขยับพึมพำคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ

“ข้าวิงวอนขอพลังแห่งความรู้ ข้าวิงวอนขอพลังแห่งเหตุและผล ข้าวิงวอนขอความสนใจจากเทพปัญญาความรู้ ข้าปรารถนาที่จะสื่อสารทางวิญญาณกับอาจารย์ผู้แสวงหาความรู้ นักวิจัยสัตว์วิญญาณ พลเรือโทธารน้ำแข็งแห่งท้องทะเล เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดแห่งลุนด์เบิร์ก”

หลังจากเสียงไคลน์ก้องกังวานไปได้สักระยะ บรรยากาศภายในแท่นบูชาเริ่มเย็นขึ้น ไม่ว่าจะกริชทองเหลืองหรือวัสดุชนิดอื่น ๆ เริ่มลอยขึ้นไปในอากาศ

สำเร็จ…! ฝันทองคำยังอยู่ไม่ห่างจากเราเกินห้าร้อยไมล์ทะเล…

ไคลน์เริ่มตื่นเต้น จากนั้นก็เห็นเปลวไฟบนเทียนไขทั้งสามเล่มยืดยาวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถูกย้อมด้วยสีเขียวซีด

ชายหนุ่มทราบหลักการของพิธีกรรมวิญญาณสถิตเป็นอย่างดี แก่นสำคัญคือการปล่อยสังขารตนเป็นอิสระ ยอมให้วิญญาณของเป้าหมายลงมาสถิตในสังขารแทน เกิดเป็นการเชื่อมต่อทางวิญญาณสมบูรณ์แบบที่ปราศจากการป้องกัน ในกรณีนี้ ไคลน์มีสิทธิ์ถูกอีกฝ่ายโจมตีได้ง่าย จึงต้องมีการทำนายถึงอันตรายล่วงหน้าไว้ก่อน โดยผลลัพธ์ระบุว่าไม่เลวร้ายนัก

เมื่อผนวกเข้ากับอุปนิสัยของพลเรือโทธารน้ำแข็งตามมุมมองของไคลน์ มันเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะมีเจตนาร้าย

ถึงจุดนี้ เสียงสายลมภายในกำแพงวิญญาณเริ่มหวีดร้องอย่างโศกเศร้า อากาศเย็นเฉียบที่มองไม่เห็นเริ่มรุกล้ำร่างกายอย่างท่วมท้น พยายามยึดครองสิทธิ์ในการควบคุมสังขาร

ทว่า ชายหนุ่มพลันประหลาดใจเมื่อพบว่าตนสามารถขัดขืนมิให้วิญญาณของเอ็ดวิน่าเข้ามาสิ่งร่าง และมีสิทธิ์จัดการกับดวงวิญญาณของเธอได้อย่างอิสระ

เกิดอะไรขึ้น…?

ขณะครุ่นคิด สายตาไคลน์เหลือบเห็นหมอกล่องหนอันเลือนรางรอบตัว

สำหรับหมอกล่องหนเหล่านี้ มันเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยเพิ่งเลื่อนลำดับเป็นผู้ไร้หน้าได้ไม่นาน เป็นหลักฐานยืนยันว่า มิติหมอกเริ่มส่งอิทธิพลกับโลกความจริงมากขึ้นทีละนิด

ชายหนุ่มรีบตัดสินใจโดยไม่ลังเล โบกแขนไปทางตู้เสื้อผ้าที่มีโค้ทยาวแขวนอยู่ โอนถ่ายพลังลึกลับและเย็นเฉียบตรงไปยังทิศทางดังกล่าว

ทันใดนั้น โค้ทสีดำตัวใหญ่ของไคลน์เริ่มเกิดการขยับเขยื้อน แขนเสื้อโบกขึ้นลงอย่างงุ่มง่ามประหนึ่งมีคนพยายามสวมใส่

ราวกับตรงนั้นมีมนุษย์ล่องหนยืนอยู่!

โค้ทดำที่ลอยตัวกลางอากาศเดินมาข้างหน้าราวสองก้าว จากนั้นก็หยุด

แขนเสื้อทั้งสองข้างไขว้กันเป็นรูปตัว ‘X’

หมายความว่ายังไง…?

ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเข้าใจความนัยที่พลเรือโทธารน้ำแข็งต้องการจะสื่อ

ไม่มีปาก พูดไม่ได้ ไม่มีมือ เขียนไม่ได้

ให้ตายสิ…

ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบกลับฉะฉาน

“ผมต้องการสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษ ไม่ทราบว่าคุณมีหรือไม่ หากไม่มี รบกวนถามผู้ช่วยรองกัปตันให้หน่อยได้ไหม ผมหมายถึง ‘หูกระต่ายบุปผา’ มิสเตอร์โจเดอร์สัน ส่งคำตอบโดยการเขียนใส่จดหมายและอัญเชิญผู้ส่งสารของผม”

เสื้อโค้ทสีดำเริ่มคลายแขนลง กลับไปแนบชิดข้างลำตัวอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง

ถัดมา ประหนึ่งวิญญาณล่องหนสลายไปกับความว่างเปล่า โค้ทสีดำของไคลน์หล่นลงพื้นโดยปราศจากแรงต้าน มิได้ตั้งตรงคงสภาพเหมือนเมื่อครู่

สรุปว่า ‘ตกลง’ ใช่ไหม?

ไคลน์ถอนหายใจเงียบ สิ้นสุดพิธีกรรม แขวนโค้ทสีดำกลับคืนราวผ้า ทำความสะอาดมันด้วยแปรงและผ้าเช็ดหน้า

ถัดมา ชายหนุ่มเขียนจดหมายถึงอะซิก สอบถามในประเด็นเดียวกัน

ไคลน์เป่านกหวีดทองแดง อัญเชิญผู้ส่งสาร หลังจากโครงกระดูกรับจดหมาย ชายหนุ่มพลันฉุกคิดถึงอีกหนึ่งช่องทางข้อมูลของตน

ไคลน์นำนกกระเรียนกระดาษออกจากกระเป๋าสตางค์ คลี่ออกอย่างระมัดระวัง เขียนด้วยดินสอ :

“ฉันจะหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษได้จากที่ไหน”

วางดินสอลง ไคลน์พับกระดาษกลับไปตามรอยเก่าจนคืนรูปทรงนกกระเรียน พลางชื่นชมฝีมือสุดแสนประณีตของตัวเองในใจ

ตกกลางคืน ไคลน์เข้ามิติหมอกไปตรวจสอบคำวิงวอนจากสาวกเทพสมุทร จากนั้นก็กลับสู่โลกความจริง เดินเข้าห้องน้ำและชำระล้างร่างกายด้วยน้ำอุ่นแสนสบาย

สิ่งนี้ช่วยให้ไคลน์หลับสนิททันทีเมื่อหัวถึงหมอน จนกระทั่ง ความฝันถูกใครบางคนบุกรุก

ภูมิประเทศในความฝันเป็นที่ราบ รกร้างว่างเปล่า และมียอดหอคอยสีดำเช่นเดิม ไคลน์เดินอย่างชำนาญผ่านประตูและกำแพงพิศวง จนมาถึงห้องลึกสุดด้านในหอคอย

ยังคงมีไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจายเช่นเคย ส่วนใหญ่ถูกกองรวมกันรอบพื้นยกสูงกลางห้อง ลักษณะคล้ายกำลังบอกใบ้บางสิ่ง

ในฐานะนักทำนาย มันตีความว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวหมายถึงความสับสนและขัดแย้ง

เหนือพื้นยกสูง ข้อความสีเงินเปลี่ยนไปจากคราวก่อน หนนี้มีด้วยกันสามประโยค

ประโยคแรก :

“ข้าเป็นเพียงทารกที่ยังไม่คลอด”

ไคลน์พลันชะงัก รู้สึกราวกับได้ยินเสียงทารกร้องกระจองอแงว่า ‘ได้โปรดอย่ารบกวนข้าอีก การสื่อสารด้วยวิธีนี้ทำให้ข้าเหนื่อยมาก’

ประโยคที่สองสั้นกระชับ

“เบาะแสอยู่ในตัวเจ้า”

ประโยคที่สาม :

“อย่าได้ถามว่าเบาะแสคือสิ่งใด เพราะข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”

หรือก็คือ วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา มองเห็นเบาะแสบางอย่างในตัวเรา แต่เห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นเบาะแสเกี่ยวกับอะไร… คำตอบเหมือนกับพวกนักต้มตุ๋น… ไม่สิ ไม่ควรนำนิสัยของตัวเองไปเทียบกับอสรพิษแห่งชะตา…

ไคลน์จดจำคำแนะนำ ออกจากความฝัน หลับสนิทอีกครั้งจนกระทั่งรุ่งสาง

เสร็จสิ้นอาหารเช้า มันเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเพิ่งประสบในช่วงหลัง มองหาเบาะแสที่วิล·อัสตินกำลังหมายถึง

ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณพลันถูกกระตุ้น ชายหนุ่มรีบเปิดเนตรวิญญาณสอดส่อง

โครงกระดูกสีขาวยังคงตัวใหญ่เหมือนเคย แต่มีความแตกต่างจากครั้งก่อน ศีรษะของมันมิได้เลยทะลุเพดานขึ้นไปตามปรกติ

สาเหตุเพราะว่า ผู้ส่งสารเริ่มปรากฏตัวจากชั้นล่าง ทำให้ร่างกายครึ่งบนอยู่ระดับเดียวกับห้องพักของไคลน์

อีกฝ่ายสบตาชายหนุ่ม นำจดหมายวางลงบนฝ่ามืออย่างมีมารยาท

เมื่อเห็นผู้ส่งสารหล่นลงไปด้านล่างในลักษณะคล้ายกับน้ำตกโครงกระดูก ไคลน์ยืนเงียบงันราวสองวินาที พึมพำด้วยน้ำเสียงขบขันเจือความโกรธเคืองเล็กน้อย

“มารยาทดีขึ้นนี่… เริ่มรู้จักกาลเทศะบ้างแล้วหรือ นับตั้งแต่ทราบว่าจะไม่ถูกส่งมาเป็นผู้ส่งสารประจำตัวเรา มันก็เปลี่ยนไปมาก…”

ไคลน์ถอนสายตากลับ คลี่จดหมายอ่านคำตอบจากมิสเตอร์อะซิกอย่างใจเย็น

“การขโมยพลังพิเศษคือลักษณะเฉพาะของเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ หากเป็นในยุคสมัยที่สี่ เส้นทางดังกล่าวจะอยู่ในความควบคุมของตระกูลอามุนด์ ตระกูลโซโรอาสเตอร์ และตระกูลเจคอป… แต่หลังจากสงครามสี่จักรพรรดิจบลง พวกเขาก็แทบไม่ปรากฏตัวอีกเลย กล่าวกันว่า สมาชิกบางส่วนของตระกูลข้างต้นจัดตั้งพันธมิตรขึ้น เรียกตัวเองว่า ‘ผู้สันโดษแห่งชะตา’ ผมจำรายละเอียดได้แค่นี้ คุณสามารถเริ่มสืบจากทายาทของทั้งสามตระกูลดังกล่าว”

อามุนด์… เข้าใจแล้ว ฉายา ‘ผู้เย้ยเทพ’ ได้เพราะพลังนี้เองหรือ… ตระกูลเจคอปคือหนึ่งในห้าตระกูลเทวทูตแห่งราชวงศ์ทูดอร์ ร่วมกันกับอับราฮัม อามุนด์ อันทีโกนัส และทามาร่า… ส่วนตระกูลโซโรอาสเตอร์มาจากจักรวรรดิโซโลมอน…

ผู้สันโดษแห่งชะตา…ชะตา…ผู้สันโดษ…เบาะแสอยู่กับตัวเรา…

ทันใดนั้น ไคลน์พลันเหยียดหลังตรง ในใจหวนนึกถึงสิ่งของชิ้นหนึ่ง

มันคือเข็มกลัดปริศนาที่ได้จากการรื้อค้นศพลาเนวุส ผิวเข็มกลัดสลักสัญลักษณ์ของ ‘ชะตา’ และ ‘การปกปิด’ ไว้อย่างชัดเจน!

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset