เพิ่งได้รับภารกิจเมื่อวานซืนแล้วไง… มันเกี่ยวอะไรกับการที่ฉันพบเบาะแสเป้าหมาย?
สหาย จะบอกอะไรให้ก็ได้ หากไม่ต้องเสียเวลารอวิล·อัสติน ‘อสรพิษแห่งชะตา’ มาเข้าฝันเพื่อไขความกระจ่าง ฉันคงมาหานายได้เร็วกว่านี้
ยี่สิบสี่ชั่วโมง!
นี่คือความแตกต่างของมืออาชีพ!
ไคลน์ตอบกลับด้วยเสียงเรียบ
“นายมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ฟังข้อมูล”
นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ สำลักคำพูดกลับเข้าไปในคอ กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
“ล…เล่ามา”
ไคลน์เล่าอย่างไร้อารมณ์ร่วม
“ฉันได้รับข้อมูลมาว่า รอย·คิงถูกกองทัพจับตัวไปอย่างลับ ๆ ปัจจุบันกำลังถูกคุมขังอยู่ในจวนนายกเทศมนตรีบายัม”
เป็นข้อมูลจากอาโรเดส… ชายหนุ่มเสริมในใจ
“ร…เรื่องจริงหรือ?” ดัควีลล์มิอาจเก็บซ่อนความคลางแคลง มันย้อนถามพลางหรี่ตาลง
ไคลน์พยักหน้า
“แหล่งข่าวของฉันเชื่อถือได้”
“แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน…” นักปรุงยาอ้วนออกท่าทางลังเล
“รอย·คิงถูกจับเนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับสมบัติปิดผนึกระดับสูงของโรงเรียนชีวิต”
ไคลน์อธิบายโดยไม่ปิดบัง
ดัควีลล์พลันผงะถอยหลัง เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลนลาน ด้วยกังวลว่าอาจมีใครได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้า
ทำไมถึงนำเรื่องแบบนี้มาพูดกลางถนน!
ข…เขาทราบว่าเรามาจากโรงเรียนชีวิต ทราบว่าตาแก่เกี่ยวข้องกับสมบัติปิดผนึกชิ้นสำคัญ… แม้แต่เราที่เป็นศิษย์ก็ไม่เคยรู้มาก่อน จนกระทั่งได้ติดต่อกันครั้งสุดท้าย…
ดัควีลล์เริ่มเชื่อข้อมูลจากปากนักผจญภัยปริศนาตรงหน้า
ไคลน์ชำเลืองนกฮูกตัวอ้วนที่บินลงจากหลังคาตึก เกาะบนหัวไหล่นักปรุงยาอ้วน
“จ่ายมา”
“ในเมื่อไม่มีหลักฐานพิสูจน์ ฉันคงเชื่อนายสนิทใจไม่ได้” ดัควีลล์ยืนกรานเสียงแข็ง
ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นสายตาของนักผจญภัยลึกลับ แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาที่มาพร้อมจิตคุกคามแผ่วเบา
นักปรุงยาอ้วนพลันตะกุกตะกัก รีบสำลักคำ
“ก…ก็ได้… อย่างน้อยนายก็ทำงานให้”
ด้วยสีหน้าเจ็บแปลบ มันล้วงหยิบเงินก้อนโตออกจากกระเป๋าชุดคลุมหมอผีสีเข้ม เงินสดมูลค่ารวมหนึ่งร้อยปอนด์ถูกนับและส่งให้ไคลน์
แม้จะเป็นผู้วิเศษเหมือนกัน แต่อาชีพหลักของมันคือนักปรุงยาและนักฝึกสัตว์ สมรรถภาพร่างกายมิได้สูงนัก ไม่เหมาะแก่การต่อสู้ ลำพังคนธรรมดาถือปืนยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้
สิ่งเดียวที่พอจะช่วยต่อสู้คือสัตว์วิเศษคู่กาย แต่ดัควีลล์กลับเลือกนกฮูกอ้วนที่แทบไม่มีพลังด้านต่อสู้เลย โดยในทางกลับกัน อีกฝ่ายคือนักผจญภัยลึกลับมากประสบการณ์และมีเครือข่ายข้อมูลกว้างขวาง อีกทั้งยังอาจเป็นผู้วิเศษเส้นทางต่อสู้ ฉะนั้น ถึงจะรุมสองต่อหนึ่งก็ไม่น่าจะเอาชนะได้ มีแต่ต้องทำตามที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น
เราก็ไม่ได้เก็บเงินเก่งสักเท่าไร…
ดัควีลล์ถอนหายใจยาว
ตามปรกติแล้ว เส้นทางนักปรุงยาจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเสมอ ยิ่งเป็นเกาะอาณานิคมก็ยิ่งร่ำรวยเป็นเท่าตัว ที่นี่เต็มไปด้วยโจรสลัด ลูกเรือ และนักผจญภัย กลุ่มลูกค้าหลากหลาย แถมการบังคับใช้กฎหมายก็ยังปวกเปียก มันสามารถแอบขายยาต้องห้ามได้โดยไม่ต้องกลัวถูกจับ ลำพังแขกจากโรคละครแดงตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ก็ช่วยสร้างกำไรให้มันเทียบเท่ากับการเก็บเงินบนแผ่นดินใหญ่ตลอดทั้งปี
แต่กระนั้น การเป็นผู้วิเศษย่อมมีค่าจ่ายใช้จ่ายบานปลาย เงินออมก่อนหน้าหมดไปกับโอสถ ‘นักฝึกสัตว์’ เรียบร้อย และปัจจุบันก็มีสัตว์วิเศษเพิ่มเข้ามาเป็นภาระ ต้องคอยซื้อโอสถให้ดื่ม รวมถึงการซื้อยันต์ป้องกันตัวอีกสองสามชนิด ส่งผลให้เหลือเงินเก็บเพียงไม่กี่ร้อยปอนด์
ไคลน์รับเงินสด ตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นจึงเก็บใส่กระเป๋าเสื้อและหันหลังเดินออกจากร้านขายสมุนไพรอย่างไม่แยแส
เมื่อเห็นแผ่นหลังอีกฝ่ายหายลับไปจากตรอก สีหน้านักปรุงยาอ้วนพลันจมดิ่ง
“ที่นี่อันตรายเกินไป ต้องรีบหนีไปให้ไกล!” มันพึมพำพร้อมกับรีบวิ่งกลับเข้าร้านสมุนไพร
ที่ด้านใน ดัควีลล์นำกระเป๋าเดินทางหนังสีน้ำตาลออกมาวาง รีบยัดเสื้อผ้านานาชนิด รวมถึงปึกธนบัตรที่ถูกพับอย่างดีเข้าไป
ปิดท้ายด้วย มันเทธนบัตรใบเล็กและเศษเหรียญหลากหลายสกุลออกจากกล่องเงินทอน ยัดใส่กระเป๋าเสื้อ หยิบบัตรประชาชนปลอมที่ซื้อมาในราคาแพง และถือกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเดินออกจากร้านสมุนไพร
ดัควีลล์ชะงักเล็กน้อย มองกลับไปยังสมุนไพรจำนวนมากที่ยังขายไม่หมด มุมปากเริ่มสั่นระริกด้วยความนึกเสียดาย
มันสูดหายใจยาว ยืนจ้องประตูร้านพลางเผยสีหน้าเจ็บแปลบ ก่อนจะกัดฟันเดินออกจากตรอก ขึ้นรถม้าเช่า ตรงไปยังสำนักงานขายตั๋วโดยสารเรือเดินสมุทร
“อันตราย… ที่นี่อันตรายเกินไป… ตาแก่ถูกจับเพราะสมบัติปิดผนึก… ถูกจับอย่างง่ายดาย..”
บนรถม้า ดัควีลล์เอาแต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมาด้วยร่างกายสั่นเทา
จนกระทั่งถึงสำนักงานขายตั๋ว มันจ่ายค่าโดยสารรถม้า เดินเข้าไปในโถงใหญ่ เลือกต่อแถวช่องซื้อบัตรโดยสารไปยังไบลัมตะวันออก
หายใจเข้า. หายใจออก.
ยิ่งแถวเริ่มสั้นลง ดัควีลล์ก็ยิ่งสูดลมหายใจหนักแน่นและเชื่องช้า
ต้องซื้อตั๋วรอบที่ออกเร็วที่สุด…
มันเน้นย้ำกับตัวเองจนคล้ายกับสะกดจิต
หยุดและเดิน. หยุดและเดิน.
บรรยากาศภายในสำนักงานขายบัตรโดยสารเงียบเชียบจนนักปรุงยาอ้วนรู้สึกกดดัน
สีหน้าของมันไม่เคยอยู่นิ่ง ประเดี๋ยวบิดเบี้ยว ประเดี๋ยวกลับมาเยือกเย็น วนเวียนหลายรอบจนนับไม่ไหว
จนกระทั่งเหลือลูกค้าข้างหน้าเพียงหนึ่งคิว ดัควีลล์ชะงักฝีเท้ากะทันหัน
…ไอ้โง่! แกมันโง่!
นักปรุงยาอ้วนสบถกับตัวเอง รีบหันหลังกลับพร้อมกระเป๋าหนังสีน้ำตาล เก็บบัตรประชาชนและเดินออกจากสำนักงานขายตั๋ว
…
ไคลน์ไม่แยแสว่า นักปรุงยาอ้วน ดัควีลล์ จะช่วยเหลืออาจารย์ของตนด้วยวิธีใด และไม่เคยคิดว่าเป็นธุระกงการของตัวเอง
เบื้องหลังหมอนั่นยังมีโรงเรียนชีวิต ถึงจะอยู่ในสภาพแตกแยก แต่ก็ยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี เป็นองค์กรลับที่เริ่มก่อตั้งในช่วงต้นของยุคสมัยที่ห้า ด้วยความเก่าแก่นี้ นักปรุงยาอ้วนคงติดต่อขอความช่วยเหลือจากเบื้องบนได้ไม่ยาก… แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่แม้แต่โรงเรียนชีวิตก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ถึงเราจะพึ่งพาขุมกำลังทั้งหมดของชุมนุมทาโรต์ ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด… ในบายัมต้องมีครึ่งเทพของฝ่ายกองทัพประจำการอยู่แน่… ถึงจะมิได้อยู่ในจวนนายกเทศมนตรี แต่ก็คงอยู่ในตึกกองบัญชาการทหาร…
ไคลน์ในรถม้าล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ จ้องนกกระเรียนกระดาษด้านใน ครุ่นคิดว่าตนควรโยนมันเข้าไปในมิติสายหมอกดีหรือไม่
รอก่อนดีกว่า… บางที วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา อาจติดต่อเราเพื่อมอบสิ่งดี ๆ เพิ่มเติม… คราวหน้าต้องไม่ลืมพกดินสอติดตัวไว้ เราไม่น่าทำพลาดในครั้งแรก… ด้วยพื้นที่ของนกกระดาษที่จำกัด หากใช้ปากกาเขียน อีกสักพักก็คงหมดที่ว่างสำหรับส่งข้อความ และหมดสิทธิ์เขียนข้อความถามอีกฝ่ายโดยปริยาย ทำได้เพียงรอให้ทางนั้นติดต่อเข้ามาก่อน… เราไม่ควรพกนกกระดาษติดตัวตลอดเวลา อีกสองสามวันค่อยส่งกลับมิติสายหมอก เพราะการปล่อยให้ทางนั้นระบุตำแหน่งเราได้ตลอดเวลาคงไม่ได้เรื่องดีนัก มิได้เป็นมิตรกันขนาดนั้นสักหน่อย…
ไคลน์คิดไวทำไม เมื่อกลับถึงโรงแรมวายุคราม ชายหนุ่มเก็บข้าวของและทำการเช็กเอาต์ออกจากห้องพักสุดหรู
ข่าวดีก็คือ หลังจากเดนิสกลับมาครั้งที่สอง มันได้ชำระค่าห้องล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ไคลน์ต้องจ่ายเพิ่มเพียงห้าซูล
ถัดมา ชายหนุ่มเดินเปลี่ยนบล็อกมายังถนนอะตอมซึ่งใกล้กับผับใบไม้หอม เข้าเช็กอินในโรงแรม ‘เทียน่า’ โดยระบุความต้องการว่า อยากได้ห้องสะอาด เป็นส่วนตัว และบรรยากาศเรียบง่าย เจ้าของโรงแรมจึงนำทางไปยังห้องพักราคาสองซูลสองเพนนีต่อหนึ่งคืน แถมด้วยเครื่องดื่มพิเศษหนึ่งแก้วทุกวัน เป็นน้ำผลไม้ที่คั้นจากผลไม้ยักษ์ชื่อว่าเทียน่า
ขณะดื่มเครื่องดื่มรสชาติหวานมันคล้ายนมผลไม้ตามลำพัง ไคลน์ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เอนกายแผ่ไปบนเก้าอี้นอนอย่างเอกเขนก ตัดสินใจงีบพักผ่อนสักสองชั่วโมง จึงค่อยส่งตัวเองเข้ามิติหมอก ไล่ดูคำสวดวิงวอนของเหล่าสาวกเทพสมุทร เพื่อสัมผัสประสบการณ์และใบหน้าของมนุษย์นับพันคน
…
กรุงเบ็คลันด์ บ้านตระกูลไวท์
เอ็มลินจ้อง ‘อัญมณี’ สีเลือดที่ถูกวางกึ่งกลางแท่นบูชาพลางรู้สึกว่า เลือดในร่างกายตน กำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองกับมัน
หลังจากขอบคุณมิสเตอร์ฟูล ผีดูดเลือดหนุ่มหยิบอัญมณีขึ้นมาถือ เริ่มสัมผัสถึงกระแสของพลังลึกลับที่ไหลเวียนด้านใน และไม่เคลือบแคลงอีกต่อไปว่า สิ่งนี้คือมรดกตกทอดจากผีดูดเลือดบารอน
“เหลือแค่การเตรียมพิธีกรรมสืบทอดพลัง เตรียมวัตถุดิบรองของโอสถ เราก็จะได้เป็นบารอนเต็มตัว… สิ่งเหล่านี้ไม่ยากเลยสักนิด”
เอ็มลินรำพันด้วยสีหน้าคาดหวังแกมพึงพอใจ
“จากระบบโอสถที่มนุษย์คิดค้นขึ้น เราจะกลายเป็นตัวตนเทียบเท่ากับลำดับ 6… ชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ ‘ศาสตราจารย์โอสถ!’ ”
…
เวียนมาถึงวันจันทร์อีกครั้ง ท่ามกลางทะเลหมอก กองเรือฝูงหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวตัดผ่านสายหมอกสีเทาและน้ำทะเลสีฟ้า
เรือธงเป็นเรือใบลำใหญ่ เหนือเสากระโดงหลักมีธงสัญลักษณ์โบกสะบัด เป็นภาพของเนตรปราศจากขนตา รายล้อมด้วยหมู่ดารานับสิบ
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังยืนข้างหน้าต่างห้องกัปตันเรือ จ้องดวงตะวันสาดแสงทะลุผ่านกลุ่มหมอกอย่างเงียบงัน จนกระทั่งนาฬิกาแขวนบนผนังส่งเสียงร้องเตือน
หญิงสาวชำเลือง แปลงเป็นเวลาอาณาจักรโลเอ็นภายในใจ ก่อนจะขึงผ้าม่านปิดมิดชิด นั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานอย่างสงบเสงี่ยม
บนโต๊ะทำงานที่สร้างจากไม้แดง อุปกรณ์เดินเรือถูกวางเรียงรายเป็นระเบียบ รวมถึงลูกแก้วดวงดาวสีฟ้าที่ผิวบางส่วนยังว่างเปล่า บริเวณดังกล่าวคือจุดที่ยังไม่ถูกสำรวจ หรือไม่ก็ยังไม่มีปัญญาสำรวจ
แคทลียาเหยียดปลายนิ้วออกไปสัมผัสกับลูกแก้วดวงดาวอย่างอ่อนโยน หลับตาลง รอให้เดอะฟูลอัญเชิญไปยังมิติลึกลับ
ถัดมาไม่นาน กระแสริ้วแสงสีแดงเข้มสว่างท่วมท้นทัศนียภาพ โอบล้อมร่างกายหญิงสาวไว้ทุกส่วนอย่างอบอุ่น
เมื่อเริ่มปรับสายตาได้ รอบกายแคทลียาแปรเปลี่ยนเป็นวังศักดิ์สิทธิ์ที่รายล้อมด้วยเสาหินต้นใหญ่ กึ่งกลางมีโต๊ะทองแดงยาวซึ่งเปื้อนคราบร่องรอยอารยธรรมโบราณ
หลังจากนั่งมองมิสจัสติสทักทายทุกคนอย่างสดใสร่าเริง แคทลียาลุกขึ้นทำความเคารพเดอะฟูลผู้ถูกม่านหมอกปกคลุม
จากนั้น หญิงสาวชำเลืองรอบโต๊ะหนึ่งหน สายตาพลันชะงักเมื่อพบความผิดปรกติ
เธอพบว่ากระแสวิญญาณที่แผ่ออกจากวิญญาณดาราของแฮงแมน เดอะมูน และเดอะซัน เปลี่ยนไปจากคราวก่อนมาก!
พวกเขาทุกคนเลื่อนลำดับพลัง?
เพิ่งจะผ่านมาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น…
ภายในหนึ่งสัปดาห์ สมาชิกชุมนุมทาโรต์ที่มีเพียงน้อยนิดกลับเลื่อนลำดับพร้อมกัน… ทางฝั่งแฮงแมนและเดอะมูนน่าจะเป็นลำดับ 6…
แค่บังเอิญงั้นหรือ… บังเอิญปรุงโอสถและดื่มในสัปดาห์เดียวกัน? แต่ก็มิใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากประเมินจากการซื้อวัตถุดิบของเดอะมูนและเดอะซันในสัปดาห์ก่อน… ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่า สมาชิกชุมนุมทาโรต์เลื่อนลำดับพลังได้เร็วมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้…
สาเหตุที่แคทลียาประหลาดใจ เพราะเธอเพิ่งเข้าร่วมชุมนุมได้เพียงสองสัปดาห์ แต่กลับพบว่า มีสมาชิกเลื่อนลำดับไปแล้วถึงสามคน
หืม…จะว่าไป เรื่องนี้ก็มิได้ผิดปรกติสักเท่าไร ผู้วิเศษต่ำกว่าลำดับ 5 มักใช้เวลาย่อยโอสถน้อยเป็นทุนเดิม ขอเพียงสวมบทบาทอย่างเคร่งครัดและมีวัตถุดิบในมือเพียบพร้อม การเลื่อนลำดับพรวดพราดจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลก… แต่จะเริ่มยากเมื่อถึงลำดับ 6 และต้องการพัฒนาไปเป็นลำดับ 5 ทุกคนต้องประกอบพิธีกรรม แถมยังย่อยโอสถช้าลงอย่างเห็นได้ชัด…
คงไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก…
เฮอร์มิท แคทลียา ถอนสายตากลับ
ถัดมา จัสติส ออเดรย์ กล่าวขอโทษมิสเตอร์ฟูลที่เธอมิอาจหาไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มามอบให้ได้ เนื่องจากไม่มีโอกาสติดต่อกับสมาคมแปรจิตในช่วงที่ผ่านมา ทางฝั่งเมจิกเชี่ยน ฟอร์ส ก็ไม่ต่างกัน อาจารย์ของเธอเริ่มกลับมาตอบจดหมายช้าอีกครั้ง และตัวเธอก็ไม่อยากออกจากบ้านภายใต้สภาพอากาศหนาวเหน็บสักเท่าไร
เดอะซัน เดอร์ริค เพิ่งเลื่อนลำดับ มีหลายสิ่งต้องสะสางให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเอกสารทางราชการ ไม่มีเวลาพอจะเข้าหอสมุดไปคัดลอกตำนานเทพบรรพกาล
เดอะฟูล ไคลน์ ทำเพียงพยักหน้ารับสุขุม
เดอร์ริคเห็นเช่นนั้นจึงโล่งใจ หันหน้าไปยังสุดปลายโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่ง
“มิสเตอร์เวิร์ล ผมหาวิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังที่ปนเปื้อนได้แล้ว”
ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้…
ไคลน์ เดอะฟูลบนที่นั่งประธาน ถึงกับเสียอาการเล็กน้อย
เจ้าหนู… ถึงแม้มิสจัสติสกับมิสเตอร์แฮงแมนจะทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่นายลืมไปแล้วรึไงว่ามาดามเฮอร์มิทเพิ่งเข้าร่วมชุมนุม!
ไคลน์พยายามบังคับตัวเองมิให้เลื่อนฝ่ามือขึ้นมาปิดหน้า
……………………