Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 587 : มิอาจทำความเข้าใจ

ราชันเร้นลับ 587 : มิอาจทำความเข้าใจ

หรือวิญญาณมารตนนั้นจะเป็นเทวทูตสีชาด เมดีซี ที่รับใช้พระผู้สร้างแท้จริง และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘กุหลาบไถ่บาป’ ?

ไคลน์ปะติดปะข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการคิดย้อนกลับ เพื่อมองหาร่องรอยและเบาะแสของเรื่องราว

หืม… อดีตเจ้าของไพ่นักบวชสีชาดถูกกฎแรงดึงดูดของเส้นทางเดียวกัน นำพาไปยังอาคารโบราณใต้ดิน และเสียชีวิตลงข้างกายทายาทของตระกูลทูดอร์?

หากจำไม่ผิด เราเคยเห็นในฝัน สมัยวิญญาณมารตนนั้นยังมีชีวิตอยู่ มันสามารถจัดการกับมังกรทรงพลังได้ง่ายดาย…

อีกทั้ง มันมีสูตรโอสถลำดับ 4 ‘หุ่นกระบอก’ หรืออาจสูงกว่านั้นอยู่ในมือ…

ค่อนข้างแน่ชัดว่า มันมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรลับนามกุหลาบไถ่บาป…

โบสถ์หลักที่มีตัวตนมาตั้งแต่ยุคสมัยมหาภัยพิบัติ ก็ยังไม่ทราบว่าบนเกาะบินซี่ในชื่อเก่า หรือเกาะแบนชีในชื่อใหม่ มีทายาทของตระกูลเมดีซีซ่อนตัวอยู่จนกระทั่งไม่กี่วันก่อน แต่วิญญาณมารตนนั้นกลับสามารถระบุได้ชัดเจน…

เจ้านั่นคงเป็นวิญญาณมารของเทวทูตสีชาด เมดีซี… น่าจะใช่… และในเมื่อราชาเทวทูตผู้น่าจะเป็นลำดับ 1 ถูกสังหารโดยฝีมือจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ มีโอกาสมากที่ฝ่ายหลังจะพัฒนาพลังจนมีลำดับสูงกว่า 1… กลายเป็นเทพแท้จริงลำดับ 0 ผู้มิอาจจ้องมองได้โดยตรง…

วิญญาณมารยังเล่าอีกว่า ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ จักรพรรดิมืดแห่งจักรวรรดิโซโลมอน จักรพรรดิโลหิตแห่งจักรวรรดิทูดอร์ และจักรพรรดิรัตติกาลแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์ ต่างทำสงครามเพื่อชิงตำแหน่งลำดับ 0 แต่สงครามได้จบลงเมื่อจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ เข้าสู่ภาวะกึ่งฟั่นเฟือน… หมายความว่า ‘จักรพรรดิโลหิต’ ได้เลื่อนลำดับกลายเป็นเทพฟั่นเฟือน?

ไม่เพียงเท่านั้น มิสเตอร์อะซิกยังเคยเขียนอธิบายไว้ในจดหมายว่า เพียงจ้องมองเข้าไปในดวงตาจักรพรรดิโลหิต เขาก็หมดสติไปทันที… ในสมัยนั้น มิสเตอร์อะซิกน่าจะเป็นครึ่งเทพผู้มีลำดับไม่ต่ำกว่า 4… หากจักรพรรดิโลหิตมิใช่เทพแท้จริง ก็คงไม่มีคำอธิบายใดอีกแล้ว…

ในจดหมาย มิสเตอร์อะซิกยังเขียนอธิบายเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดิมืด’ ตัวจริงที่กลับมาจากการคืนชีพ โดยอีกฝ่ายนั่งบนบัลลังก์ยักษ์ ก้มมองโลกทั้งใบอย่างเหยียดหยัน… หากสามารถคืนชีพได้จริง จักรพรรดิมืดคนดังกล่าว คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากลำดับ 0… จึงหมายความว่า สงครามสี่จักรพรรดิในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่มีระดับสูงกว่าจินตนาการเดิมของเรามาก มิได้เป็นแค่การช่วงชิงลำดับ 0 ของเหล่าลำดับ 1 อีกแล้ว…

ไคลน์ปะติดปะต่อเรื่องราวพร้อมกับมองประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สี่ในมุมใหม่

แต่นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มผุดคำถามอีกหลายข้อ

หากวิญญาณมารตนดังกล่าวคือราชาเทวทูต เมดีซี ตัวจริง เหตุใดถึงถูกผนึกในซากอาคารโบราณใต้ดินซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป็นของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์?

ทำไมบัลลังก์ภายในนั้นถึงมีสองที่นั่งเสมอกัน? เทวรูปของหกเทพจารีตเกี่ยวพันอย่างไร?

จักรพรรดิโลหิตกึ่งฟั่นเฟือนลงมือสังหารเทวทูตสีชาดไปเพื่อสิ่งใด? หลังจากกลายเป็นลำดับ 0 เขาอยู่บนเส้นทางไหน? ตัดเส้นทางจักรพรรดิมืดทิ้งไปได้เลย…

คงไม่ใช่เส้นทางนักบวชสีชาดหรอกใช่ไหม… หรือว่าการฆ่าเทวทูตสีชาด ก็เพื่อช่วงชิงตะกอนพลังลำดับ 1 ของเส้นทางนักบวชสีชาดมาครอง…?

แต่เส้นทางนักบวชสีชาดและจักรพรรดิมืดมิได้อยู่บนสายเดียวกัน… ไม่สามารถสลับไปมาได้ เราค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้ เพราะนักบวชสีชาดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเส้นทางแม่มด…

หืม… ถ้าจำไม่ผิด หัวหน้าเคยเล่าว่า การดื่มโอสถข้ามเส้นทางไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยความตายเสมอไป อาจตกอยู่ในภาวะฟั่นเฟือน กลายเป็นคนบ้าสุดแสนทรงพลัง…

สอดคล้องกับคำอธิบายของจักรพรรดิโลหิต!

หรือว่า… เมื่ออสิสต้า·ทูดอร์หมดหวังที่จะได้เป็นเทพบนเส้นทางจักรพรรดิมืดหรือใกล้เคียง เขาจึงเลือกเดินบนเส้นทางอันบ้าบิ่น ยอมแลกมากับภาวะกึ่งฟั่นเฟือน ยอมดื่มโอสถลำดับ 0 ของเส้นทางอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง…

แต่นั่นก็ยังมีข้อสงสัย… ก่อนจะกลายเป็นลำดับ 0 นักบวชสีชาด อลิสต้า·ทูดอร์ยังเป็นเพียงลำดับ 1 เทียบเท่าเมดีซี ไม่น่าจะฆ่าอีกฝ่ายเพื่อช่วงชิงตะกอนพลังมาได้… นอกเสียจากจะมีใครยื่นมือเข้าช่วย และผู้ช่วยต้องมีพลังอย่างน้อยลำดับ 1… หรือบางทีอาจเป็นลำดับ 0…

คิดมาถึงจุดนี้ ภาพของเทวรูปของหกเทพจารีตในอาคารโบราณใต้ดิน ผุดขึ้นมาในความทรงจำไคลน์

เทวรูปเทพธิดารัตติกาลกำลังนอนหนุนจันทราต่างหมอน พระแม่ธรณีกำลังอุ้มทารก เทพวายุสลาตันมีพายุสายฟ้ารายล้อม เทพสุริยันเจิดจรัสผู้หล่อเหลาและแข็งแกร่ง… เทพสงครามบนบัลลังก์ใหญ่ เทพปัญญาความรู้สวมชุดคลุมทรงโบราณ มองลอดออกจากผ้าด้วยดวงตาแสนเย็นชา

ร่างกายไคลน์เริ่มสั่นเทา

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังจำได้แม่น ตามประวัติศาสตร์แล้ว หกเทพจารีตคอยหนุนหลังจักรวรรดิทรันซอสต์ มีใช่ฝ่ายทูดอร์ โดยในภายหลัง ทรันซอสต์คือผู้ชนะสุดท้ายในสงครามทวีปเหนือ และตระกูลขุนนางที่คอยสนับสนุนได้กระจัดกระจายออกไปปกครองอาณาจักรต่าง ๆ บนทวีป ไม่ว่าจะเป็นไอน์ฮอร์น ออกัสตัส เซารอน หรือกาสตีญ่า

ยิ่งได้รับข้อมูลของยุคสมัยที่สี่เพิ่มมากเท่าไร เราก็ยิ่งทวีความสับสนและหวาดกลัว…

ไคลน์ถอนหายใจยาว

“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ” อะซิก·อายเกสสังเกตเห็นอาการชะงักของ ‘ลูกศิษย์’

ไคลน์ตอบอย่างเป็นกันเอง

“ผมแค่นึกสงสัย ในเมื่อเทวทูตสีชาด เมดีซี ร่วงหล่นด้วยฝีมือของจักรพรรดิโลหิตตั้งแต่หลายพันปีก่อน แล้วใครกันที่เป็น ‘เทพสภาพอากาศ’ ซึ่งชนพื้นเมืองบนเกาะแบนชีกราบไหว้บูชามาตลอด ความผิดปรกติของพวกเขามาจากสิ่งใด…”

เล่าถึงตรงนี้ ไคลน์ชะงักเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองท่าแบนชีผิดไปจากสามัญสำนึกของตนมาก

มันเคยคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังความพิสดารบนเกาะคือเทวทูตสีชาด เมดีซี แต่เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายร่วงหล่นเมื่อนานมาแล้ว สาเหตุของเรื่องราวจึงยิ่งทวีความคลุมเครือ

ความผิดปรกติในภัตตาคารมะนาวและสำนักงานโทรเลขยิ่งถูกหมอกดำปกคลุมจนยากจะคาดเดาเบื้องหลัง หากไม่มีข้อมูลอื่นเพิ่มเติม ก็คงมิอาจคาดเดาอะไรได้มากกว่านี้

ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น

การที่วิญญาณมารบอกใบ้ข้อมูลเมืองบินซี่ให้เราและชารอนฟัง เป็นแผนของมันมาตั้งแต่แรก? การบุกถล่มของโบสถ์วายุสลาตันช่วยให้มันหลุดพ้นจากผนึก? ควรเล่าให้มิสเตอร์อะซิกฟังดีไหม แล้วถามความเห็นจากเขา…

ก่อนอื่น คงต้องให้มิสเมจิกเชี่ยนช่วยจับตามองความผิดปรกติในละแวกใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง หากไม่พบ ไว้กลับไปยังกรุงเบ็คลันด์เมื่อไร เราค่อยติดต่อมาดามชารอนและถามความเห็นจากเธอ ว่าควรปรึกษามิสเตอร์อะซิกหรือไม่… ในเมื่อสำรวจอาคารใต้ดินมาด้วยกัน ก็ควรรับฟังความเห็นของอีกฝ่าย แต่ถ้าเกิดความผิดปรกติขึ้น ถึงตอนนั้นก็ต้องรีบตัดสินใจ… ไคลน์วางแผน

ได้ยินคำถาม อะซิกตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ผมคิดว่าคุณไม่ควรเป็นกังวลกับเรื่องนั้นมากเกินไป เบาะแสเกือบทั้งหมดถูกฝังกลบโดยฝีมือโบสถ์วายุสลาตันเรียบร้อยแล้ว หากพยายามขุดคุ้ย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แม้คุณจะกลายเป็นระดับเทวทูต แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้รอดจากการร่วงหล่น ถ้าเผลอไปล้ำเส้นใครบางคนเข้า”

ในโลกของเวทมนตร์และศาสตร์เร้นลับ ความอยากรู้อยากเห็นมักนำพาไปสู่ความตายเสมอ…

ไคลน์ครุ่นคิดเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนเคยพบเจอในอดีต

มันหันไปพูดโดยไม่สนใจประเด็นเดิม

“มิสเตอร์อะซิก ผมมีผู้ส่งสารส่วนตัวแล้ว”

“เร็วกว่าที่ผมคิดไว้มาก” อะซิกยิ้มและตอบ

ไคลน์อธิบายอย่างคร่าวว่าตนดัดแปลงคาถาในส่วนใด ประกอบพิธีกรรมอย่างไร และพบกับสิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณที่น่าทึ่งได้อย่างไร

“ในพิธีกรรมอัญเชิญสิ่งมีชีวิตวิญญาณ หากไม่ใช่เส้นทางที่ชำนาญโดยเฉพาะ เหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นเป็นประจำ ต้องลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสี่ยงต่อการเผชิญอันตราย และถึงคุณจะกำชับด้วยนิยาม ‘เป็นมิตร’ แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้ปลอดภัยโดยสมบูรณ์ บางที สิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ถูกอัญเชิญออกมาอาจไม่มีเจตนาทำร้ายคุณ แต่ออร่าของมันจะเปลี่ยนให้คุณกลายเป็นก้อนเนื้อในพริบตา” หลังจากอะซิกฟังไคลน์เล่าถึงคาถาที่นิยามว่า ‘ว่องไวเหนือจินตนาการ’ ‘ไม่ตกเป็นเหยื่อของนักล่า’ และ ‘ทนมือทนเท้า’ มันกล่าวตักเตือน พลางยิ้มและซักถามต่อไปในสิ่งที่กำลังคาใจ “แล้วสรุปว่า คุณอัญเชิญสำเร็จด้วยนิยามใด?”

ไคลน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“ผมเปลี่ยนประโยคสุดท้ายเป็น ‘ยินยอมที่จะเป็นผู้ส่งสารของข้า’ ”

อะซิกผงะเล็กน้อย มองไปทางไคลน์ด้วยสีหน้าเคลือบแคลง

“เป็นนิยามที่กว้างเกินไป โดยปรกติแล้ว มันไม่ควรประสบความสำเร็จ…”

“ผมอาจโชคดีเป็นพิเศษ” ไคลน์อธิบายรูปลักษณ์ของผู้ส่งสาร โดยไม่ลืมเล่าว่า อีกฝ่ายต้องการเหรียญทองทุกครั้งที่ทำงาน

อะซิกใคร่ครวญสักพัก

“ผมไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตวิญญาณดังกล่าว แต่ไม่ต้องกังวล ในเมื่อพันธสัญญาเสร็จสิ้นและมีโลกแห่งความตายเป็นสักขีพยาน เธอไม่มีทางทำร้ายคุณได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท จนกว่าจะทราบรายละเอียดอีกฝ่ายดีกว่านี้ ไม่ควรใช้ทำอย่างอื่นนอกจากส่งจดหมาย”

“ครับ” ไคลน์ต้องการจะตอบกลับไปว่า ตนไม่เคยใช้งานผู้ส่งสารในรูปแบบอื่นนอกจากส่งจดหมายอยู่แล้ว แต่เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ขณะต่อสู้กับมิสเตอร์ A ในยามที่ใช้ผู้ส่งสารของอีกฝ่ายเป็นกำบัง

ความเงียบงันครอบงำห้องนอนสักพัก ก่อนที่ไคลน์จะตัดสินใจวกกลับไปยังประเด็นหลัก

“มิสเตอร์อะซิก พวกเราจะบุกไปยังกาฬมรณะตอนไหน?”

ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน ยิ่งมีโอกาสที่เส้นผมและกระดุมของตนจะถูกเก็บกวาดหลังจากการทำความสะอาดประจำวัน

“เดี๋ยวนี้” อะซิกยืนขึ้น สวมหมวก

ไคลน์รีบแต่งตัว เตรียมหาข้ออ้างเข้าห้องน้ำ เพื่อทำนายถึงระดับอันตรายบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่อะซิก·อายเกสได้จับบ่าชายหนุ่มและพาเข้าสู่โลกวิญญาณโดยไม่ให้ตั้งตัว

หลังจากชั้นของสีสันอันฉูดฉาดซ้อนทับเต็มทัศนวิสัย ไคลน์ได้ยินเสียงอะซิกกำชับ

“ไปกันเถอะ”

ไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ… คุณควรทำนายยืนยันอันตรายเสียก่อน… ไม่สิ เขาอาจมีวิธีประเมินความเสี่ยงในแบบฉบับตัวเอง…

ไคลน์พึมพำเงียบงัน หยิบไม้ค้ำ ทำนายระบุพิกัดสิ่งของที่ตนเหลือทิ้งไว้

ไม้ค้ำเริ่มออกบิน หมุนควงและพุ่งไปด้านหน้า

อะซิกบินตามไคลน์ไม่ห่าง สถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทาง

ใช้เวลาไม่นาน ไม้ค้ำเนื้อแข็งสีดำพลันหยุดนิ่งในจุดหนึ่ง ด้านหน้ายังคงเป็นทัศนียภาพของสีดำผสมผสานของสีสันฉูดฉาดเช่นเคย

ประเมินจากภาพเชิงสัญลักษณ์รอบตัว ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงเค้าลางของกาฬมรณะ

อะซิกหยุดบิน กล่าวเสียงเคร่งขรึม

“ดวงวิญญาณที่นี่บอกกับผมว่า ข้างนอกมีอันตรายรออยู่”

อันตราย? คนอย่างมิสเตอร์อะซิกพูดว่าอันตราย? สตรีแห่งโรคภัยติดต่อขอความช่วยเหลือจากใครบางคนแล้ว?

หัวกะทิจากนิกายแม่มด?

ไคลน์ขมวดคิ้ว

ชายหนุ่มเชื่อในการประเมินของอะซิก เนื่องจากลำดับ 7 บนเส้นทางมรณาคือ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ ที่สามารถคุยกับวิญญาณ เมื่อยกระดับตัวตนไปถึงครึ่งเทพ พลังดังกล่าวคงพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก

อะซิกหลับตาลงสองวินาที ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งและหันมาพูด

“…ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไปกันเถอะ”

ไม่ใช่ปัญหาใหญ่… สำหรับคุณคนเดียวน่ะสิ!

ไคลน์รำพัน ตัดสินใจแปลงโฉม

กันไว้ดีกว่าแก้ หากแผนการคราวนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าและต้องหลบหนีเยี่ยงสุนัข เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครจำหน้าจริงได้!

เพียงพริบตา ใบหน้าไคลน์กลายเป็นบุรุษคางเหลี่ยม ดวงตาสีเขียวเข้มเย็นชา ด้านหลังศีรษะมีกระจุกผมถูกรวบมัด

ชายหนุ่มแปลงโฉมเป็นอดีตเจ้าของยุบพองหิวโหย พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์!

อะซิกชำเลืองเล็กน้อย ทันใดนั้น ฉากนั้นรอบตัวคนทั้งสองพลันดำดิ่ง สีสันฉูดฉาดบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว

ถัดมาไม่นาน ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องกัปตันเรือของเทรซี่

โจรสลัดสาวสวมเชิ้ตสีขาวตัวใหม่ ไหล่ซ้ายมีร่องรอยการพันผ้าปฐมพยาบาลชัดเจน ผมเกล้ามวยขึ้นไปข้างบน มิได้ปล่อยลงมาอย่างสง่างามและทรงเสน่ห์

แม้จะเผชิญหน้าผู้บุกรุกอย่างกะทันหัน แต่หญิงสาวกลับมิได้เผยความตื่นตระหนักแม้แต่เศษเสี้ยว กระทั่งส่งยิ้มตอบ

ทันใดนั้น น้ำเสียงอันงดงามของสตรีที่มิอาจระบุตำแหน่งได้ชัดเจน พลันกังวานจากทุกทิศ

“เป็นคุณเองหรือ”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset