“อะไรนะ… เขารู้จักฉัน?”
ขณะหรี่เสียงถาม นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ ทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี
นกฮูกมองไปข้างหน้าด้วยดวงตากลมโต
“ข้าสังเกตเห็น ขณะที่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้วมองเจ้า เขาชะงักไปสองวินาที”
“บางที เขาอาจจะคิดว่า ‘น้ำหน้าอย่างไอ้อ้วนนี่จะขายยาได้จริงหรือ’ ก็ได้นะ”
นักปรุงยาร่างท้วมโต้แย้ง
นกฮูกกระพือปีกสองครั้งก่อนจะหุบ
“อยากจะคิดแบบนั้นก็ตามใจ”
“…แล้วช่วงนี้แกอ่านหนังสืออะไรอยู่”
ขณะดัควีลล์ตั้งคำถามถาม ไขมันบนหน้าสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย
นกฮูกตอบเสียงขรึม
“ขีดจำกัดของข้าขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเจ้า หากเจ้านายไม่สามารถสอนหนังสือข้าได้ คำศัพท์ในสมองย่อมมีจำกัด จึงต้องลดมาตรฐานความยากของหนังสือลง แถมยังไม่มีให้เลือกมากนัก ข้าฝึกฝนการอ่านได้จากหนังสือพิมพ์รายวันเท่านั้น”
นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ หัวเราะ
“ฉันคิดว่าจะซื้อตำราปรุงอาหารมาให้แกอ่าน ชื่อของมันคือ ‘อาหารตำรับไบลัมตะวันออก’ ”
โดยไม่รอคำตอบจากนกฮูก ดัควีลล์สวมสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวพึมพำกับตัวเอง
“ชายคนนั้น… เขาอาจจะรู้จักฉันสินะ… หืม… มองผิวเผินเหมือนกับชาวโลเอ็น หรืออย่างน้อยก็ลูกครึ่งโลเอ็น สมัยก่อน ฉันเคยปลอมตัวตระเวนขายยาไปทั่วโลเอ็น ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีชาวโลเอ็นสักคนจำหน้าได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท หากถึงเดือนมีนาคมแล้วยังไม่มีข่าวคราวของตาแก่เพิ่มเติม ฉันคงต้องย้ายออกจากที่นี่”
กล่าวจบ มันหันไปมองนกฮูกบนไหล่
“ในบางครั้ง แกก็มีประโยชน์เหมือนกัน”
“ไม่จริงเลยสักนิด ภาษากายของเจ้ากำลังพูดออกมาว่า ‘บัดซบเอ้ย! ฉันต้องการสัตว์เลี้ยงที่ช่วยจัดการกับสัตว์ประหลาดดุร้ายและพวกอันธพาลคุมถิ่น อุตส่าห์รวบรวมวัตถุดิบปรุงโอสถเส้นทางมังกรทั้งที กลับได้แค่นกโง่ที่ทำได้เพียงอ่านหนังสือและช่างสังเกต! รู้แบบนี้น่าจะยัดโอสถใส่ปากไปอีกสักขวด!’ ” นกฮูกทำท่าทางคล้ายนกแก้ว พยายามพูดเลียนเสียงของนักปรุงยาร่างท้วม
มันยืนชะงักไปสองวินาที หัวเราะแห้ง และเผยรอยยิ้ม
“ก็รู้นี่… ไอ้นกโง่! ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเป็นนักฝึกสัตว์ แกก็คงดื่มโอสถไม่ได้แม่แต่ขวดเดียว!”
บรรยากาศภายในร้านขายสมุนไพรพลันอึมครึมทันที หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ต่างไม่มีใครส่งเสียง
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก นกฮูกทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดัควีลล์ จะไม่เป็นอะไรแน่หรือ กับการฝากให้นักผจญภัยหลายคนช่วยตามหาอาจารย์”
“ฉันไม่ถนัดตามหาคน นอกจากจ้างวานก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง ฉันระบุเงื่อนไขไว้ชัดเจน จะจ่ายเงินให้กับคนที่สามารถระบุตำแหน่งของตาแก่ได้เท่านั้น หรือก็คือ ฉันจะเสียเงินจ้างแค่คนเดียว!” กล่าวจบ นักปรุงยาร่างท้วมถอนหายใจยาวอย่างหดหู่ “ตาแก่มักอวดอ้างว่าเป็นคนโชคดีเสมอ เขาคงไม่เป็นอะไรนัก”
…
“ยาที่ปรุงจากของแบบนี้จะได้ผลจริงหรือ..”
ระหว่างกำลังเดินทางกลับโรงแรมวายุครามด้วยรถม้าเช่า เดนิสจ้องถุงกระดาษสีน้ำตาลที่วางข้างตัวไคลน์
ด้านในประกอบด้วยสมุนไพรนิรนามชนิดหนึ่ง สีดำสนิทจนน่าขนลุก รวมถึงเปลือกแข็งของแมลงปริศนา กลีบดอกไม้ประหลาด และส่วนผสมอื่น ๆ ที่ไม่น่าไว้วางใจ
ไคลน์พยักหน้า
“ได้ผล”
“แต่นายก็ยังไม่เคยกิน…” เดนิสโต้แย้งตามจิตใต้สำนึก
ไม่ต้องกังวล ฉันเชื่อใจนักปรุงยาร่างท้วม ถึงเจ้านั่นจะปากเสียไปบ้าง แต่จริงใจมากทีเดียว… อีกทั้ง กัปตันไอร์แลนด์ก็ยังยืนยันด้วยตัวเอง…
ด้วยมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์ตัดสินใจไม่อธิบายเดนิส เพียงหยิบถุงกระดาษขึ้นมาและโยนไปหาอีกฝ่าย
โดยไม่ต้องมีคำสั่งใด เดนิสทราบทันทีว่านักผจญภัยเสียสติต้องการให้ตนทำอะไรของในถุง
ถูกต้อง นำมันไปปรุง
ในพักหลัง มันคอยจัดการเรื่องจิปาถะให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์บ่อยครั้ง จึงมิได้แสดงท่าทีต่อต้าน
เมื่อถึงโรงแรม ไคลน์เดินไปนั่งบนโซฟาหรู เอียงคอมองเดนิสจุดเตาไฟ ยกหม้อมาวาง และเติมน้ำเปล่ากับสมุนไพรลงไป
ชายหนุ่มเอนหลังพิงอย่างผ่อนคลาย แต่สมองกลับวิงเวียนกะทันหัน มาพร้อมอาการเหน็ดเหนื่อย สามารถวูบหลับได้ทุกเมื่อ
เพื่อครองสติไว้จนกว่ายาจะต้มเสร็จ ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเค้นสมองอย่างหนัก เพื่อมิให้สติเลือนรางและหลับไปก่อน
พอมาลองคิดดูให้ดี… การต่อสู้กับพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ หากไม่เพราะเราแฝงตัวเข้าไปอย่างราบรื่น ปลดสมบัติวิเศษได้ตั้งแต่ต้น และเป็นฝ่ายเปิดฉากบุกเข้าใส่โดยไม่ปล่อยให้เธอตอบโต้จนกระทั่งมีโอกาสล่องหน คงพ่ายแพ้ในการดวลหนึ่งต่อหนึ่งอย่างราบคาบ…
พลังล่องหนกับโรคระบาด เมื่อใช้พร้อมกันจะไม่ต่างอะไรกับบั๊กในเกม… ด้วยพลังเสน่ห์หาอันรุนแรง ด้วยพลังการเข้าประชิดตัวในพริบตาของนักลอบสังหาร เราไม่สามารถหาเธอพบ และไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้… ร่างกายมีแต่จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงและหมดสิทธิ์ขัดขืน…
สมกับเป็นลำดับ 5… เปิดประตูอีกบานเดียวก็จะถึงครึ่งเทพ… แต่เหตุการณ์นี้ก็ช่วยให้เรามองเห็นจุดอ่อนของยุบพองหิวโหย ถึงจะมันมีพลังหลากหลายชนิด แต่ก็ห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบพอสมควร…
ถ้าจำไม่ผิด พลังของลำดับ 5 บนเส้นทางนักทำนาย ‘นักเชิดหุ่น’ ชนะทางพลังล่องหนของนักลอบสังหารอย่างเต็มพิกัด…
ช่วงนี้ว่างพอดี สงสัยต้องช่วยนักปรุงยาร่างท้วมตามหาอาจารย์ไปก่อน… แต่เนื่องจากมีข้อมูลค่อนข้างน้อย แทบจะรูปถ่ายใบเดียว โอกาสหาพบคงไม่ง่ายเท่าไร…
แล้วแบบนี้เมื่อไรจะหาพบ เราไม่ใช่เทพสักหน่อย จะได้นั่งทางในแล้วตรัสรู้ว่าบุคคลในรูปหลบอยู่ตรงไหนของโลก…
เดี๋ยวก่อน… เราก็เป็นเทพไม่ใช่หรือ ถึงจะแค่ในบางโอกาสก็เถอะ!
เราสามารถระดมพลค้นหาแบบปูพรมโดยสาวกเทพสมุทร ตราบใดที่สุภาพบุรุษนาม ‘รอย·คิง’ เคยอยู่ในบายัม จะต้องมีคนเคยเห็น เคยพูดคุย ชนพื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นสาวกเทพสมุทรอยู่แล้ว แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับทะเลมนุษย์…
ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนกัปตันไอร์แลนด์จะออกจากบายัม เราสามารถสอบถามจุดแจ้งข่าวกับกองทัพจากเขาได้ หากมีเบาะแสใดเพิ่มเติมในอนาคต เราจะแจ้งกองทัพเพื่อแลกกับเงินรางวัลก้อนใหญ่… อีกทั้ง เรายังให้เขาช่วยตรวจสอบประวัติผู้โดยสารของเรือเดินสมุทรทุกลำได้ ดูว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา รอย·คิงขึ้นเรือลำใดบ้างหรือไม่…
ยังมีอีกหนึ่งวิธี เครื่องรับสัญญาณโทรเลขไร้สายที่ถูกแช่ทิ้งไว้บนห้วงมิติเหนือสายหมอกมาได้สักพัก หากนำกลับมายังโลกจริง เราสามารถติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดสได้ เดิมที แผนนี้เตรียมไว้สำหรับถามเบาะแสของเอลเลนผมแดงอยู่แล้ว ก็แค่เปลี่ยนเป็นรอย·คิง…
หึหึ… สำหรับงานยาก ๆ ที่นักผจญภัยคนอื่นมืดแปดด้านและแทบไม่มีโอกาสทำสำเร็จ เรากลับคิดหาทางออกได้ถึงสามวิธี!
…
ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์กัดฟันอดทนจนกระทั่งยาถูกปรุงเสร็จ
เมื่อเห็นขวดบรรจุของเหลวที่เดนิสถือมาให้ ชายหนุ่มชะงักนานสองวินาที ก่อนจะยื่นแขนไปรับและยกกระดกสายฟ้าแลบ
อึกอึก!
ไคลน์รู้สึกราวกับลำคอถูกไฟลวก ใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู
รสชาติที่ชวนให้นึกถึงอาหารรสเผ็ดพิสดารจากโลกเก่ากำลังปะทุในท้อง
ทันใดนั้น สติชายหนุ่มพลันกลับมากระจ่าง จมูกที่เคยตันกลับมาหายใจโล่งและคล่องอีกครั้ง
อึกอึก! อึกอึก! ไคลน์รีบกระเดือกลงคอจนเกือบหมดขวด สัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่าอาการป่วยบรรเทามาก อีกนิดเดียวก็จะหายขาด
…
ในค่ำคืนเดียวกัน ไคลน์หายจากไข้โดยสมบูรณ์ ความคลางแคลงเล็ก ๆ ที่เคยมีต่อนักปรุงยาพลันจางหาย
สมแล้วที่โอสถมีชื่อว่านักปรุงยา…
ไคลน์สวมหมวก เดินออกจากโรงแรมวายุครามพร้อมเดนิส ตระเวนไปตามค่ำคืนอันเงียบสงัดของเมืองบายัม จนกระทั่งถึงท่าเรือส่วนตัวที่ซ่อนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของป่าลึก
ณ ค่ำคืนนี้ ฝันทองคำจะแล่นมาเทียบท่าลับเพื่อมอบความช่วยเหลือแก่กลุ่มกบฏ
หลังจากประสานงานและเตรียมการเสร็จ เดนิสประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิตเพื่อติดต่อกับพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด
…
ไม่กี่นาทีถัดมา เรือลำใหญ่ที่ฉาบด้วยผิวโลหะสีทองอร่ามและติดปืนใหญ่กลไกซับซ้อน แล่นเข้ามาจอดเทียบท่าส่วนตัวของกลุ่มต่อต้านอย่างเงียบงัน เหนือใบเรือมีธงสัญลักษณ์ที่เป็นภาพของเหรียญห้าชนิด ประกอบด้วยเหรียญทองปอนด์ของโลเอ็น เหรียญทองเฟิร์ลของอินทิส เหรียญทองโฮร์นของฟุซัค เหรียญทองริโซ่ของเฟเนพ็อต และเหรียญทองซาเซ็นของลุนเบิร์ก
สิ่งนี้คือธงโจรสลัดของฝันทองคำ และยังเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดธารน้ำแข็ง
ยังมืออาชีพไม่พอ… ถ้าเป็นเราจะเพิ่มเหรียญทองพ็อตเตอร์ของมาซิน เหรียญทองซูลาทีของเซกัล เหรียญทองของจักรวรรดิไบลัม และอีกหลายเหรียญเข้าไปด้วย…
ไคลน์ยืนมองตรง สองมือสอดกระเป๋ากางเกง จ้องเอ็ดวิน่าที่กำลังปรากฏตัว ณ หัวเรือ
เธอมาในหมวกนายพราน เสื้อเชิ้ตขี่ม้ารัดรูปและโค้ทสีดำตัวใหญ่ ภาพลักษณ์สอดคล้องกับพลเรือโจรสลัดสาวสวยในอุดมคติกลุ่มต่อต้าน
ทุกทีจะแต่งตัวเป็นครูสอนพิเศษแท้ๆ …
ไคลน์พึมพำ ก้าวถอยหลัง ปล่อยให้เดนิสทำงานกรรมกรไปตามลำพัง
เป็นเพราะความขยันขันแข็งของโจรสลัดค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์ อาหารและเครื่องนุ่งห่มจำนวนมากจึงถูกลำเลียงถึงมือกลุ่มต่อต้าน และเป็นอันสิ้นสุดการสนับสนุนระลอกแรก
เดนิสสูดลมหายใจยาว เดินมาทางไคลน์และเผยรอยยิ้มเจือความเศร้า
“เสร็จแล้วใช้ไหม… ฉันกลับฝันทองคำได้หรือยัง เอ่อ… แล้ว… ต้องจ่ายค่าจ้างนายเท่าไร”
สหาย นั่นเป็นแค่ข้ออ้างที่กัปตันของนายกุขึ้นเพื่อมิให้คนอื่นสงสัย ในความเป็นจริง อาหารและเครื่องนุ่งห่มเหล่านี้คือค่าจ้าง…
ไคลน์พยักหน้า
“กัปตันคนสวยจ่ายครบแล้ว …เชิญกลับไปได้”
“จ…จริงหรือ?” เดนิสแทบไม่อยากเชื่อหู
แม้ว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งจะกำลังยืนห่างออกไปไม่ไกล แต่เดนิสก็ยังหวาดกลัวอารมณ์แปรปรวนของชายเสียสติที่ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงหันหลังกลับ ตรงไปยังถนนที่พาออกจากท่าเรือส่วนตัว
เดนิสหายใจกระเส่า พยายามข่มความตื่นเต้นขณะวิ่งกลับไปยังฝันทองคำ
รอจนกระทั่งเรือแล่นออกจากท่าในยามค่ำคืน และได้เห็นท่าเรือส่วนตัวมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนเกือบลับขอบฟ้า เดนิสจึงค่อยมั่นใจว่า ตนได้กลับมายังฝันทองคำอย่างแท้จริง
เมื่อลองนึกทบทวน มันพบว่าตนได้ผ่านประสบการณ์พิสดารมากมายภายในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน อารมณ์อันซับซ้อนกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายกับเพิ่งลืมตาตื่นจากความฝันอันยอดเยี่ยมและเปี่ยมความสุข
ทันใดนั้น ลูกเรือคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้และซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“บอสเป็นคนฆ่าเหล็กกล้าจริงหรือ…?”
เดนิสระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจ ชำเลืองหางตามองเอ็ดวิน่าเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพูดกับลูกน้องตน
“เข้าใจถูกต้องแล้ว! ในเหตุการณ์ดังกล่าว ฉันกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนนำพาไปสู่ความตายของเหล็กกล้า! เอ้า! เข้าไปดื่มกันเถอะ แล้วฉันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด!”
ท่ามกลางทะเลสีดำ ฝันทองคำแล่นออกไปไกลขึ้นทุกขณะ
…
เมื่อกลับถึงโรงแรมวายุคราม ไคลน์เข้านอนทันที แต่กลับถูกปลุกให้ตื่นกลางคันด้วยแสงสีสันอันฉูดฉาดรอบตัว
ผ้าปูเตียงสีขาวกลายเป็นขาวเจิดจ้า พื้นห้องสีน้ำตาลกลายเป็นน้ำตาลสว่าง ผ้าม่านสีแดงเข้มกลายเป็นสีเลือดสด
ขณะสีสันฉูดฉาดกำลังซ้อนทับในทัศนวิสัยอย่างเข้มข้น อะซิก·อายเกสโผล่ออกจากความว่างเปล่าที่กระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำ
อีกฝ่ายสวมเชิ้ตขาว หูกระต่าย ทักซิโด้ และหมวก ผิวพรรณสีแทน ใบหน้าอ่อนโยน
น่าอิจฉาชะมัด… เราเองก็อยากมีพลังเดินทางผ่านโลกวิญญาณบ้าง…
ไคลน์ถอนหายใจสั้น พยุงตัวนั่งบนเตียงและกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
“สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์อะซิก”
อะซิกถอดหมวก ชำเลืองใบหน้าที่มันไม่คุ้นเคยนัก แต่ก็มิได้เผยความประหลาดใจ ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น
“ต้องขอโทษด้วย ผมคงรีบเกินไป จึงไม่ได้เคาะประตู ช่วยเล่ารายละเอียดของเอกสารโบราณแห่งเทพมรณาให้ฟังหน่อย”
ไคลน์เชิญอีกฝ่ายนั่ง อธิบายรายละเอียดที่มิอาจเขียนยัดใส่กระดาษจดหมายได้หมด ปิดท้ายด้วยการเล่าถึงเหตุการณ์ในเมืองท่าแบนชี เล่าถึงเบาะแสของราชาเทวทูต เมดีซี และทายาท
อะซิกเอนหลังพิงโซฟา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ถ้าจำไม่ผิด ชายคนนั้นถูกเรียกด้วยสองสมญานาม ‘เทวทูตสีชาด’ และ ‘เทวทูตสงคราม’ แต่เขาร่วงหล่นไปนานมากแล้ว”
“นานมากแล้ว?” ไคลน์ย้อนถามอย่างประหลาดใจ
อะซิกพยักหน้ารับ เค้นสมองนึก
“เท่าที่ผมจำได้คือ ชายคนนั้นถูกสังหารโดย ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์”
ถูกสังหารโดยจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์?
รูม่านตาไคลน์หดลีบทันที สมองย้อนนึกถึงคำพูดของวิญญาณมารที่ถูกผนึกในซากอาคารใต้ดินกลางกรุงเบ็คลันด์
มันเคยบอกกับไคลน์และชารอนว่า ตนคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือจักรพรรดิโลหิต!
……………………