ไคลน์ค่อยๆ หันไปจ้องเดนิส
ทันใดนั้น โจรสลัดชื่อดังเจ้าของค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์ พลันหุบยิ้มและรีบเบือนหน้าหนี แสร้งว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เมื่อยืนยันว่าเอลเลนขึ้นเรือโดยสวัสดิภาพ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับหลังและซักถามเดนิส
“นายได้ยินบทสนทนาแล้วใช่ไหม”
“ไม่… เอ่อ… ก็นิดหน่อย” เดนิสยิ้มแห้งพร้อมกับส่ายศีรษะ
ไคลน์พยักหน้ารับ
“นายควรจดจำรายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่อย่างนั้นความจะแตกเอาได้”
“ความแตก… ฉัน?” เดนิสเลื่อนมือขึ้นมาชี้ปลายจมูกตัวเองด้วยสีหน้ามึนงง
ไคลน์อธิบายหน้านิ่ง
“เธอเป็นคนของตระกูลเซารอน มีทักษะต่อต้านการแกะรอย เมื่อผนวกเข้ากับการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนรถ ฉันมั่นใจว่าเธอคือลำดับ 7 นักวางเพลิง… เหมือนกับนาย ฉะนั้น ไม่มีใครเหมาะจะปลอมเป็นเธอเท่ากับนายแล้ว”
“ฉัน? ไม่มีทาง! ฉันปลอมตัวไม่เก่ง! แค่มองจากร้อยเมตรก็ยังรู้ว่าเป็นตัวปลอม!” เดนิสยืนกรานเสียงสั่น
ไคลน์หัวเราะ
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะให้ยืมยุบพองหิวโหย”
“ไม่! ฉ…ฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน! ต้องถูกลูกน้องของพลเรือโทโรคภัยจับได้แน่!” เดนิสยังคงหาข้ออ้าง
ในสายตามัน ภารกิจนี้ทั้งน่าอับอายและเต็มไปด้วยความแม่เย็* มีเพียงคนโรคจิตเท่านั้นที่กระทำได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ
ไคลน์พยักหน้าโดยไม่เปลี่ยนอารมณ์
“ไม่เอาไหนจริง ๆ”
เดนิสยิ้มแห้ง
“ช…ใช่! ฉันมันไม่เอาไหน…”
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินผ่านเดนิสกลับมายังประตูห้องโดยสารรถม้า
เพลิงพิโรธชำเลืองมองตามปรกติ แล้วก็ต้องพบว่า เส้นผมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เริ่มกลายเป็นสีแดง
มันกะพริบตาถี่ด้วยสีหน้าตกตะลึง ระหว่างนั้นก็สำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด เดนิสมองเห็นดวงตาสีเขียวมรกต ริมฝีปากที่ถูกเม้มอย่างอ่อนโยน บรรยากาศรอบตัวคล้ายกับกระต่ายอ่อนแอ
ปัจจัยทั้งหมดส่งเสริมให้ใบหน้าของอีกฝ่ายงดงามจนโดดเด่น เหมือนกับเอลเลนหน้าสดราวกับแกะ
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินขึ้นห้องโดยสารรถม้า เดนิสเบือนหน้ากลับ มุมปากเริ่มสั่นกระตุกสองสามหน
มันนั่งเงียบงันสักพัก ระหว่างนั้นก็รำพัน :
สมกับเป็นคนบ้า! นึกจะแปลงโฉมเป็นผู้หญิงก็ทำทันทีโดยปราศจากความลังเล!
แต่ว่า เอลเลนหน้าสดสวยชะมัด…
จะว่าไป พลังแปลงโฉมช่างสะดวกสบาย… ถ้าเรามีบ้าง คงพยายามค้นหาผู้ชายในอุดมคติของกัปตัน แปลงโฉมให้คล้ายกัน และเดินเข้าไปจีบเธอ…
แต่ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่เธอรักก็ไม่ใช่เรา…
ขณะเดนิสกำลังดำดิ่งในห้วงแห่งปรัชญา เสียงกระแอมเยือกเย็นพลันดังมาจากด้านหลัง
เมื่อถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ มันรีบขับรถม้าออกจากเขตท่าเรือ วางแผนขับอ้อมและวกกลับเข้าท่าเรือด้วยเส้นทางหลัก
ภายในห้องโดยสาร ไคลน์มิได้ใจเย็นเหมือนภายนอก แม้จะอยู่ในเครื่องแต่งกายของผู้ชาย ซึ่งช่วยกลบเกลื่อนความอับอายได้บางส่วน แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้มันชินกับใบหน้าผู้หญิง อีกทั้ง ยังมีความอึดอัดที่เกิดจากการโกยเนื้อมารวมกันตรงหน้าอก สภาพในปัจจุบันทำเอาชายหนุ่มรู้สึกกระสับกระส่ายและอับอาย
เฮ่อ… สำหรับผู้ไร้หน้า การแปลงโฉมให้เหมือนใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก จุดยากคือการทำใจยอมรับสภาพ… แต่ถ้าต้องการย่อยโอสถให้เสร็จโดยเร็ว ก็มีแต่ต้องพังกำแพงทางจิตใจและอาศัยทางลัด… หากมัวแต่ตั้งเงื่อนไขให้ตัวเอง กว่าจะย่อยโอสถด้วยวิธีการปรกติคงต้องใช้เวลานานหลายปี หรือถ้าเร่งรีบ ก็ต้องปลอมตัวเป็นใครสักคนจนญาติสนิทและคนใกล้ตัวแยกไม่ออก สวมรอยเป็นบุคคลดังกล่าวสักครึ่งปี… แต่นั่นก็ยังนานเกินไปสำหรับเรา…
การท้าทายขีดจำกัดของตัวเองจะทำให้มนุษย์พัฒนาขึ้น แม้อาจต้องอดทนต่อความบิดเบี้ยวและบ้าคลั่งมากกว่าปรกติก็ตาม…
ทางลัดย่อมมีขวากหนามเสมอ…
ไคลน์ดึงกระเป๋าเดินทางจากใต้เบาะนั่งและหยิบเศษผ้ากับเครื่องแต่งกายผู้ชายชุดใหม่ออกมาสวม ตามด้วยการลงเครื่องสำอางให้เหมือนกับเอลเลน
อันที่จริง อีกหนึ่งแผนของไคลน์คือ ขอยืมสมบัติวิเศษที่มีพลังแปลงโฉมจากมิสจัสติสสักสองสามวัน จากนั้นก็ให้เดนิสปลอมเป็นเอลเลนแทนตน
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เดนิสเผชิญหน้ากับเทรซี่ตามลำพัง และเนื่องจากไม่มีพลังควบคุมสีหน้าของตัวตลก เดนิสคงถูกพลเรือโทโรคภัยพบความผิดปรกติได้ไม่ยาก จนอาจนำพาไปสู่ความตาย
ไคลน์จะไม่ยอมให้ผู้ใดเสี่ยงชีวิตเพราะปัญหาส่วนตัวเด็ดขาด จึงลงเอยด้วย มันตัดสินใจปลอมตัวเป็นเอลเลนเอง
เมื่อแต่งหน้าเสร็จ ไคลน์ในร่างเอลเลนเริ่มเผยเสน่ห์แบบไม่แบ่งแยกเพศ เป็นความสง่างามแบบหญิงก็ได้ชายก็ดี ดวงตาสีเขียวภายใต้หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงกำลังส่องประกายคล้ายอัญมณี
ไคลน์อาศัยพลังตัวตลก สำรวจร่างกายตัวเองในมุมมองบุคคลที่สาม
ก็ไม่เท่าไร ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น… ถ้าเราไม่ต้องแต่งหญิง ความรู้สึกก็จะคล้ายกับตอนที่ปลอมตัวเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หรือเดนิส เพียงแค่มีใบหน้าสวยขึ้น และอึดอัดหน้าอกเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย… ถ้าเป็นโลกเก่า ด้วยหน้าตาแบบนี้ เราคงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแฟน…
ไคลน์พยายามติดตลกเพื่อให้ตัวเองคลายความกังวล
อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยชอบรำพันติดตลกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยามนี้กลับเจือความหดหู่และขื่นขมเหนือพรรณนา
บัดซบ…!
ไคลน์สบถ พยายามปรับอารมณ์ให้คงที่
จนกระทั่งเวลาผ่านไป ชายหนุ่มเริ่มสัมผัสว่า จิตใจของตนเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันทีละนิด แรงต่อต้านทางใจบรรเทาลง หัวสมองเริ่มผ่อนคลาย และตระหนักถึงพัฒนาของโอสถได้เล็กน้อย
ทฤษฎีของเราถูกต้อง… ทางลัดมีอยู่จริง…
ไคลน์พึมพำ ระหว่างนั้นก็ลุกยืน เดินถอยหลังสี่ก้าวทวนเข็มนาฬิกา ส่งจิตเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเพื่อยืนยันระดับความอันตรายของปฏิบัติการ
เมื่อกลับมายังโลกจริง ไคลน์พูดกับเดนิสด้วยเสียงของเอลเลน
“ไปท่าเรือที่หก”
เดนิสไม่ได้คิดอะไรมากในตอนแรก จนกระทั่งมันหักเลี้ยวรถม้า จึงนึกขึ้นได้เมื่อสาย
เชี่ย…! จะเหมือนจริงเกินไปแล้ว! หากวันใดหมอนี่ปลอมตัวเป็นกัปตันมาหลอกเรา ก็คงไม่มีทางจับได้เลย…
ผ่านอีกไปสักพัก รถม้าแล่นมาถึงท่าจอดเรือลำที่เอลเลนมีกำหนดต้องไปขึ้น แต่เดนิสมิได้ขับเข้าใกล้ เลือกหักเลี้ยวเข้าไปในโกดังในบริเวณใกล้เคียงแทน
เพลิงพิโรธกระโดดลงจากม้า เดินไปเคาะประตูโกดังตามสัญญาณที่นัดแนะ
คนงานท่าเรือกลุ่มหนึ่งที่เป็นชนพื้นเมือง เดินออกมาล้อมเดนิสไว้ทุกด้าน
เมื่อยืนยันว่าไม่พบความผิดปรกติ ไครัทเข็นวีลแชร์ตามออกมา
“เธออยู่ไหน” มันจ้องเดนิส
สืบเนื่องจากภารกิจตามหาตัวเอลเลน เดนิสจึงกลายเป็นผู้ประสานงานกับกลุ่มต่อต้านอย่างเป็นทางการ
เดนิสหัวเราะ
“ในรถม้า เธอดื่มยาอ่อนแรงเข้าไป ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นานสิบชั่วโมง แต่ห้ามลืมเด็ดขาด เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินรางวัลจะต้องเป็นของฉัน”
ไครัทยกมือขวาโบก ทันใดนั้น ชนพื้นเมืองจำนวนสองคนเดินเข้าไปตรวจสอบรถม้า
“ถูกตัวครับบอส” พวกมันชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง ตะโกนเป็นภาษานักเลงท้องถิ่น
“พาเธอลงมา หน้าที่ของเราคือคุ้มครอง”
ไครัทย้ำเตือน
กลุ่มต่อต้านทั้งสองพยายามพยุงเอลเลนในเครื่องแต่งกายผู้ชายลงจากรถม้า
ไคลน์อาศัยพลังตัวตลก ควบคุมกล้ามเนื้อให้อ่อนแรงในลักษณะสมจริง
จากนั้น ชายหนุ่มถูกพาตัวไปยังห้องแห่งหนึ่งในละแวกชุมชนของเมืองบายัม โดยระหว่างนั้น ไครัทสั่งให้ลูกน้องที่เป็นสาวกเทพสมุทร ตามหาตัว ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลและแจ้งว่าพวกตนพบเป้าหมายแล้ว รวมถึงกำชับให้เตรียมเงินหนึ่งพันปอนด์มาจ่ายทันที ในส่วนของเดนิส มันกลับไปยังโรงแรมเพื่อรอฟังข่าวดี
ยามเที่ยงตรง โอซิลส่งข้อความถึงไครัทว่า พวกมันยังไม่มั่นใจว่าเป็นเอลเลนตัวจริง จึงขอส่งคนมาตรวจสอบก่อน
ไครัทไม่ปฏิเสธ
จนกระทั่งใกล้ตกเย็น บุคคลผู้หนึ่งปรากฏตัวหน้าบ้านหลังที่เอลเลนถูกกักตัว
สวมกางเกงขาบานสีขาว แจ็คเก็ตสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายชาวโลเอ็นที่แต่งกายเป็นชนพื้นเมือง ขนคิ้วสั้นราวครึ่งหนึ่งของคนปรกติ เบ้าตาจมลึก ดวงตาสีน้ำตาล กรามแหลมชัด
ไครัทเข็นวีลแชร์ไปยังหน้าประตูและสำรวจผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้า ตามด้วยคำถาม
“มีซอร์·คิง?”
“โฮ่… รู้จักด้วยหรือ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ชายลึกลับเผยรอยยิ้ม
มีซอร์คืออดีตกัปตันเรือย่อยของพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ แต่หลังจากถูกพลเรือโทโรคภัยฮุบกลืนกลุ่มโจรสลัด มีซอร์ เจ้าของฉายา ‘นักเจรจา’ ค่าหัวห้าพันสี่ร้อยปอนด์ ได้กลายเป็นผู้ช่วยรองกัปตันแห่งเรือหลัก กาฬมรณะ
ไครัทไม่ตอบ เพียงขยับวีลแชร์หลบ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้ามาข้างใน
กลุ่มต่อต้านเดินนำทางมีซอร์ไปยังห้องหนึ่ง จนกระทั่งมันพบเอลเลนในเครื่องแต่งกายผู้ชายกำลังนั่งบนขอบเตียง สายตาจ้องมองกลับมาอย่างดุร้าย ฟันกัดกรอด เผยให้เห็นถึงโทสะและความไม่พอใจ
“ก็ดูเหมือนจะใช่ แต่ในสภาพแต่งหน้าจัดเต็มแบบนี้คงยืนยันไม่ได้ พวกนายต้องล้างเครื่องสำอางออกก่อน… ว่าแต่ ทำไมถึงไม่ใส่กุญแจมือ? ไม่รู้หรือว่าหล่อนอันตรายมากแค่ไหน!”
หลังจากตรวจสอบเบื้องต้น มีซอร์ผงะถอยหลังอย่างหวาดระแวง
“เธอถูกมอมยาจนแทบไม่มีแรง… แต่ในเมื่อนายต้องการแบบนั้น” ไครัทเชิดคางออกคำสั่งกับลูกน้อง
กลุ่มต่อต้านแยกย้ายไปหากุญแจมือจนพบ และเดินกลับมาใส่กุญแจมือไคลน์
ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นขัดขืนอย่างเต็มกำลังในสภาพปราศจากเรี่ยวแรง
ถัดมาไม่นาน กลุ่มต่อต้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับผ้าชุบน้ำสะอาด และใช้ลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้าเอลเลน
โชคยังดีที่เครื่องสำอางยุคนี้สามารถล้างออกด้วยน้ำเปล่า… ไคลน์ปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดด้วยผ้าสะอาด จนกระทั่งความคมชัดของอวัยวะบนใบหน้าเริ่มเลือนราง
มีซอร์เริ่มเห็นหน้าสดของเอลเลนชัดเจน มันพบว่าความงามของหญิงสาวเข้าขั้นน่าหลงใหล ดวงตาสีเขียวเจือความสับสนและโกรธแค้นของหล่อนช่วยกระตุ้นให้มันเกิดอารมณ์
น่าเสียดาย หล่อนเป็นของกัปตัน… มีซอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่
ในฐานะโจรสลัด ในฐานะชายคนหนึ่ง มีซอร์ย่อมเคยจินตนาการว่า ทั้งพลเรือโทโรคภัยและเอลเลนผมแดงกำลังนอนเปลือยกายในอ้อมแขนของตน ซึ่งแน่นอน มันทำได้เพียงจินตนาการ
สายตาน่าขยะแขยงฉิบหาย… ไคลน์แทบอ้วก
จริงอยู่ ชายหนุ่มย่อมทราบว่าสายตาดังกล่าวกำลังมองเอลเลนผมแดง ไม่ใช่ไคลน์·โมเร็ตติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยากจะปรับอารมณ์ได้ทัน
ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น นั่นก็คือ มันจะไม่อดทนกับสิ่งที่ขัดแย้งต่อจิตใต้สำนึกอย่างรุนแรงเด็ดขาด
“ตัวจริง” มีซอร์หันไปทางไครัท “รางวัลตอบแทน”
มันโยนถุงเงินในมือให้อีกฝ่าย
ไครัทรับไปตรวจสอบจนแน่ใจ ก่อนจะโยนต่อไปให้ลูกน้อง และกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“เราอาจต้องพึ่งพาพวกนายอีกหลายเรื่อง”
“ไม่มีปัญหา ติดต่อผ่านทางโอซิลได้ทุกเมื่อ” มีซอร์ชี้ไปทางเอลเลนผมแดง “ฉันพาตัวหล่อนไปได้เลยใช่ไหม”
“อา” ไครัทขยับเปิดทางอีกครั้ง
ไคลน์ไม่ต้องการให้มีซอร์พยุงตัว จึงทำทีว่าได้รับเรี่ยวแรงกลับมาบางส่วน
เนื่องจากมีซอร์หวาดกลัวเทรซี่ มันจึงไม่กล้าล่วงเกินเอลเลนมากนัก ทำได้เพียงจับไหล่ประคอง และเดินนำไปยังรถม้าด้านนอก
รถม้าแล่นเป็นเวลานานจนกระทั่งถึงท่าเรือส่วนตัวแห่งหนึ่ง จากนั้น มีซอร์เดินนำทางไคลน์ ผู้แปลงโฉมเป็นเอลเลน ขึ้นเรือประมงที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และแล่นออกจากท่าโดยอาศัยความมืดมิดยามค่ำคืนอำพรางตัว
ผ่านไปราวสองชั่วโมง ทั้งคู่เริ่มมองเห็นเรือลำใหญ่กำลังจอดหลบในเงามืดของหน้าผา เหนือลำเรือมีธงผืนใหญ่โบกสะบัด ลายบนธงเป็นสัญลักษณ์กระดูกสีขาว
กาฬมรณะ!
……………………