เขตราชินี ด้านข้างคฤหาสน์ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด
ฟอร์สสวมชุดสีดำ ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดพร้อมกับซิล สายตาจ้องมองไปทางประตูรั้วเหล็กที่ปิดสนิท รอคอยอย่างอดทนเพื่อให้เป้าหมายปรากฏตัว
คืนนี้ฝนไม่ตก พวกเธอจึงไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเกินไป และเนื่องจากมีรถม้าจอดรออยู่ที่ริมโคมไฟถนน ฟอร์สและซิลจึงทราบว่า ความอดทนของพวกเธอจะไม่สูญเปล่า
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ประตูรั้วเหล็กส่งเสียงโลหะเสียดสี เปิดออกอย่างช้าๆ
ร่างในเสื้อคลุมสีดำเดินออกมาพร้อมกับก้มศีรษะลง เดินไปทางรถม้าเช่าด้วยความคล่องแคล่ว
“นั่นเธอหรือ?” ฟอร์สลดเสียง ซักถามซิลข้างๆ
เธอไม่มีพลังในการวาดภาพใบหน้าจากคำอธิบาย และไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน จึงมิอาจพึ่งพาสัมผัสวิญญาณของโหราจารย์เพื่อตัดสิน
ซิลพยักหน้ายืนยัน
“ใช่!”
ขณะทั้งสองคุยกันด้วยเสียงเงียบ รถม้าแล่นออกจากประตูข้างคฤหาสน์
ซิลออกจากจุดซ่อนตัวทันที เตรียมใช้พลังพิเศษของเจ้าพนักงานและเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นของนักสอบสวน เดินสลับวิ่งไล่ตามเป้าหมายไปห่างๆ
“คิดจะทำอะไร?” แต่ทันใดนั้น ฟอร์สกดไหล่และทำลายแผนการ
“ไล่ตามไป!” ซิลมองย้อนกลับมาที่เพื่อนสนิทด้วยสีหน้าสับสน
ฟอร์สชำเลืองรถม้าที่ยังแล่นไม่พ้นสายตาคนทั้งสอง ซักถามอย่างมีเหตุผล
“แล้วทำไมต้องตามหล่อน? นอกจากนั้น เธอเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ เมื่อเข้าสู่ย่านสะพานเบ็คลันด์ เป้าหมายจะได้รับการคุ้มครองจากผู้วิเศษที่ทรงพลัง?”
“ก็ใช่…” ซิลตอบคำถามหลังก่อน “แต่ทำไมเธอถึงถามอะไรแปลกๆ? ที่ต้องไล่ตามเป้าหมายก็เพื่อยืนยันรูปลักษณ์ ตัวตน และจุดประสงค์ไม่ใช่หรือไง”
ฟอร์สนำมือซ้ายจับไหล่ซิล กล่าวพลางยิ้ม
“เนื่องจากเป้าหมายมีผู้วิเศษที่ทรงพลังคอยคุ้มครอง การสะกดรอยในย่านสะพานเบ็คลันด์จึงเป็นเรื่องยาก หมายความว่า หากไม่เอาชนะผู้วิเศษลึกลับคนนั้น เราก็จะไม่มีทางทราบที่อยู่ ใบหน้า และตัวตนของอีกฝ่าย เธอพร้อมจะทำศึกแล้วหรือ? จริงอยู่ที่ฉันช่วยได้ แต่ยืนยันความแข็งแกร่งของศัตรูได้หรือยัง? มั่นใจมากแค่ไหน? เสี่ยงมากแค่ไหน? และตราบใดที่การต่อสู้ปะทุขึ้น เป้าหมายก็จะไหวตัวทัน ไม่ต่างอะไรกับการโบกรถม้าให้หยุดและเปิดประตูเข้าไปคุย สิ่งนี้จะทำให้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดพบความผิดปรกติ ทำลายสถานการณ์ที่เธอต้องการ หมดโอกาสชิงลงมือไปโดยปริยาย”
“ถ้าลงมือ มีโอกาสที่จะล้มเหลวก็จริง แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย โอกาสล้มเหลวคือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์” ซิลเน้นย้ำว่าเธอเองก็เข้าใจสถานการณ์ เพียงแต่อยากลองเสี่ยง
ในเวลาเดียวกัน รถม้าเช่าหักเลี้ยวตรงหัวมุมสุดเส้นถนน ฟอร์สทำได้เพียงมองแผ่นหลังของมันเลือนหายไปพลางส่ายหน้าและยิ้ม
“ไม่ ไม่ ไม่! สิ่งที่พวกเราต้องทำคือเปลี่ยนวิธีคิด! สิ่งที่เราต้องทำมีแค่การตรวจสอบรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเป้าหมาย เมื่อถึงตอนกลางวัน ค่อยสืบสวนแบบธรรมดาในย่านสะพานเบ็คลันด์โดยมีรูปลักษณ์ดังกล่าวเป็นจุดตั้งต้น”
“วิธีพูดของเธอ… ฟังดูเป็นมืออาชีพมาก” ซิลกล่าวพลางครุ่นคิด
“แน่นอน ฉันเป็นนักแต่งนิยายนักสืบ!” ฟอร์สตอบโดยไม่ถ่อมตน
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทราบรูปลักษณ์ที่แท้จริงโดยไม่รบกวนอีกฝ่ายได้ยังไง?” ซิลถามในประเด็นที่สำคัญที่สุด
ฟอร์สหยิบ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ที่เตรียมไว้ออกมา กล่าวพลางยิ้ม
“ง่ายมาก ใช้พลัง ‘ล่องหนทางใจ’ ที่มิสจัสติสบันทึกไว้!”
‘จัสติส’ ออเดรย์ที่ไม่เคยเผชิญสถานการณ์ซึ่งต้องใช้ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ระงับความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวและตัดสินใจขอยืมสมุดเวทมนตร์สองสามครั้ง จุดประสงค์เพื่อศึกษาพลังวิเศษที่น่าสนใจและกลไกการทำงานของสมุด ในตอนที่คืนก็ช่วยบันทึกพลังของตัวเองลงไป หนึ่งในนั้นคือ ‘ล่องหนทางใจ’ ที่ค่อนข้างมีประโยชน์
สำหรับตัวตนที่แท้จริงของมิสจัสติส ซิลและฟอร์สมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งคู่ตัดสินใจไม่สืบสวนลงลึกมากไปกว่าเดิม สิ่งนี้ถือเป็นมารยาทพื้นฐานภายในชุมนุมทาโรต์
ได้ยินคำตอบจากเพื่อนสนิท ซิลเริ่มได้รับมุมมองใหม่ๆ และมีไอเดียเพิ่มมากมาย
ฟอร์สกล่าวต่อ
“ด้วยพลังดังกล่าว เธอจะกลายเป็นจุดบอดทางประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตรอบตัว แม้จะกำลังห้อยหัวอยู่ตรงหน้า แต่ก็จะไม่มีใครมองเห็น ดังนั้น เธอสามารถขึ้นรถม้าได้ตรงๆ และมองหน้าเป้าหมายอย่างใจเย็น จดจำลักษณะเด่นอย่างละเอียด… ฮุฮุ… ในบางครั้งฉันก็คิดว่า หากใช้ล่องหนทางใจผิดจังหวะ ถ้าบังเอิญโชคร้าย ก็อาจถูกสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เหยียบตายเข้าเพราะมองไม่เห็น… อา… แล้วก็ อย่าทำเสียงดังมากเกินไป ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการดึงดูดความสนใจจนสภาวะล่องหนทางใจคลายออก”
“ตกลง!” ซิลพยักหน้า ตามด้วยการตั้งข้อสงสัยใหม่ “แล้วจะทำยังไงให้เป้าหมายมองไม่เห็นประตูห้องโดยสารที่เปิดออกอย่างกะทันหัน?”
โดยไม่รอคำตอบจากฟอร์ส เธอถามต่อทันที
“หรือว่าเธอบันทึกพลังเปิดประตูของตัวเองไว้?”
“คิดว่ายังไงล่ะ?” ฟอร์สยิ้มพร้อมกับชื่อ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ให้เพื่อนสนิท ตามด้วยการเปิดไปที่หน้า ‘ล่องหนทางใจ’ และ ‘เปิดประตู’ ตามลำดับ
เมื่อจิตใจเริ่มกลับมาสงบ ซิลรีบวิ่งท่ามกลางเงามืดริมถนน ไล่ตามรถม้าเช่าคันดังกล่าว
ผ่านไปสักพัก เธอได้พบกับเป้าหมาย ทันใดนั้น มือขวาขยับเล็กน้อย พลิกหน้าสมุดบันทึกปกสีเขียวขี้ม้าไปยังกระดาษแผ่นสีเหลืองน้ำตาล
เมื่อเลื่อนปลายนิ้วลูบไล้ผิวกระดาษ คล้ายกับซิลมองเห็นแสงจำนวนมากบนผิวทะเลสาบลึก แสงสว่างค่อยๆ แผ่ออกไปรอบทิศ
รอจนกระทั่งการมองเห็นกลับเป็นปรกติ เธอรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของรถม้า
เพื่อความไม่ประมาท ซิลไม่ได้ลงมือทันที แต่แซงไปด้านหน้าม้าสองสามก้าว
เธอหันกลับมามอง ทำท่าคล้ายกับเตรียมข้ามถนน แต่คนขับรถม้ามิได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย ไม่มีการตะโกนเตือนหรือหยุดม้า
เมื่อยืนยันแน่ชัดว่าสภาวะล่องหนทางใจได้ผล หญิงสาวเร่งความเร็วและเบี่ยงตัวหลบม้า กระโดดขึ้นไปทางด้านข้างของห้องโดยสาร
ซิลสำรวจรอบตัวเล็กน้อย ตามด้วยการพลิกหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ไปยังแผ่นกระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยลวดลาย จากนั้นก็เหยียดมือขวาออก กดลงบนผนังห้องโดยสาร
ร่างของเธอพลันโปร่งใสขณะที่ถูกส่งเข้าไปด้านใน
สตรีในเสื้อคลุมสีเข้มกำลังนั่งฝั่งตรงข้ามในแนวเฉียง มองออกไปนอกหน้าต่างข้างๆ ซิลประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง มิได้สนใจนักล่าเงินรางวัลที่บุกรุกเข้ามาแม้แต่น้อย
ในระยะใกล้เช่นนี้ แม้อีกฝ่ายจะดึงหมวกเสื้อคลุมลงมาต่ำ แต่ซิลก็ยังเห็นใบหน้าชัดเจน นอกจากนั้น อีกฝ่ายยังไม่ระวังตัวเหมือนกับตอนที่อยู่ข้างนอก ทำตัวตามสบายๆ และปล่อยให้หมวกเสื้อคลุมอยู่ในระดับดวงตา
เพียงพริบตา ใบหน้าของสตรีฝั่งตรงข้ามถูกสะท้อนบนกระจกตาของซิล ซ้อนทับกับใบหน้าของบางคนที่ยังหลงเหลือกลิ่นอายความเป็นชายจางๆ
นี่คือพลังพิเศษของเจ้าพนักงาน
ดวงตาของซิลเบิกกว้างทันที โพล่งออกมาอย่างมิอาจควบคุม
“เชอร์แมน?”
แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่เธอก็พอจะเดาออกว่าสตรีที่เข้าออกบ้านไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดบ่อยๆ มีรูปลักษณ์งดงาม นั่นทำให้ซิลไม่คาดคิดว่า แท้จริงแล้วอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนของตัวเอง หนุ่มน้อยเชอร์แมน!
บุรุษที่ห่างไกลกับความสวยในอดีตคนนั้น ปัจจุบันงดงามขึ้นมาก เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสตรี!
ทันใดนั้น ซิลอดไม่ได้จ้องเชอร์แมนหัวจรดเท้า ซ้อนทับร่างของอีกฝ่ายเข้ากับชายหนุ่มที่ตนเคยรู้จัก
หากไม่ใช่เพราะพลังของเจ้าพนักงานและสัมผัสวิญญาณช่วยยืนยันว่านี่คือเชอร์แมน ซิลคงคิดว่าตนทักคนผิด อย่างไรก็ตาม ซิลยังไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อย พิจารณาว่าอีกฝ่ายอาจเป็นน้องสาวของเชอร์แมนที่เกิดวันเดียวกันและมีพ่อแม่คนเดียวกัน
ได้ยินเสียงโพล่งเจือความประหลาดใจ เชอร์มาเน่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนอยู่บนรถม้ากับเธอด้วย เป็นคนที่เธอคุ้นเคย
ซิล·เดียร์ชา นักล่าเงินรางวัล!
ตัวเธอที่เปลี่ยนชื่อเป็นเชอร์มาเน่ แตกตื่นในตอนต้น แต่เพียงไม่นานก็หวนนึกถึงคำที่ทริสซี่มักจะเอ่ย:
“ห้ามติดต่อกับอดีตคนรู้จักเด็ดขาด… ลองนึกภาพตาม หากสามีของเธอ คนที่เธอรัก ล่วงรู้ถึงอดีตของเธอ เขาคนนั้นจะคิดเช่นไร? มีเพียงการตัดอดีตให้ขาดเท่านั้น จึงจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ เธอต้องทำให้ได้เพื่อตัวเอง!”
เมื่อประโยคดังกล่าวแล่นเข้ามาในสมอง เชอร์มาเน่ผุดความคิดหนึ่งทันที:
“ฆ่าหล่อนซะ!”
ความคิดดังกล่าวเป็นราวกับปีศาจจากนรก คอยกระซิบข้างหูเชอร์มาเน่ตลอดเวลา
“ฆ่าหล่อนซะ! ฆ่าทุกคนที่จดจำเธอได้! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น อดีตจึงจะถูกลบออกอย่างสมบูรณ์! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ไม่สูญเสียปัจจุบัน! ฆ่าหล่อนซะ!”
เชอร์มาเน่ไม่ยอมตอบคำถามซิล เพียงกำมือซ้ายแน่นด้วยอาการสั่นระริก
เมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมีอารมณ์แปรปรวน ซิลมั่นใจว่าบุคคลฝั่งตรงข้ามคือเชอร์แมน จึงถามด้วยความเป็นห่วง
“นายกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ที่ผ่านมาได้พบเจออะไรมาบ้าง? มีใครทำร้ายนายไหม?”
ริมฝีปากของเชอร์มาเน่กระตุกสองสามหน กำปั้นซ้ายคลายออกเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงสะอื้น
“ฉันมีชีวิตใหม่แล้ว… ได้โปรดอย่ารบกวนกันอีก… ได้ไหม? ฉ…ฉันไม่อยากสูญเสียปัจจุบัน ฉันไม่อยากเจอคนรู้จักในอดีต!”
ยิ่งพรั่งพรู ทำนองการพูดก็ยิ่งเร็วขึ้น เปี่ยมไปด้วยการอ้อนวอนมากขึ้น
ซิลผงะเล็กน้อย ชำเลืองไปทางเชอร์แมนพร้อมกับเม้มปาก
“ตกลง…”
ซิลไม่แช่อยู่ต่อ เอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างรถม้า กระโดดออกไปด้วยท่าร่อน
เชอร์มาเน่ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวอย่างไร้เรี่ยวแรง
การควบคุมปีศาจที่อยู่ในใจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทันใดนั้น เธอเห็นร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นกลางอากาศบางๆ
บุคคลดังกล่าวสวมเดรสยาวสีเข้มทรงโบราณ แต่บรรยากาศและใบหน้าที่อ่อนโยนอ่อนหวานมิได้จางหายไปไหน เพียงแต่นั่งนิ่งๆ โดยไม่ต้องกล่าวคำใด ผู้คนก็ยากจะละสายตาออก
แม่มด ทริสซี่!
“ทำไมถึงไม่ฆ่าหล่อน?” ทริสซี่ถามด้วยใบหน้าค่อนข้างยิ้มแย้ม คล้ายกับถามว่าเมื่อคืนดื่มไวน์อะไร
“ธ… ธ…เธอคนนั้นเป็นเพียงไม่กี่คนที่ทำดีกับฉันเมื่อก่อน คอยช่วยฉันไว้หลายเรื่อง…” เชอร์มาเน่ตอบด้วยอาการตกใจ ก่อนจะขมวดคิ้วถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ทริสซี่ยิ้มและตอบ
“คอยปกป้องเธอไง”
โดยไม่รอการตอบสนองของเชอร์แมน เธอกล่าวต่อ
“ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีในตอนที่เดินออกมา”
เมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เชอร์มาเน่ยิ้มอย่างเขินอาย
“บางที… ฉันอาจจะได้เป็นแม่คน…”
กล่าวจบ เธอเลื่อนมือขวามาลูบท้อง มุมปากยกขึ้นอาจมิอาจควบคุม
“ฉันรู้สึกเหมือนกับเด็กคนนี้กำลังเตะท้องอยู่…” เชอร์มาเน่พึมพำ ก่อนจะโพล่งขึ้น “…ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้?”
เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอยังสับสนอยู่เลยว่าจะท้องได้ไหม!
เฝ้ามองท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย ทริสซี่เผยรอยยิ้มที่อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์
…………………………