พลเรือโทธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่า มิได้คิดมากนักหลังจากได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบว่า ‘ขอคิดดูก่อน’ เพียงพยักหน้ารับอย่างใจเย็น
“ไม่มีปัญหา”
เธอคงคิดว่าเราไม่สามารถตัดสินใจเรื่องใหญ่แบบนี้ได้เอง ต้องกลับไปถามองค์กรเบื้องหลังก่อน… ผิดแล้ว… ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนตัดสินใจ แต่อยู่ที่เงินต่างหาก!
ไคลน์รำพัน พลิกมือปิดหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ และหันไปถามเสียงค่อย
“ผู้แต่งเป็นใคร? เจ้าของคนก่อนมีจุดจบอย่างไร?”
เอ็ดวิน่าเดินผ่านไคลน์พร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบไล้อักษรบนปกหนังสืออย่างนุ่มนวล
“เกี่ยวกับเจ้าของคนก่อน เป็นเพราะข้อมูลของอดีตยังคลุมเครือ ทางเราจึงมิอาจระบุตัวเจ้าของคนก่อนจากเบาะแสภายในซากเรืออับปางได้ เช่นเดียวกันกับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากไม่มีการลงนามไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เราจึงไม่ทราบว่าใครเป็นคนแต่ง แต่ทางเราใช้เทคนิคพิเศษตรวจสอบจนสามารถยืนยันได้ว่า เนื้อกระดาษมีอายุไม่ต่ำกว่าสามพันปี เป็นเหตุผลว่าทำไม ราคาแปดพันปอนด์จึงนับว่าถูกมากในสายตาของฉัน”
หนังสืออายุกว่าสามพันปี… หากไม่นับคนยักษ์และเอลฟ์ ในนั้นมีการเขียนถึงนักบวชเคร่งศาสนา ขุนนางจักรวรรดิโซโลมอน และทหารของโลเอ็น… เรื่องพวกนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน…
เป็นหนังสือทำนายอนาคต? หรือใครบางคนจงใจแต่งนิยายสมัยใหม่ลงบนกระดาษเก่า?
แต่จะทำไปเพื่ออะไร…
ไคลน์กล่าวพลางยิ้ม
“ในเมื่อคนยักษ์ที่เป็นตัวเอกชื่อกรอซาย… คนแต่งอาจเป็นจักรพรรดิโรซายล์ก็ได้”
“ไม่น่าใช่ เหตุผลที่ชื่อคล้ายคลึงกันเพราะคำว่า ‘โรซายล์’ มีรากศัพท์มาจากภาษาคนยักษ์ ภาษาดังกล่าวเกิดวิวัฒนาการสองครั้ง กลายเป็นฟุซัคโบราณ จนกระทั่งเป็นอินทิสในปัจจุบัน และความหมายเพี้ยนไปจากเดิมพอสมควร”
เอ็ดวิน่าอธิบายรากของภาษาให้ฟังอย่างละเอียด จนไคลน์รู้สึกราวกับตนย้อนวัยกลับไปยังสมัยเรียนอีกครั้ง
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ กล่าวเสียงแผ่ว
“หากนี่มิใช่นิยายสมัยใหม่ แต่เป็นสมุดบันทึกเหตุการณ์จริงในอดีต ผมสงสัยว่า มังกรเจ้าของฉายา ‘ราชาแดนเหนือ’ จะมีชื่อจริงว่าอย่างไร และอยู่บนเส้นทางไหน”
เอ็ดวิน่าเงยศีรษะ ดวงตาเพ่งไคลน์
“ก่อนที่ศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกจะปรากฏขึ้น โลกของเรายังไม่มีระบบเส้นทางและลำดับ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงนั้นจึงมิได้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง กล่าวกันว่า เป็นยุคสมัยอันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและวุ่นวาย บางที คนยักษ์และมังกรอาจพยายามรวบรวมตะกอนพลังที่เกี่ยวข้องกับน้ำแข็งไว้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ออร่าเยือกแข็งของซอมบี้ หอกน้ำแข็งของแม่มด เวทมนตร์น้ำแข็งของจอมอาคมสภาพอากาศ ส่งผลให้พลังธาตุน้ำแข็งรุนแรง และมีระดับพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทียบเท่าครึ่งเทพ… แน่นอนว่า การกินตะกอนพลังส่งเดชเช่นนี้จะนำไปสู่ภาวะเสียสติและคลุ้มคลั่ง หรือก็คือ หากพวกมันไม่ตายคาที่ ก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด แต่ในเมื่อมังกรเป็นสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว ตรงนี้จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผลข้างเคียงจึงมีเพียงการเสียสติ”
หากเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในหมู่มังกร คนยักษ์ และเอลฟ์ ก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วว่า เหตุใดยุคสมัยที่สองจึงถูกเรียกว่ายุคมืด…
ไคลน์ครุ่นคิด เปล่งเสียงพึมพำกึ่งตั้งคำถาม
“หมายความว่า ตะกอนพลังส่วนใหญ่ถูกใช้ไปอย่างเสียของสินะ”
เอ็ดวิน่าจ้องตาชายหนุ่มสักพัก
“จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวเอาไว้ สิ่งใดเคยที่แยกจาก สักวันกลับมารวมตัว สิ่งใดที่รวมตัว สักวันจะต้องแยกจาก”
จักรพรรดิเคยพูดแบบนี้ด้วยหรือ… เราพอจะเข้าใจประโยคแรก เพราะนั่นคือกฎความถาวรของพลังพิเศษ แต่ประโยคหลังหมายถึงอะไร…
หากตะกอนพลังรวมตัวกันมากเข้า จะเกิดการแยกตัวออกมาเอง? หรือจะเกี่ยวกับระบบเส้นทางและลำดับ หากกินตะกอนพลังที่ไม่กลมกลืนกับเส้นทางเข้าไปเป็นจำนวนมาก แรงผลักต่อกันก็จะยิ่งสูง ส่งผลให้เกิดการแยกตัว?
คำพูดลึกซึ้งเช่นนี้ จักรพรรดิไม่น่าจะพูดออกมาต่อหน้าสาธารณชน เพราะเป็นความลับสำคัญที่ไม่ควรหลุดออกมาภายนอก…
คราวก่อน เราเคยสันนิษฐานจากพิธีกรรมวิญญาณสถิต และจากนามสกุลของเธอ ว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งอาจเป็นทายาทของหนึ่งในจตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก เอ็ดเวิร์ด… บทสนทนาเมื่อครู่ยิ่งทำให้ชัดเจนขึ้น..
หลังจากสิ้นสุดยุคสมัยของจักรพรรดิโรซายล์ ตระกูลเอ็ดเวิร์ดได้ย้ายถิ่นฐานมายังลุนเบิร์ก และเปลี่ยนไปนับถือศาสนาปัญญาความรู้?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เธอช่างเป็นคุณครูที่น่ายกยกย่อง ไม่อยากเชื่อว่าจะยอมอธิบายทุกคำถาม!
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงเดินตามเอ็ดวิน่าและยืนฟังเธออธิบายเกี่ยวกับของสะสม
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มผุดแนวคิดหนึ่ง นั่นคือการถามเดอะซันในชุมนุมทาโรต์ ว่าอีกฝ่ายรู้จักหนังสือที่ชื่อ การเดินทางของกรอซาย หรือไม่
และเพื่อมิให้แฮงแมนมองว่าเดอะเวิร์ลบกพร่องทางความรู้ และอาจลามไปเคลือบแคลงเดอะฟูล ไคลน์เตรียมใช้การสนทนาแบบส่วนตัวกับเดอะซัน
หลังจากอธิบายจนครบทุกชิ้น เอ็ดวิน่านำทางไคลน์ออกจากห้องเก็บของสะสม ตรงไปยังห้องรับประทานอาหารของกัปตัน ที่ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนภายในห้องอาหารของเรือ
“อาหารพิเศษของที่นี่คือโยเกิร์ต คุณสามารถกินกับแยมสตรอว์เบอร์รี่หรือไม่ก็น้ำผึ้ง” เอ็ดวิน่าอธิบายพลางชี้ไปยังห้องอาหารด้านนอกประตู “ปลาแห้งของที่นี่ก็ไม่เลว จับได้จากทะเลลึก ยังไม่มีชื่อสายพันธุ์ที่แน่ชัด”
ขณะกำลังเล่า เธอทำท่าทางเพื่อบอกให้ไคลน์เดินออกไปสั่ง และถือเข้ามากินในห้อง
จากนั้น เอ็ดวิน่าลุกขึ้นยืนและแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยมีไคลน์เดินตามออกไป
ขณะกำลังต่อแถวสั่งอาหารของตัวเอง ไคลน์เห็นโจรสลัดคนหนึ่งเดินเข้าไปทักทายเอ็ดวิน่า
อีกฝ่ายสวมเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ ติดหูกระต่ายดอกไม้ บรรยากาศคล้ายพนักงานประจำมากกว่าโจรสลัด โดยกำลังกระซิบกระซาบบางสิ่งให้เอ็ดวิน่าฟัง
หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ผมสีทองอ่อน โคนผมมีสีดำแซม หวีด้านข้างจนเรียบแปล้
ดวงตาสีอ่อน คลายทะเลสาบสีเขียว ดั้งโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง มอบความรู้สึกน่าไว้วางใจ
“อย่าถูกเจ้านั่นหลอกด้วยรูปลักษณ์เด็ดขาด! หมอนั่นก็เหมือนกับปลาหมาป่ากระป๋อง! เหม็นบัดซบเข้าไปถึงข้างใน!”
เดนิส ผู้ที่เข้ามาในห้องอาหารตอนไหนไม่มีใครทราบ เดินมาด้านหลังไคลน์และกระซิบ
ไคลน์เพียงชำเลืองโดยไม่กล่าวสิ่งใด เพราะทราบดีว่า อีกสักเดี๋ยวเดนิสก็คงเล่าออกมาเอง
โดยไม่รอให้เดนิสพูด ชายพุงใหญ่ด้านข้างกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหลม
“เจ้านั่นคือผู้ช่วยรองกัปตัน โจเดอร์สัน เคยเป็นเสือผู้หญิงและโจรสลัดพาร์ตไทม์ แต่เกิดตกหลุมรักกัปตัน จึงพยายามช่วงชิงหัวใจเธอ ถึงผลลัพธ์จะล้มเหลวไม่เป็นท่า ถูกกัปตันอัดจนน่วม แต่มันกลับก็ขออยู่บนเรือต่อโดยอ้างเหตุผลว่า ขอศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม… ไอ้แม่เย็*!”
“สรุปโดยสั้นคือ แม่งระยำ!” เดนิสสบถ
“แม่งระยำ!” โจรสลัดอีกคนที่มีผิวสีดำคล้ายเหล็กกล่าวเสริม
แต่ฉันกลับคิดว่า พวกนายก็ไม่ต่างกันนัก…
ไคลน์รำพันพลางหันไปถาม
“หูกระต่ายบุปผา·โจเดอร์สัน…? ลำดับ 6?”
ถามได้สมกับเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์… เดนิสรีบหันไปทางอื่นด้วยสีหน้าเจือความหวาดผวา
“หมอนั่นไม่เก่งเท่าไร แต่มีพลังสุดพิสดาร ตอนที่ฉันสู้กับมันในการฝึกซ้อม อยู่ดี ๆ ก็ใช้บอลไฟไม่ได้ แถมเจ้านั่นยังลอกเลียนแบบพลังไฟของฉันได้อีก”
คำอธิบายแบบนี้ เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…
ไคลน์หันไปมองโจเดอร์สัน สมองพยายามนึกให้ออกว่า ความคุ้นเคยดังกล่าวมาจากไหน
นึกออกแล้ว… คล้ายกับ ‘เส้นเลือดหัวขโมย’ สมบัติปิดผนึกหลังประตูยานิสเมืองทิงเก็น!
ชายหนุ่มอาจจดจำรหัสไม่ได้ แต่ยังไม่ลืมว่า สมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าวมีคุณสมบัติในการขโมยพลังพิเศษเป้าหมายมาใช้งานชั่วขณะ
คงอยู่บนเส้นทางเดียวกัน…
เมื่ออาหารที่สั่งไว้ถูกปรุงเสร็จ ไคลน์หันกลับไปมองด้านหลัง เห็นเดนิสกับอีกโจรสลัดอีกสองคนกำลังยืนดื่มเบียร์พลางชำเลืองไปทางพลเรือโทธารน้ำแข็งเป็นระยะ
ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่า เดนิสเคยนำความลับเรื่องที่ตนสังเวยบางสิ่งถึงคาเวทูว่า ไปแอบบอกให้เอ็ดวิน่าทราบ
หลังจากรับเบียร์มาถือ ไคลน์จงใจเดินผ่านหน้ากลุ่มของเดนิสและกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“พวกนายทุกคนชอบเธอสินะ”
พรวด… พรวด… พรวด…
ด้านหลังไคลน์ เสียงเบียร์ถูกพ่นจากปากดังอย่างพร้อมเพรียง
จากมุมสายตา ชายหนุ่มเห็นเดนิสกำลังเผยสีหน้าลนลาน ก่อนจะโล่งใจเมื่อหันไปเห็นอากัปกิริยาของพวกพ้อง
จากนั้น ทั้งสามคนเริ่มเดินถอยห่างออกจากกันโดยมิได้นัดหมาย ดวงตาแฝงไว้ด้วยอารมณ์หลากหลาย หนึ่งในนั้นมีความโกรธเคือง
ไคลน์ไม่หยุดเดิน มันถือถาดอาหารตรงไปยังห้องรับประทานอาหารกัปตัน และจัดการมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย
ผ่านไปสักพัก เอ็ดวิน่าเดินกลับเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ
เธอจิบนม เว้นวรรคสองวินาที จึงค่อยเริ่มบทสนทนา
“เดนิสอธิบายพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของคุณให้ฟังแล้ว ในนั้นมีการระบุว่า พิธีกรรมต้องใช้เหรียญทองเป็นเครื่องสังเวยทุกครั้ง ดิฉันยังคาใจ เหรียญทองที่ว่า เป็นเหรียญทองของโลเอ็น อินทิส ฟุซัค หรือเป็นเหรียญทองชนิดอื่น? เหรียญแต่ละประเภทมีน้ำหนักไม่เท่ากัน มูลค่าจึงต่างกัน”
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“โลเอ็น”
เพราะเหรียญทองของโลเอ็นมีน้ำหนักและมูลค่ามากที่สุด… และเราก็ไม่ใช่คนจ่าย… ชายหนุ่มเสริมในใจ
เอ็ดวิน่าผงกศีรษะ
“…ต้องจ่ายตอนรับจดหมายด้วยใช่ไหม”
“สิ่งมีชีวิตวิญญาณแต่ละตนย่อมมีงานอดิเรกแตกต่างกัน” ไคลน์อธิบายคลุมเครือ
มันทราบดี พลเรือโทธารน้ำแข็งคงเคยศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตวิญญาณมาบ้าง และต้องเข้าใจในเรื่องที่ตนพูด
เหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์มิได้โกหก เพียงปิดบังเรื่องที่เหรียญทองสามารถจ่ายโดยเจ้าของได้
“ถูกต้อง” เอ็ดวิน่าพยักหน้าเชิงเห็นพ้อง “ฉันเองก็เคยพยายามหาผู้ส่งสารประจำตัว แต่การคิดนิยามไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องคอยระวังอันตราย ยังต้องให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกใจ
“ลงเอยด้วย ฉันตัดสินใจล้มเลิกกลางคัน ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การครอบครองผู้ส่งสารเป็นไปได้ยากคือ พันธสัญญาต้องถูกกระตุ้นด้วยพลังในขอบเขตความตายที่รุนแรงมากพอ ต้องยอมรับว่า คาถาอัญเชิญผู้ส่งสารของคุณช่วยให้ฉันเกิดแนวคิดใหม่”
ไคลน์ยังคงนั่งกินอาหารเช้าอย่างเงียบงัน ไม่คิดอธิบายสิ่งใดให้อีกฝ่ายฟัง เพราะความรู้ทั้งหมดได้รับมาจากมิสเตอร์อะซิก หากจะเผยแพร่หรือส่งต่อ ก็ต้องได้รับความยินยอมจากชายคนนั้นก่อน
หลังจากอาหารมื้อเช้าอันยอดเยี่ยมจบลง ฝันทองคำแล่นมาจอดเทียบท่าเรือแห่งหนึ่ง เพื่อส่งเดนิสและไคลน์ลง
เดนิสชำเลืองฝันทองคำที่กำลังแล่นจากไป พลางถอนหายใจห่อเหี่ยว
“มิตรภาพของพวกฉันจมก้นทะเลไปแล้ว”
ไคลน์กดหมวก กล่าวเสียงขรึม
“มีแต่ไก่อ่อนเท่านั้น ที่เลือกสุมหัวอยู่กับพวกไก่อ่อนด้วยกัน”
ได้คำดังกล่าว เดนิสทำตัวไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าตนควรเสียใจหรือดีใจ
หลังจากแปลงโฉมและสร้างบัตรประชาชนปลอม ไคลน์ซื้อตั๋วเดินทางกลับบายัม และขึ้นเรือในวันเดียวกัน
มีเวลาส่วนตัวสักที…
ชายหนุ่มเข้าห้องน้ำ ส่งจิตเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก และรีบไล่ตรวจสอบคำวิงวอนจากสาวกเทพสมุทรเป็นอันดับแรก
ในคราวนี้ ภาพที่เด่นสะดุดตามาจากไครัท สมาชิกกลุ่มต่อต้านผู้มีศีรษะล้านและนั่งวีลแชร์
“ท่านมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราพบตัวเอลเลนผมแดงแล้ว หล่อนกำลังหลบซ่อนอยู่ในสถานทูตอินทิส… ข่าวนี้ได้รับการยืนยันจากคนสวนและสาวซักผ้า”
……………………