สงสัยจะรวดเร็วเกินไป…
มันกำลังวิ่งวนรอบโลกอยู่รึไง…
หรือว่ากำลังอยู่ข้างหน้าเรา เพียงแต่เคลื่อนไหวได้เร็วเกินไป ก็เลยมองตามไม่ทัน…
ไคลน์รำพัน อดทนรออย่างใจเย็นอีกสักพัก เพื่อดูว่าสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ ของตนจะปรากฏตัวตอนไหน
ชายหนุ่มไม่กังวลว่า ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ ของตนจะหลุดไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ในบริเวณใกล้เคียง เพราะแค่ตนสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญ ไม่ว่า ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ จะหนีไปไกลได้แค่ไหน แต่มันก็จะถูกส่งกลับโลกวิญญาณทันที
ผ่านไปหลายวินาที เมื่อมั่นใจว่าคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก ไคลน์ถอนหายใจยาวและเปล่งถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ
“ต้วข้า! ขอสิ้นสุดการอัญเชิญในนามแห่งข้า!”
บรรยากาศเย็นเฉียบรอบตัวพลันเลือนลับ เกลียวสายลมหมุนค่อยๆ จางหาย แสงเปลวเทียนกลับคืนสีปรกติ
ไคลน์เดินไปข้างหน้า ดับเทียนไข และเตรียมคิดคำนิยามใหม่เพื่อใช้อัญเชิญว่าที่ผู้ส่งสาร
ในส่วนของบรรทัด ‘ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า’ และ ‘สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและสามารถรับคำสั่ง’ นั้นยังไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน บรรทัดแรกมีไว้อ้างอิงถึงสิ่งมีชีวิตบนโลกวิญญาณ สามารถเปลี่ยนให้เป็นคำคล้ายกันได้ แต่ผลลัพธ์จะยังคงเหมือนเดิม ส่วนบรรทัดที่สองมีไว้เพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ตัวไคลน์เอง ไม่อย่างนั้น การเฟ้นหาผู้ส่งสารแสนสนุกสนาน อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมสยองขวัญ
อา… เราใช้วลี ‘เหนือจินตนาการ’ เสริมท้ายประโยคไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น คุณภาพของผู้ส่งสารอาจไม่ตรงตามใจ… หรือเราควรมองในมุมใหม่… ผู้ส่งสารไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็วจนมองตามไม่ทัน ขอเพียงมีความเร็วปานกลาง แต่ไม่ถูกแย่งชิงจดหมายไปก็พอ…
ไม่ถูกแย่งชิงจดหมาย… หมายความว่าไม่ตกเป็นเป้าของนักล่า…
ไคลน์ครุ่นคิดราวสามนาที ก่อนจะเริ่มประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง
เมื่อดำเนินขั้นตอนพื้นฐานเสร็จ ชายหนุ่มท่องคาถาบทใหม่
“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่นักล่าไม่สนใจ!”
ความเงียบปกคลุมโกดังร้างเป็นเวลานานอากาศรอบตัวไคลน์มิได้เย็นขึ้น ไม่มีสายลมหมุนวนเป็นเกลียว แม้กระทั่งเทียนไขก็ไม่เปลี่ยนสี
ไคลน์รอคอยอย่างใจเย็น ด้วยความหวังว่าจะมีผู้ส่งสารดีๆ โผล่ออกมาจากเปลวเทียน
ผ่านไปราวสิบวินาที ชายหนุ่มทำได้เพียงถอนหายใจห่อเหี่ยว พลางกวาดตามองไปรอบตัว
“ล้มเหลว… นิยามนี้ใช่ไม่ได้…”
มันไม่รีรอ รีบสิ้นสุดพิธีกรรมและดับเทียน
แต่ไคลน์ก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเปลวเทียนไหววูบสองสามหนก่อนจะดับมอด
หรือเรามองข้ามอะไรไป…
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็คลายออกแทบจะในทันที และไม่เก็บมาคิดให้ปวดหัวอีก
สมาธิย้อนกลับมาใคร่ครวญว่า ตนควรดัดแปลงคาถาไปในทิศทางใด โดยไม่สนใจบรรทัดที่หนึ่งและสอง มุ่งเน้นเพียงบรรทัดสุดท้ายเท่านั้น
เราต้องเปลี่ยนมุมมอง อาจไม่จำเป็นต้องถูกนักล่าเพิกเฉย แต่ต้องทนมือทนเท้าได้ดี หรือไม่ก็หลบหลีกเก่ง…
ผู้ส่งสารที่ดีคือผู้ส่งสารที่ทำงานสำเร็จ…
ไคลน์ครุ่นคิดอีกสักพัก ก่อนจะเริ่มประกอบพิธีกรรมเป็นครั้งที่สาม
ท่ามกลางกลิ่นหอมรัญจวนของผงสมุนไพรและน้ำมันสกัด แสงจากเทียนไขกำลังฉาบใบหน้าชายหนุ่มครึ่งหนึ่งจนเกิดแถบเงาดำ
เสียงท่องคาถาดังกังวานภายในโกดังร้าง
“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตวิเศษที่มีความทนทานเป็นเลิศ!”
ทันใดนั้น เปลวไฟเทียนไขเริ่มขยายตัว สีสันแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน
ภายในเนตรวิญญาณของไคลน์ กระดูกสีขาวจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้นดิน และกองสุมก่อตัวกันเป็นรูปทรงคล้ายตู้นิรภัย
อัญเชิญสิ่งมีชีวิตปรกติออกมาได้สักที…
หืม… น่าจะมีความทนทานทางร่างกายสูง… ด้วยสภาพราวกับตู้นิรภัยเช่นนี้ มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าทนมือทนเท้า…
ไคลน์เริ่มหายใจทั่วท้อง พลางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเฮอร์มิสโบราณ
“เจ้าเป็นผู้ส่งสารให้ข้าได้หรือไม่”
ตู้นิรภัยกระดูกขาวพยักหน้ารับเล็กน้อยเพื่อยืนยันเจตจำนง จากนั้น บางสิ่งคล้ายกระดูกที่อยู่ใต้กล่องนิรภัยเริ่มขยับอย่างเชื่องช้า ร่างกายของมันกำลังคืบคลานเข้าหาไคลน์ด้วยความเร็วสุดอืดอาด
เพียงระยะทางหนึ่งเซนติเมตร มันใช้เวลานานเกือบสิบวินาที!
ช้าฉิบหาย…
ไคลน์ยิ้มแห้ง
จริงอยู่ ผู้ส่งสารสามารถเดินทางผ่านโลกวิญญาณได้ภายในพริบตา แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า พวกมันไม่ต้องใช้ความเร็ว
ท่ามกลางโลกวิญญาณอันปั่นป่วนและไม่สมเหตุสมผล สิ่งสำคัญในการเดินทางก็คือ ต้องระบุพิกัดปลายทางอย่างแม่นยำ
ขอเพียงระบุตำแหน่งล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน ผู้ส่งสารสามารถปรากฏตัวบนโลกความจริงได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น หากอัญเชิญผู้ส่งสารจากพิธีกรรม หรือแม้กระทั่งการเป่านกหวีดของแดงของมิสเตอร์อะซิกที่มีลักษณะเหมือนกับพิธีกรรม ผู้ส่งสารก็จะมาปรากฏตัวตรงหน้าแท่นบูชาในพริบตา โดยไม่สนว่าจะอยู่ในส่วนใดของโลกวิญญาณ
แต่ถ้าตำแหน่งของปลายทางไม่แน่นอน ไม่มีพิกัดระบุเหมือนกับแท่นบูชา มีเพียงสายสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างเลือนราง ผู้ส่งสารจำเป็นต้องตระเวนหาปลายทางภายในโลกวิญญาณสักพัก และขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ความเร็ว
หากเราใช้เจ้านี่เป็นผู้ส่งสาร เกรงว่าคนรับอาจแก่ตายก่อนจดหมายจะถึงมือ…
ไคลน์ครุ่นคิด พลางจ้องตู้นิรภัยกระดูกขาวที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
ชายหนุ่มฉีกยิ้มอ่อนโยน
“หลังจากลองทบทวนดูใหม่ ข้าคิดว่าคงเป็นการดีกว่า หากจะไม่รบกวนเวลาของเจ้า ขอบคุณที่เต็มใจช่วยเหลือ”
ได้ยินเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตกระดูกมายาพลันหยุดเดินกลางคัน ถึงจะเรียกว่าเดิน แต่ถ้านำไปเทียบกับตอนแรกที่ปรากฏตัว มันแทบไม่ได้ออกจากจุดเดิมเลยสักนิด
ไคลน์รีบยกเลิกพิธีกรรมอัญเชิญ ตามด้วยการเลื่อนมือขึ้นมาก่ายหน้าผาก
ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่ไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งอุดมการณ์เก่า และคิดหาวิธีทำให้ขั้นตอนมีความซับซ้อนน้อยลง
ทันใดนั้น มันบังเอิญหวนนึกถึง ‘นิทรรศการสมัครงาน’ สมัยยังอยู่โลกเก่า จึงเริ่มผุดไอเดียหนึ่งขึ้นมา
นัดสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม!
ไคลน์สูดลมหายใจยาวเข้าเต็มปอด พยายามสงบจิตใจ และเริ่มประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง
ขณะสายตาจ้องเทียนไขที่กำลังลุกไหม้อย่างอ่อนโยน มันเปล่งเสียงกังวานคมชัด
“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตที่ต้องการเป็นผู้ส่งสารของข้า!”
ฟ้าว!
สายลมพลันพรั่งพรูเข้ามาในกำแพงวิญญาณอย่างท่วมท้น จนหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะชายหนุ่มเกือบปลิวหลุด
เปลวเทียนไขสั่นไหววูบวาบ ตามด้วยการขยายขนาดจนเท่ากับสมองของมนุษย์ โดยสีของไฟเริ่มซีดจางลงราวกับสูญเสียอุณหภูมิ
ทันใดนั้น ศีรษะมายาลอยออกจากเปลวเทียนที่ขยายตัวออกเป็นแผ่นบาง เผยให้เห็นเส้นผมสีทองอ่อนยาวสลวย ดวงตาสีแดงสดราวกับเลือด แถมยังเปล่งประกายอย่างสง่างามตลอดเวลา
ทำไมถึงได้คุ้นหน้านัก…
ไคลน์พึมพำ
เมื่อศีรษะโผล่พ้นเปลวเทียนโดยสมบูรณ์ อวัยวะถัดมามากลับไม่ใช่ลำคอ แต่เป็นฝ่ามืออันขาวเนียนของหญิงสาว ปลายนิ้วมายาทั้งห้ากำลังจับศีรษะไว้แน่นกระชับ
ถัดจากฝ่ามือเป็นชายเสื้อแขนยาวสีเข้ม สลักลวดลายซับซ้อนแต่สง่างาม
สิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ถูกอัญเชิญเริ่มโผล่ออกจากเปลวไฟด้วยความรวดเร็ว จนกระทั่งไคลน์มองเห็นร่างสมบูรณ์ของอีกฝ่ายอย่างเต็มสองตา
ถูกต้อง เป็นคนที่ไคลน์เคยเห็นมาก่อน หล่อนคือหญิงสาวไร้หัวที่ยืนบนปราสาทขณะชายหนุ่มกำลังตามหาซากศพของคาเวทูว่า
แต่ร่างกายมิได้ใหญ่โตเท่าปราสาทเหมือนคราวก่อน ส่วนสูงและสัดส่วนเทียบเท่ามนุษย์เพศหญิงธรรมดาคนหนึ่ง
แน่นอน ศีรษะยังคงด้วน รอยตัดรอบลำคอยังคงเรียบเนียนเหมือนเคย โดยแขนทั้งสองข้างกำลังหิ้วศีรษะสี่เศียรแบ่งข้างละสอง
ใบหน้าของทุกหัวเหมือนกันราวกับแกะ
“เจ้า… เรียก… ข้า… หรือ…”
สตรีไร้หัวผู้สวมชุดเดรสดำรุงรังแต่สง่างาม ร่างมายาของเธอยังคงยืนนิ่งในจุดเดิม แต่ศีรษะทั้งสี่ของเธอสลับกันพูดทีละคำเป็นภาษาฟุซัคโบราณ
สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้… ระดับของตัวตนต้องไม่ธรรมดาแน่… ถ้าจำไม่ผิด หล่อนมีปราสาทเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ… ในเมื่อเป็นถึงเจ้าของที่ดิน แล้วทำไมถึงมาสมัครเป็นผู้ส่งสารให้เรา…
ไคลน์รำพันพลางตั้งคำถาม ก่อนจะหันไปมองเปลวเทียนด้านหลังหญิงสาวอย่างผิดหวัง เนื่องจากไม่มีวิญญาณดวงอื่นลอยออกมาเพิ่ม
มันเคยคิดว่า การอัญเชิญด้วยคาถาแบบหว่านแห จะทำให้วิญญาณมากมายต่อคิวกันมาสมัครเป็นผู้ส่งสาร แต่ในความเป็นจริง ผู้ตอบสนองพิธีกรรมกลับมีเพียงหนึ่ง
ปัญญาน่าจะอยู่ที่ระดับพิธีกรรม…
พิธีกรรมอัญเชิญของเราเรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน คงไม่มีอำนาจมากพอจะอัญเชิญวิญญาณได้มากกว่าหนึ่ง…
ไคลน์จ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวไร้หัว ตามด้วยการมอบคำตอบ
“ใช่ครับ”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายซักถาม มันรีบตั้งคำถามเพิ่มเติมสองข้อ
“คุณเคลื่อนที่บนโลกวิญญาณได้เร็วแค่ไหน… แล้วร่างกายทนทานหรือไม่…”
หญิงไร้หัวตอบกลับด้วยศีรษะในมือ
“แน่… นอน… ค่อน… ข้าง… เร็ว…”
ขณะกล่าว เธอลอยตัวขึ้นและพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นด้วยการกระทำ
ไม่เลว…
ไคลน์ไม่ซักถามให้มากความ ตัดสินใจพูดเข้าประเด็นทันที
“อยากทำพันธสัญญากันไหม… มาเป็นผู้ส่งสารให้ผม”
กระโปรงของหญิงไร้หัวกระพือเล็กน้อย ก่อนที่ศีรษะทั้งสี่จะพยักหน้าพร้อมกัน
“ตก… ลง… หนึ่ง… เหรียญ…. ทอง… ต่อ… หนึ่ง… ครั้ง…”
หือ… หนึ่งเหรียญทองต่อหนึ่งครั้ง?
มิสเตอร์อะซิกไม่เห็นจะเคยเล่าให้ฟังว่า สิ่งมีชีวิตวิญญาณมีงานอดิเรกแบบนี้ด้วย… แต่เขากำชับมาว่า ก่อนจะทำพันธสัญญา ควรมีการพูดคุยข้อตกลงกับอีกฝ่ายให้ชัดเจนเสียก่อน… นี่คงเป็นขั้นตอนดังกล่าวกระมัง…
ไคลน์ตกใจจนเกือบยกเลิกพิธีกรรมกลางคัน
ใจเย็นก่อน… หล่อนไม่ได้ระบุว่าเราต้องจ่ายเสมอไป… หากเราโน้มน้าวและพูดคุยอย่างใจเย็น บางทีอาจมีระบบเก็บเงินปลายทาง…
หลังจากเค้นสมองวิเคราะห์หาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ ไคลน์ตัดสินใจใช้บริการหล่อน
“ตกลง มาทำพันธสัญญากัน”
ชายหนุ่มหยิบปากกาหมึกซึมสีแดงและกระดาษหนังสีน้ำตาลที่เตรียมไว้ขึ้นมา จากนั้นก็เขียนด้วยตัวอักษรเฮอร์มิสโบราณ ภาษาซึ่งมีอำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติ
รายละเอียดของพันธสัญญาถูกเขียนขึ้นตามคำแนะนำของมิสเตอร์อะซิก เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ เงื่อนไขประกอบด้วย ผู้ส่งสารห้ามเปิดอ่านเนื้อหา ห้ามทิ้งจดหมาย และห้ามทำอันตรายแก่คู่สัญญา แน่นอน ถ้าเป็นจดหมายถึงผู้ส่งสาร คู่สัญญาจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
สุดท้าย ไคลน์เพิ่มเข้าไปอย่างชัดเจนว่า ทุกการส่งจดหมายจะมีค่าบริการทั้งสิ้นหนึ่งเหรียญทอง โดยผู้จ่ายจะเป็นฝั่งคู่สัญญาหรือฝั่งปลายทางก็ได้ทั้งนั้น
เพื่อให้พันธสัญญามีผลบังคับใช้ พลังของตัวตนระดับสูงคือสิ่งจำเป็น ท้ายจดหมายจึงต้องลงนามด้วยชื่อของเทพในขอบเขตดังกล่าว
ตามปรกติแล้ว เมื่อเป็นพันธสัญญาในอำนาจของมรณา นามของเทพก็ควรเป็นมรณา แต่เนื่องจากเทพมรณาร่วงหล่นไปเป็นเวลานานและไม่เคยตอบสนองพิธีกรรม อะซิกจึงแนะนำให้ไคลน์ระบุถึงนามของตัวตนอื่นบนเส้นทางความตายแทน หรือไม่ก็ระบุถึงนามของโลกแห่งความตายโดยตรง ส่วนนี้เป็นเพียงพลังผูกมัดผิวเผิน ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองอะไรนัก
ไคลน์ตัดสินใจเลือกระบุนามของโลกแห่งความตาย เพราะฟังดูเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่
“สถานที่หวนกลับสำหรับทุกชีวิตที่แตกดับ โลกแห่งความตายที่ซ่อนเร้นในโลกวิญญาณ ประจักษ์พยานการเน่าเปื่อยของทุกชีวิต อาณาจักรแห่งเทพมรณาเพียงผู้เดียว!”
หลังจากเขียนนามเต็มของโลกแห่งความตายครบสี่บรรทัด ตัวอักษรภาษาเฮอร์มิสโบราณเริ่มส่องแสงสีเขียวไล่จากต้นจนจบ บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มพลันอึมครึมทันใด
เมื่อตรวจทานความถูกต้องเป็นครั้งสุดท้ายจนมั่นใจ ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงของอะซิกซึ่งมาวางลงบนกระดาษหนัง และลงนามด้วยชื่อของตัวเอง :
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
ตรงจุดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อจริง เพราะพันธสัญญาจะสมบูรณ์ด้วยออร่าของทั้งสองฝ่าย ชื่อจะมีไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมอัญเชิญให้สมบูรณ์
ตัวอย่างเช่น หากลงนามด้วยชื่อเกอร์มัน คาถาการอัญเชิญจะต้องลงท้ายด้วยคำว่า ‘ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว’ เท่านั้น ถ้าเปลี่ยนเป็น ‘สิ่งมีชีวิตที่เป็นคู่สัญญาของไคลน์·โมเร็ตติ’ จะไม่สามารถใช้การได้
เมื่อไคลน์ลงนามเสร็จ กระดาษหนังลอยขึ้นพร้อมกับนกหวีดทองแดง ก่อนจะบินไปหาหญิงสาวไร้เศียรมาดสง่างาม
เจ้าของเส้นผมสีทองสว่างและดวงตาสีแดงสดส่องประกาย ทำการลงนามด้วยชื่อ :
“ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์”
ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีเขียวอ่อนพลันลุกโชนขึ้นจากตัวหนังสือ เผาไหม้กระดาษหนังไปพร้อมกับคลอกนกหวีดทองแดง
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ กระดาษหนังแปรเปลี่ยนเป็นละอองขี้เถ้าโดยสมบูรณ์ ส่วนนกหวีดทองแดงของอะซิกหล่นลงบนฝ่ามือไคลน์อย่างนุ่มนวลและไร้รอยขีดข่วน
ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์ขยิบตาให้ไคลน์พร้อมเพรียง ก่อนจะหายตัวกลับเข้าไปในเปลวเทียนหน้าแท่นบูชาอย่างเงียบงัน
เมื่อพันธสัญญาจบลง ชายหนุ่มไม่ต้องเปลืองแรงสิ้นสุดพิธีกรรมด้วยตัวเอง อีกฝ่ายสามารถหายตัวกลับไปได้ดั่งใจ
อา… เรามีผู้ส่งสารเป็นของตัวเองสักที… คาถาอัญเชิญเธอก็คือ ‘ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า ; สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง ; ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว’ …
หลังจากนี้ เราคงต้องหาโอกาสติดต่อช่างฝีมือ และให้อีกฝ่ายช่วยสร้างสมบัติวิเศษที่คล้ายกับนกหวีดทองแดงอะซิก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาประกอบพิธีกรรมทุกครั้ง…
ไคลน์เก็บข้าวกองอย่างอารมณ์ดี
…
ผ่านมาหลายวัน เมืองบายัมเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปรกติ กฎอัยการศึกถูกยกเลิก
แต่ถึงอย่างนั้น เดนิสที่คอยเฝ้าเครื่องรับโทรเลขไร้สายเกือบตลอดทั้งวัน ก็ยังไม่พบข้อความใดจากฝ่ายพลเรือเอกโลหิต
…
วันอาทิตย์ช่วงเช้า เดนิสนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ พลางหันมากล่าวกับไคลน์ด้วยเสียงที่ถูกบีบให้เบาลง
“คืนนี้มีชุมนุมผู้วิเศษ นายสนใจไหม”
……………………