“บัญญัติประการที่สอง : ห้ามนำชื่อของเราไปแอบอ้าง”
“บัญญัติประการที่สาม : ห้ามศรัทธาในเทพองค์อื่น”
“บัญญัติประการที่สี่ : จงมอบความรักแก่บุพการี คู่สมรส บุตรธิดา เฉกเช่นที่รักเรา”
“บัญญัติประการที่ห้า : ห้ามประพฤติผิดในกาม”
“บัญญัติประการที่หก : ห้ามเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”
“บัญญัติประการที่เจ็ด : ห้ามเพิกเฉยต่อการกระทำความผิด การใส่ร้าย การผิดสัญญา”
“บัญญัติประการที่แปด : จงรับใช้เราด้วยหัวใจ มิใช่การสังเวย”
“บัญญัติประการที่เก้า : หากกระทำความผิดเล็กน้อย จงชดใช้บาปให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงค่อยมาขอขมาต่อเรา”
“บัญญัติประการที่สิบ : จงช่วยเหลือพวกพ้อง เพื่อนร่วมชาติ และพี่น้องร่วมสายเลือด ไปพร้อมกับสรรเสริญนามของเราให้กึกก้อง”
บัญญัติศาสนาชุดใหม่กำลังดังกังวานในห้วงความคิดของ ‘หัวล้าน’ ไครัท หนึ่งในสมาชิกกลุ่มต่อต้าน สิ่งนี้ยิ่งทำให้มันหมอบกราบแนบไปกับพื้น ร่างกายสั่นเทาอย่างมิอาจยับยั้ง เป็นความรู้สึกซาบซ่านจนมิอาจสรรหาคำใดมาอธิบาย
ในฐานะผู้วิเศษลำดับกลางและสมาชิกกลุ่มกบฏผู้เคยได้รับการศึกษาจากฟุซัค ไครัทย่อมมีโลกทัศน์กว้างพอสมควร จึงตระหนักว่าศาสนา ‘เทพสมุทร’ ถือกำเนิดด้วยความหวาดกลัวเป็นที่ตั้ง หวาดกลัวในพลังอันยิ่งใหญ่ของเทพ หวาดกลัวในภัยธรรมชาติที่มนุษย์มิอาจต่อต้านขัดขืน หวาดกลัวต่อพิธีกรรมดิบเถื่อนและโชกเลือด เป็นการถอยหลังทางวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในอีกไม่ช้าก็เร็ว ศาสนาเทพสมุทรอาจต้องถูกแรงกดดันจากภายนอกทำลาย
ไครัทเชื่อเช่นนั้นมาตลอด แต่ด้วยความที่ถูกบังคับให้ศรัทธาตั้งแต่ยังเล็ก มันมิกล้าขัดขืนต่อวิวรณ์ที่ตนได้รับจากเทพสมุทรโดยตรง จึงต้องฝังกลบความปรารถนาจากใจจริงของตน ความคิดที่จะยกเลิกพิธีกรรมสังเวยชีวิต โดยปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นตามสมัยนิยมของโลก
แต่ในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเทพสมุทรกำลังทำให้มันเกิดความยินดีปรีดาจากก้นบึ้งหัวใจ เหตุเพราะ ‘เทพป่าเถื่อน’ ตามคำเรียกขานของคนภายนอก ได้วิวัฒนาการกลายเป็นเทพจิตใจงดงามเต็มตัว
พวกเราทุกคนถูกอวยพร…กลุ่มต่อต้านทุกคนถูกอวยพร สาวกทุกคนถูกอวยพร…
ไครัทยกศีรษะเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างนำมาประนมใต้ริมฝีปาก
“กระผมจักปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัด! และกล่าวสรรเสริญพระนามของท่านไปตราบจนชีวิตหาไม่!”
ภาพของบุคคลอันเลือนรางเริ่มจางหายไปจากการมองเห็นไครัท ไม่หลงเหลือแม้แต่สุ้มเสียงลุ่มลึกกังวาน ฉากภายในถ้ำกลับคืนสู่ความปรกติ
แต่ไครัททราบดี ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
มันรีบคลานด้วยศอก ตรงไปยังวีลแชร์อย่างคล่องแคล่วและมีกำลังวังชา ปืนขึ้นนั่ง และหมุนหันทิศทางไปยังอีกฝั่งของถ้ำ
เพียงไม่นาน ไครัทได้พบเอ็ดมันตัน และเห็นว่าชายผู้สักงูทะเลยักษ์ไว้บนท่อนแขน กำลังยืนจ้องมองเทวรูปที่ชุ่มไปด้วยเลือด โดยกึ่งกลางหน้าผากเอ็ดมันตันก็กำลังชุ่มเลือดเช่นกัน แต่บาดแผลค่อนข้างลึกและน่าหวาดเสียว
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเอ็ดมันตันกลับเผยความอิ่มเอม เบิกบาน และพึงพอใจอย่างสุดขีด มันหันกลับมาจ้องไครัทและถาม
“ได้รับพระวิวรณ์เหมือนกันใช่ไหม…”
“อา…แฝงด้วยกลิ่นอายของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม เป็นท่านไม่ผิดแน่” ไครัทพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น “ไม่เพียงพระองค์จะกลับมายังโลกของเราอย่างปลอดภัย แต่ยังบัญญัติหลักการใหม่ขึ้นมาด้วย”
เอ็ดมันตันยิ้มอย่างยินดี
“ฉันคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนเสียอีก…ดูเหมือนว่า เพียงให้คนนอกสัมผัสดาบกระดูก พระองค์ก็สามารถกลับมายังโลกมนุษย์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องยกมันขึ้น”
ไครัทพยักหน้า
“คงเป็นเช่นนั้น…เทวรูปที่แตกหักของพระองค์คงกำลังสื่อว่า ท่านได้วิวัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลงรูปโฉม…ทางเราเองก็ต้องสร้างเทวรูปขึ้นใหม่เช่นกัน! ให้เหมือนกับที่เห็นในพระวิวรณ์!”
“ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังสำแดงตราสัญลักษณ์ใหม่ให้ข้าประจักษ์ เป็นรูปคทาสายฟ้าลอยอยู่เหนือสัญลักษณ์คลื่น ฉากหลังรายล้อมด้วยพายุ” เอ็มมันตันเล่าพลางทำหน้านึก
ไครัทตบที่เท้าแขนวีลแชร์หนึ่งฉาด :
“รีบตามหาท่านนักบวชเร็ว! ท่านต้องได้รับพระวิวรณ์แบบเดียวกับเราแน่ ถึงเวลาเริ่มต้นยุคสมัยใหม่แล้ว!”
…
ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ไคลน์วางคทาเทพสมุทรลง บีบนวดหน้าผากด้วยสีหน้าอิดโรย
ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักถึงจุดอ่อนของคทาเทพสมุทร จริงอยู่ คทาด้ามนี้อาจสามารถตอบสนองต่อพิธีกรรมเวทมนตร์ และยังสำแดงฤทธิ์เดชให้อีกฝ่ายได้บางส่วน ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของผู้ประกอบพิธีกรรม แต่พลังที่สำแดงได้จะต้องอยู่ในขอบเขตอำนาจเท่านั้น ไม่สามารถข้ามขีดจำกัดได้ จึงมิอาจช่วยเหลือสาวกได้ทุกเรื่อง
ยกตัวอย่างเช่น เทพธิดารัตติกาลสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ในขอบเขตของ ‘โชค’ ให้แก่เป้าหมาย ช่วยให้ผู้ประกอบพิธีกรรมได้รับเงินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญสำหรับนำไปชดใช้หนี้สิน แต่หากสาวกเทพสมุทรคนใดขอร้องในสิ่งเดียวกัน อย่างมาก ไคลน์ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนสิ่งของบนแท่นบูชาให้มีรูปลักษณ์คล้ายธนบัตร แต่ไม่นานก็จะกลับคืนสภาพเดิมและมิอาจนำมาใช้การได้
“นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างเทพกำมะลอกับเทพตัวจริง…ที่แย่ไปกว่านั้น หากใช้งานคทาด้ามนี้ด้านนอกห้วงมิติเหนือสายหมอก ทุกครั้งที่มีการประกอบพิธีกรรมจากสาวก พลังของคทาจะบังคับให้ผู้ถือเข้าสู่ขั้นตอนตอบสนองพิธีกรรมโดยอัตโนมัติ และเมื่อจบหนึ่งพิธีกรรม พลังวิญญาณก็แทบไม่หลงเหลือ…คงเป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่าเทพจารีตถึงเลือกตอบสนองเฉพาะพิธีกรรมเวทมนตร์ที่สำคัญเท่านั้น แต่ถ้าใช่งานบนห้วงมิติเหนือสายหมอก คำสวดวิงวอนทั้งหมดจะถูกปิดกั้นและบีบอัดในรูปของละอองแสง ไม่จำเป็นต้องตอบสนองทุกพิธีกรรมโดยอัตโนมัติ…แต่ปัญหาคือ เราต้องคอยนั่งตอบสนองทุกพิธีกรรมทีละคน…เราก็ไม่สามารถแช่อยู่บนสายหมอกได้ตลอดทั้งวันสักหน่อย แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดี โดยไม่ว่าพิธีกรรมจะถูกประกอบอย่างหยาบสักเพียงใด แต่เป้าหมายของพิธีกรรมจะมุ่งหน้ามายังคทาด้ามนี้เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา หากไม่มีอารมณ์ตอบกลับ ก็ไม่มีใครมาบังคับได้ หืม…ถ้ามีเวลาว่าง เราควรคิดค้นระบบตอบรับอัตโนมัติให้กับคทาเทพสมุทร…ใช้เทวทูตกระดาษได้ไหม? คงไม่ ของแบบนั้นไม่มีวิญญาณ…หรือสร้างหุ่นเชิดแบบกลไกเพื่อคอยตอบสนองคำสวดวิงวอนจิปาถะ? อา…เรายังไม่แน่ใจว่า ‘นักเชิดหุ่น’ มีความสามารถแบบนั้นหรือไม่ เพราะโรซาโก้แสดงให้เห็นแค่การเปลี่ยนมนุษย์เป็นหุ่นเชิด”
สมองไคลน์เริ่มดำดิ่ง ดวงตาเพ่งมองกล่องบุหรี่โลหะ
หลังจากทดสอบดูสักพัก มันพบว่ากล่องบุหรี่โลหะที่ผิวด้านนอกถูกกัดกร่อนด้วยน้ำย่อยคาเวทูว่าอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพอย่างเห็นได้ชัด เนื้อโลหะแข็งขึ้นมาก เหนียวขึ้น จนสามารถต้านทานการกัดกร่อนจากน้ำย่อยได้ แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตจินตนาการของมนุษย์
ยังไม่มีพลังพิเศษแฝง…แต่ถ้าเก็บไว้ในนี้อีกสักสองสามปี หลายสิบปี หรือนานกว่านั้น บางที มันอาจแปรสภาพกลายเป็นสมบัติวิเศษ…หรืออาจถึงขั้นกลายเป็น ‘กล่องผนึก’ ที่พลังวิญญาณจะเสื่อมลงทีละนิดหากนำออกไปด้านนอกมิติ…
มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบา สายตามองไปยัง ‘กองขยะ’ ด้านข้าง
สมบัติทุกชิ้นของชายหนุ่ม ถูกสายหมอกปกคลุมอย่างมิดชิดจนแทบจะกลมกลืนไปกับสถานที่แห่งนี้
หึหึ…
ไคลน์หัวเราะในลำคอ เบือนหน้ากลับ
ชายหนุ่มลงมือสำรวจแก้วทองคำของเอลฟ์ครึ่งเทพอีกครั้ง เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าตนมิได้มองข้ามสิ่งใดไป
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จสรรพ มันส่งจิตกลับสู่โลกความจริง ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญอีกครั้ง เพื่อนำเข็มกลัดสุริยันและสมบัติวิเศษชิ้นอื่นกลับไปยังโรงแรม
ในตอนนี้ ท้องฟ้าและจันทราสีแดงฉานเบื้องบน กำลังมอบบรรยากาศเงียบสงบชวนฝันหวานให้กับบายัม เมืองแห่งการให้
…
เก้าโมงเช้า วิหารคลื่นสมุทร
อัลเจอร์ถูกเรียกพบเป็นการด่วน มันใช้การสารภาพบาปบังหน้า เพื่อเข้าไปนั่งสนทนากับบิชอปโชโกรี
“ตามหาชายคนนี้” โชโกรีส่งภาพเหมือนของบุคคลผู้หนึ่งให้
งานใหม่อีกแล้ว… เกิดอะไรขึ้นกันแน่…
อัลเจอร์พึมพำในใจพลางคลี่กระดาษ
เมื่อได้เห็นเนื้อหา มันเกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่และหลุดขำเสียงดัง
ในทางทฤษฎี ไม่มีใครในโลกสามารถตามหาบุคคลในภาพได้ เนื่องจากรูปของเป้าหมายคลุมเครือเป็นอย่างมาก ไม่ทราบแม้กระทั่งเพศหญิงหรือชาย หน้าตาเป็นเช่นไร ภายในหัวอัลเจอร์อุทานทันทีว่า ‘จะหาพบได้ยังไง?’
กัปตันหนุ่มไม่ปกปิดสีหน้าประหลาดใจ พลางซักถามออกไปตามความรู้สึก
“ใครกันครับ”
หากพึ่งพาได้เพียงภาพแสนคลุมเครือ มันคงไม่มีจุดเด่นใดสำหรับใช้ตามมา จึงต้องการข้อมูลเพิ่ม
เมื่อวานไม่มีงานนี้…แต่พอถึงช่วงเช้าของวันถัดมา เรากลับถูกเรียกตัวพบด่วน และมอบหมายงานตามหาคนให้ทันที…เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อา…ป่านนี้คาเวทูว่าจะร่วงหล่นไปแล้ว โบสถ์และกองทัพคงกำลังตามหามรดกของมัน…จากเบาะแสเบื้องต้น รังของคาเวทูว่าน่าจะอยู่แถวเกาะไซมีมสินะ…หรือบุคคลในภาพไปถึงที่เกิดเหตุก่อน และขโมยสิ่งสำคัญตัดหน้าท่านเจ้าคุณไป?
เป็นฝีมือของใครกัน?
หัวใจอัลเจอร์เริ่มเต้นระรัว จนแทบไม่กล้าหันไปสบตาอีกฝ่าย
โชโกรีพยักหน้ารับ
“ก็แค่หนูสกปรกตัวหนึ่ง แถมยังเป็นหัวขโมยต่ำช้า! น่าจะมาจากฟุซัคหรือไม่ก็อินทิส อาจเป็นสมาชิกโบสถ์สุริยันหรือเทพสงคราม”
อินทิสหรือฟุซัค? สุริยันหรือเทพสงคราม? ทำไมกรอบการสันนิษฐานถึงกว้างเช่นนี้…
หรือจะเป็นเพราะผลการทำนายของท่านเจ้าคุณถูกขัดขวาง จึงแทบไม่พบเบาะแสใดของคนร้ายเลย? แต่จากสามัญสำนึก การสันนิษฐานว่ามาจากฟุซัคหรือไม่ก็อินทิสนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ในฐานะที่พวกมันคอยสนับสนุนกลุ่มต่อต้านมานาน ย่อมมีโอกาสทราบแหล่งกบดานของคาเวทูว่า…หึหึ มีความเป็นไปได้มากทีเดียว พวกมันอาจรู้เรื่องนี้มานานแล้ว…นับว่าสอดคล้องกับสมมติฐานก่อนหน้าของเรา…
แต่เรื่องราวราวอาจไม่เป็นไปตามนี้ก็ได้…
อัลเจอร์เริ่มใจเย็นลง หันไปซักถาม
“มันก่อเรื่องอะไรไว้?”
“คุณยังไม่จำเป็นต้องทราบ แค่คอยตรวจตราความผิดปรกติของพวกอินทิสและฟุซัคในบายัมไว้ก็พอ อา…รวมถึงชนพื้นเมืองที่เป็นผู้วิเศษด้วย…แล้วก็ พยายามสืบหาเบาะแสของผู้ที่นำใบประกาศมาติดหน้าประตูวิหาร พวกมันน่าจะมีข้อมูลในมือ…ไว้คดีมีความคืบหน้าเมื่อไร ผมจะเล่าให้คุณฟังเพิ่มเติม”
โชโกรีกล่าวเสียงทุ้ม
ยิ่งไม่ยอมเล่า ก็ยิ่งตรงกับที่เราคิด…
อย่าบอกนะว่า บุคคลในภาพมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มปิดป้ายประกาศที่ระบุว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังขาดเสถียรภาพ…ชักอยากรู้แล้วว่า ตะกอนพลังของคาเวทูว่าจะตกอยู่ในมือใคร…
จริงสิ เดอะเวิร์ลยังอยู่ในบายัม…เขาเพิ่งมาเยือนไม่นาน แต่กลับเกิดเรื่องใหญ่ทันที หรือนี่จะเป็นพระประสงค์ของมิสเตอร์ฟูล?
เหตุการณ์ครั้งนี้ช่วยคลายผนึกของท่าน และกำลังฟื้นฟูพลังกลับมาทีละนิด?
เมื่อจินตนาการว่าข้อสันนิษฐานของตนเป็นความจริง รูม่านตาอัลเจอร์พลันสั่นเทา
…
หลังจากลืมตาตื่น ไคลน์ ผู้กอบโกยผลประโยชน์มากมายจากเหตุการณ์เมื่อคืน เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและอารมณ์สดใส
มันเตรียมให้รางวัลตัวเองเป็นอาหารเช้า อาหารเที่ยง และอาหารเย็นชุดใหญ่สุดหรูหรา
ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปยังห้องนั่งเล่น และเห็นว่าเดนิสลุกจากเตียงแล้ว โดยกำลังวุ่นวายอยู่กับการถอดผ้าพันแผลและเฝือก
หายเร็วจังแฮะ…ไคลน์ชะงักเล็กน้อย
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินออกจากห้องนอน เดนิสหันมายิ้มให้
“ฉันมีพลังในการฟื้นตัวเป็นเลิศ ลำดับ 9 ชื่อว่านักล่า สมรรถภาพร่างกายโดยรวมจะถูกยกระดับอย่างมาก เหนือกว่ามนุษย์ปรกติหลายเท่าตัว ยิ่งเป็นด้านศิลปะการต่อสู้ยิ่งเชี่ยวชาญ และปัจจุบัน ฉันอยู่ในลำดับ 7”
ลำดับ 9 นักล่า? เชือดทิ้งไปแล้วคนนึง และยังรู้ด้วยว่าลำดับ 6 ชื่อนักวางแผน…
ไคลน์หวนนึกถึงศัตรูคนแรกที่ตนพบในกรุงเบ็คลันด์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ผลักให้ชายหนุ่มตกลงไปในวังวนความวุ่นวาย จนเกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอด
“ลำดับ 8…นักยั่วยุ?”
ไคลน์ซักถามด้วยเสียงเหยียดหยัน
มันเคยเดาเส้นทางของเดนิสไว้นานแล้ว จากพลังในการสร้างลูกไฟ โอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคือเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ หรือที่โรซายล์เรียกติดตลกว่า ‘เส้นทางแห่งลูกผู้ชาย’ ลำดับ 7 คือ ‘นักวางเพลิง’ โดยชื่อโบราณคือ ‘จอมอาคมอัคคี’
เดนิสชะงักเล็กน้อย เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายกำลังสบประมาทตน มันขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
“นายคิดว่าฉันยั่วยุไม่เก่งหรือ? ผิดแล้ว! ฉันชำนาญในเรื่องนี้มาก!”
……………………