หลังจากปลุกปล้ำสักพัก ไคลน์เริ่มมองเห็นภาพรวมของพลัง ‘คทาเทพสมุทร’
สามารถสร้างสึนามิ สร้างพายุเฮอร์ริเคน สร้างฝนฟ้าคะนอง สร้างพายุฟ้าผ่า ทำให้คนบินไปบนฟ้า เดินใต้ทะเล ได้โดยแทบไม่มีขีดจำกัดเหนี่ยวรั้ง
ตัวคทาแทบไม่มีโอกาสถูกทำลาย สามารถใช้ทุบหัวศัตรูได้โดยตรง หากไม่มีการรบกวนจากตัวตนระดับสูงกว่า ผู้ถือคทาแทบไม่มีวันหลงทาง มอบสมดุลทางร่างกายอันเป็นเลิศ สามารถออกคำสั่งกับสัตว์ทะเล ตอบสนองคำสวดวิงวอนของสาวก และสามารถมอบพลังระดับเดียวกับสัตว์ทะเลให้เป้าหมาย หรือสรุปโดยสั้น เจ้าของคทาด้ามนี้สามารถปกครองส่วนหนึ่งของท้องทะเลได้ไม่ยากเย็น
สำหรับไคลน์ พลังมากมายข้างต้นนับว่าเข้าข่ายขอบเขตของครึ่งเทพ เพราะแม้แต่ในสมรภูมิบนบก มันก็มั่นใจว่าตนสามารถหยุดยั้งการรุกรานจากฝูงบินรบกองทัพข้าศึกได้!
ย้อนกลับมามองตัวเอง ผู้วิเศษลำดับ 6 ที่เปี่ยมด้วยพลังพิเศษชั้นยอดมากมาย บางที ในสายตาคนทั่วไป ไคลน์สามารถกลายเป็นบุคคลในตำนานได้ไม่ยาก แต่สำหรับโลกผู้วิเศษ ตัวมันช่างเปราะบาง ใกล้เคียงกับคำว่า ‘มนุษย์’ มากกว่า ‘เทพ’ หากไม่ระวังให้ดี ลำพังปืนลูกโม่ธรรมดากระบอกเดียวก็สามารถปลิดชีพตนได้ แน่นอน การคลานขึ้นจากหลุมศพนั้นค่อนข้างเป็นกรณีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หากใครได้ครอบครองคทาเทพสมุทร ระดับตัวตนของมันจะเข้าใกล้กับเทพมากกว่ามนุษย์ทันที เป็นพลังระดับเดียวกับในนิทานก่อนนอนปรัมปรา พบได้เฉพาะสิ่งมีชีวิตประเภทเทพและมาร
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม บุคคลตั้งแต่ลำดับ 4 ขึ้นไปถึงถูกเรียกว่าครึ่งเทพ เพราะระดับของตัวตนใกล้เคียงกับเทพมากกว่ามนุษย์…
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ หัวเราะกับตัวเอง
หากเราสามารถใช้คทาเทพสมุทรได้อย่างอิสระ ตอนนี้ก็คงสมัครเป็นหนึ่งในอาวุโสใหญ่ของเหยี่ยวราตรีได้ทันที กลายเป็นสุดยอดสี่สิบสองบุคคลทรงอำนาจแห่งโบสถ์รัตติกาล…หรือถ้าอินซ์·แซงวิลล์ไม่มี 0-08 อยู่กับตัวและหลงเข้ามาในทะเล เราสามารถลงมือแก้แค้นได้ทันที แถมโอกาสสำเร็จก็ยังไม่น้อย…
แต่คำถามคือ มันใช้คทาเทพสมุทรได้อย่างอิสระหรือไม่?
“ไม่…”
ไคลน์เพิ่งพบว่า ผลข้างเคียงของคทาเทพสมุทรนั้นร้ายแรงจนน่าขนลุก ชนิดที่ว่าถ้าเป็นโบสถ์รัตติกาล สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้จะต้องถูกจัดอยู่ในความอันตรายระดับ 1 แน่นอน และไม่ทางเดาได้เลยว่า ทีมวิจัยจะต้องสังเวยชีวิตไปมากเท่าไร กว่าจะพบวิธีผนึกคทาด้ามนี้ให้ไม่มีพิษภัย
คทาเทพสมุทรมีผลเสียใหญ่ๆ อยู่สามข้อ
ข้อแรก คทาจะทำให้ผู้ใช้งานฉุนเฉียวง่าย โมโหง่าย และมักทำอะไรบุ่มบ่าม
ข้อสอง คทาจะค่อยๆ แช่แข็งความคิดของสิ่งมีชีวิตในรัศมีรอบตัวทั้งหมด พร้อมกับสูบเลือดและความชุ่มชื้นออกจากร่างกายจนเหือดแห้ง รวมถึงตัวผู้ใช้งานด้วย หากถามถึงรัศมีการแสดงผล ไคลน์ไม่ใช่นักวิจัยมืออาชีพ ยังมิอาจระบุขอบเขตเป็นตัวเลขได้แม่นยำนัก แต่ก็พอจะกะเกณฑ์ได้อย่างคร่าว รัศมีการแสดงผลนั้นกว้างราวหกร้อยเมตรถึงหนึ่งกิโลเมตร และรอบการสูบเลือดจะวนมาทุกๆ ยี่สิบถึงสามสิบห้านาที
ข้อสาม ได้ยินการสวดวิงวอนจากสาวกทุกคนภายในรัศมี แน่นอน ทั้งภาพและเสียง เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้ผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพซึ่งมีจิตใจไม่เข้มแข็ง เกิดภาวะคลุ้มคลั่งในบันดลเพราะได้รับข้อมูลปริมาณมหาศาลเข้าไป
“ข้อแรกยังพบรับได้ หากเราใช้งานไม่นานนัก อาการฉุนเฉียวก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลังจากนั้นค่อยนำไปผนึกให้แน่นหนา เพียงเท่านี้ก็ปราศจากผลข้างเคียงแล้ว ในส่วนของข้อสาม เราพอจะหาวิธีหลีกเลี่ยงได้ การสวดวิงวอนถึงเทพสมุทรจะมีระยะทางจำกัด หรือในอีกความหมายหนึ่ง ขอเพียงเดินทางออกจากหมู่เกาะรอสต์ ไปยังสักอาณาจักรบนบก เสียงสวดวิงวอนของสาวกก็จะส่งไปไม่ถึง เรียกว่าไม่มีผลข้างเคียงก็ยังได้ อา…การเก็บเอาไว้ในมิติเหนือสายหมอกก็คงได้ผลแบบเดียวกัน สามารถกีดขวางเสียงสวดวิงวอนได้ชะงักงัน โดยจะปรากฏในรูปแบบของละอองแสงรอบคทาแทน ไม่ส่งผลใดต่อเราทั้งนั้น จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ เลือกตอบใครก็ได้ และตอบอย่างไรก็ได้ โดยขณะตอบสนอง เรายังสามารถใช้พลังอื่นจากคทาเทพสมุทรได้ด้วย”
“แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือข้อสอง ตัวเราเองยังไม่เท่าไร เพราะในร่างจักรพรรดิมืดวิญญาณอาฆาต จะไม่มีเลือดให้สูบ แต่ปัญหาคือผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตรอบข้างทั้งหมด ไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู แถมยังกะเกณฑ์ระยะเวลาสูบเลือดได้ลำบาก…หรือถ้าไม่ต้องการสร้างอันตรายให้คนบริสุทธิ์ เราควรเจรจากับศัตรูเพื่อขอเปลี่ยนสถานที่ต่อสู้…ดีไหม?”
ไคลน์ครุ่นคิด ภาพการใช้คทาเทพสมุทรในรูปแบบต่างๆ ถูกจำลองในหัว แต่ไม่ว่าจะด้วยสภาพแวดล้อมแบบใด การนำคทาเทพสมุทรไปใช้งานจริงก็แทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้น
“เฮ่อ…เห็นที ชะตากรรมของมันคงต้องอยู่บนมิติสายหมอกเพียงอย่างเดียว รอให้คนแบบอามุนด์แทรกซึมเข้ามา จากนั้นค่อยใช้คทาเขกกะโหลก…ไม่สิ ต้องสร้างสายฟ้าลงมาผ่ากบาล…แต่อย่างน้อยก็ยังพอมีวิธีใช้งานในรูปแบบอื่น ตัวอย่างเช่น เมื่อมิสเตอร์แฮงแมนหรือมิสจัสติสขอความช่วยเหลือ ตัวเลือกจะมิได้จำกัดเพียงเทวทูตกระดาษอีกต่อไป เรายังสามารถเสกฝน เสกพายุ… แน่นอน วิธีการทำนั้นไม่ซับซ้อน ลักษณะเดียวกับการใช้แสงชำระล้างจากเข็มกลัดสุริยัน ส่งพลังผ่านเทวทูตกระดาษไปอีกทอดหนึ่ง เมื่อลองนึกดูให้ดี ด้วยความช่วยเหลือจากคทาเทพสมุทร การรับบทบาทครึ่งเทพบนมิติสายหมอกก็ยิ่งสมจริงมากขึ้น…”
อารมณ์ของไคลน์เริ่มกลับมาสดชื่น เพราะอย่างน้อยก็พบว่า คทาเทพสมุทรมิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อาจช่วยให้งานของตนหลายด้านสะดวกสบายขึ้นในอนาคต
มันเพ่งสมาธิอีกครั้ง สายตาจ้องมองคทาด้ามสีขาวที่ส่วนหัวเลี่ยมด้วยอัญมณีสีฟ้าเม็ดเล็กจำนวนมาก พลางผุดคำถามใหม่ :
เราควรตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนของสาวกเทพสมุทรหรือไม่…?
“คาเวทูว่าตายไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนเหล่านั้นยึดเหนี่ยวในเทพที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง…แต่ถึงนักบวชและหัวหน้ากลุ่มต่อต้านพบความผิดปรกติหรือไม่ได้รับการตอบสนองเป็นเวลานาน พวกเขาคงไม่ล้มเลิกความเชื่อของตนโดยง่าย มนุษย์มักหาทางปลอบใจตัวเองอยู่เสมอ สะกดจิตให้ตัวเองเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ โดยเฉพาะช่วงเวลายากลำบากของชีวิต ตัวอย่างที่ชัดเจนไม่ต้องหาจากไหนไกล เมืองเงินพิสุทธิ์ แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสองพันปี พวกเขากลับยังคงประกอบพิธีกรรมสังเวยให้พระผู้สร้างอย่างต่อเนื่อง โดยเลือกจะเชื่อว่า พระองค์เพียงทอดทิ้งพวกตนไป และอาจกลับมาเหลียวแลในสักวัน ด้วยหลักการเดียวกัน เมื่อสาวกคลั่งไคล้ของเทพสมุทรไม่ได้รับการตอบสนอง นอกจากพวกเขาจะไม่เชื่อว่าคาเวทูว่าเสียชีวิตไปแล้ว พิธีกรรมสังเวยคงยิ่งดุเดือดและเพิ่มจำนวนขึ้นจากเดิม โดยหวังจะได้รับความรักจากเทพอีกครั้ง…ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีหรือไม่กี่สิบปี ไม่มีทางเยียวยาให้ตาสว่าง…เมื่อกลุ่มต่อต้านไม่มีเทพพื้นเมืองอย่างคาเวทูว่าคอยหนุนหลัง เกรงว่ากองทัพฟุซัคหรืออินทิสจะเข้ามาล้างสมอง ถึงตอนนั้น กลุ่มต่อต้านอาจทำในสิ่งที่ขัดต่อหลักศีลธรรมยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้เทพพึงพอใจ ตัวอย่างเช่น การบุกถล่มเขตชุมชน หรือการฝึกฝนเด็กหนุ่มตัวเล็กขึ้นมาเป็นโล่มนุษย์ เราควรชี้นำให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ควรสอนสั่ง และสาธิตให้เห็นว่าความศรัทธาที่ถูกต้องเป็นเช่นไร ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำเกินตัว ช่วยได้เท่าที่ช่วย เราไม่มีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตคนเหล่านี้”
ไคลน์เคาะโต๊ะทองแดงยาวลายโบราณ พลางเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก
“แบบนี้ก็ดีเลยไม่ใช่หรือ…คาเวทูว่าถือเป็นเป้าหมายอันยอดเยี่ยมสำหรับเทคนิคสวมบทบาทผู้ไร้หน้า เราสามารถ ‘สวมรอย’ แทนคนเดิมได้อย่างแนบเนียน…แต่เราไม่รู้ว่าการสวมบทบาทบนมิติสายหมอกจะถูกขัดขวางหรือไม่ และได้รับการตอบสนองจากโอสถไหม ฮะฮะ… ของแบบนี้ ไม่ลองก็คงไม่รู้”
เมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์รู้สึกผ่อนคลาย
หลังจากวางแผนเสร็จ มันทำการแสดงภาพที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็น จากนั้นก็ถือคทาเทพสมุทร แผ่พลังวิญญาณเข้าไป สัมผัสกับหนึ่งในละอองแสงที่รายล้อม
…
ในป่าลึกแห่งหนึ่งบนเกาะภูเขาคราม
ณ ถ้ำลึกลับ
สมาชิกกลุ่มต่อต้าน หัวล้าน·ไครัท กำลังนอนหมอบไปบนพื้นใกล้กับวีลแชร์ ดวงตาสับสนและสิ้นหวัง พยายามตะเกียกตะกายไปหาเทวรูปคาเวทูว่าที่แตกหักด้วยตัวเอง
มันสัมผัสถึงบางสิ่ง แต่เลือกที่จะไม่เชื่อ เพราะนั่นหมายความว่า ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา การเสียสละ การสังเวย ความเจ็บปวด จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที
ไม่…มันคำรามเงียบงัน ปากขยับพึมพำพระนามเต็มอันสูงส่งของเทพสมุทรโดยมิได้หยุดหย่อน หวังได้รับคำตอบสนองจากเทพ
ไครัทพยายามตะกายด้วยศอก เคลื่อนตัวไปทางเทวรูปได้ทีละหนึ่งคืบ จนกระทั่งสามารถใช้มือคว้าศีรษะของงูทะเลที่สลักจากหิน และพบว่าบริเวณดวงตาทั้งสองข้าง แตกยุบเข้าไปจนเกิดโพรงลึกสีดำสนิท เขี้ยวทุกซี่ร่วงหล่นหมดปาก
หัวใจไครัทแทบหยุดเต้น อนาคตของมันช่างริบหรี่เหลือเกิน
แต่ทันใดนั้น ทัศนียภาพรอบตัวไครัทพลันแปรเปลี่ยน มันเห็นร่างพร่ามัวของใครบางคน ด้านหลังเป็นกำแพงคลื่นสึนามิสูงเสียดท้องฟ้า พร้อมกับพายุอัสนีคำรามแผ่กิ่งก้านสีเงินคล้ายกับต้นไม้
ท่ามกลางความตกตะลึง ไครัทรีบก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณ ความยินดีปรีดาและไม่เชื่อสายตากำลังเบ่งบานในใจ
ณ เบื้องล่าง มันเห็นคลื่นทะเลใต้ฝ่าเท้าของบุคคลปริศนา รายล้อมด้วยลมพายุกระโชกหมุนวนเป็นเกลียว องค์ประกอบทั้งหมดส่งเสริมให้อีกฝ่ายแผ่กลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ สูงส่ง และมากด้วยบารมี
ถัดมาไม่นาน ไครัทได้ยินเสียงอันเย็นชาแต่เปี่ยมด้วยพลานุภาพ
“เรากลับมาแล้ว”
ไครัทพรั่งพรูน้ำตาออกมาเป็นสายน้ำ
…
ณ โบราณสถานก้นทะเลที่ผสานเข้ากับโลกวิญญาณเพียงครึ่งหนึ่ง ผ่านไปสิบนาทีเต็มหลังไคลน์จากไป
ทันใดนั้น ม่านล่องหนด้านบนพลันถูกทำลายจากภายนอก น้ำทะเลที่เคยเติมเต็มห้วงมิติเริ่มไหลย้อนกลับและรั่วออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงยี่สิบสามสิบวินาทีถัดมา โบราณสถานเอลฟ์ได้แห้งเหือดราวกับเป็นเพียงดินแดนรกร้าง
พายุเฮอริเคนเกรี้ยวกราดกำลังร่อนลง มาพร้อมมวลอากาศสำหรับให้มนุษย์หายใจ
เงาของบุคคลจำนวนหนึ่งกระโดดลงจากพายุเฮอริเคน นำโดยชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อบึกบึนกำยำ ดูผิวเผินจะเหมือนชายอายุกว่าสี่สิบ ใบหน้าชัดลึก มอบบรรยากาศแข็งกร้าว ชุดคลุมนักบวชที่ควรจะหลวมกลับตึงแน่นจากกล้ามเนื้อขนาดมหึมาทุกส่วนของร่างกาย
หนึ่งในพระคาร์ดินัลของโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งหมู่เกาะรอสต์ อาวุโสใหญ่แห่งทูตพิพากษา เจ้าสมุทร แยนน์·ค็อตแมน
ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม เส้นผมสีเดียวกันแต่มีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไป ราวกับเป็นตัวหนอนขนาดเล็ก หรือไม่ก็หนวดสัตว์ทะเล
ด้านหลังแยนน์·ค็อตแมนคือกลุ่มหัวกะทิจากทูตพิพากษาและสมาชิกกองทัพ ทุกคนกวาดสายตาไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง ไม่กล้าประมาทระบบความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตประเภทครึ่งเทพ
ทันใดนั้น พวกมันได้ยินเสียง ‘ฟ้าว’ หนึ่งระลอก ก่อนจะถูกลมพายุพัดพาร่างกายและร่อนลงจอดบริเวณหน้าทางเข้าห้องโถงหลัก
ทุกคนเห็นเศษก้อนเนื้อ ศพของงูทะเลที่เหลือเพียงกระดูกสีขาว วางพาดยาวใจกลางห้องพร้อมด้วยชิ้นเนื้ออีกไม่มาก
“ฝีมือใคร!”
แยนน์·ค็อตแมนคำรามต่ำ พยายามระงับโทสะมิให้ปะทุออก
เมื่อสิ้นเสียงตะโกน ม่านน้ำตกพลันสาดเทลงมาจากความว่างเปล่าเบื้องบน
เสียงคลื่นทะเลดังสะท้อนจนกังวานไปทั่วห้องโถงซึ่งพังไปเกินกว่าครึ่ง ก่อนที่กระแสน้ำตกแนวตั้งจะเริ่มไหลเงียบเชียบด้วยผิวเรียบเนียนประหนึ่งทะเลสาบยามสงบ
ผิวน้ำตกฉายภาพเหตุการณ์ก่อนหน้า :
ใครบางคนที่แทบจะมองไม่ออก ทำการดึงคทาสีขาวซึ่งส่วนหัวเลี่ยมอัญมณีสีฟ้าจำนวนมาก ออกจากซากเสาหินถล่ม เป็นเหตุให้น้ำทะเลโดยรอบหมุนวนจนโบราณสถานสั่นสะเทือนหนักหน่วง
แยนน์·ค็อตแมนสูดลมหายใจยาว หันไปออกคำสั่งกับทุกคน
“หามันให้พบ”
…
ในคราวนี้ ไคลน์เลือกสาวกคนสำคัญเพิ่มอีกราวสิบราย จากนั้นก็ตอบสนองกลับไปแบบตัวต่อตัว จุดประสงค์เพื่อให้ช่วยกันเผยแพร่บัญญัติศาสนาข้อใหม่
“ข้ากลับมาเพื่อยกโทษให้กับบาปในอดีตของทุกคน ขณะเดียวกันก็เพื่อช่วยมอบแสงสว่างและความจริงแก่พวกเจ้า บัญญัติประการแรก : ห้ามสังเวยสิ่งมีชีวิตอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะมนุษย์”
……………………