กรุงเบ็คลันด์ ณ บ้านของพ่อค้าเครื่องเรือน สตีเฟ่น·ฮันเพรส
เป็นอีกครั้งที่ออเดรย์ได้พบกับเฮอร์วิน·แรมบิส คณะกรรมการของสมาคมแปรจิต
ชายชรายังคงอ่อนโยนและสง่างาม ผมสีขาวดกหนาถูกหวีอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มอัดแน่นไปด้วยองค์ความรู้มหาศาล
ทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่าย ดวงตาของออเดรย์เผยความสับสนในตอนแรก แต่ไม่นานก็ตื่นจากภวังค์อันยาวนาน ฟื้นฟูความทรงจำที่หายไป
แต่เธอมิได้แปลกใจกับเรื่องนี้ ยอมรับความจริงแต่โดยดีและไม่ต่อต้าน ราวกับมันคือเรื่องปรกติ
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์แรมบิส” ออเดรย์ทักทายตามมารยาทอันไร้ที่ติ
เฮอร์วินพยักหน้า ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ทิวาสวัสดิ์ สาวน้อยของพวกเรา”
ในการนัดพบหลายครั้งตลอดเดือนที่ผ่านมา มันค่อยๆ ชี้นำว่าออเดรย์มีความสำคัญในระดับ ‘ความภาคภูมิใจของสมาคมแปรจิต’ และ ‘สาวน้อยคนสำคัญ’ ”
ออเดรย์ก้มมองเข็มกลัดบนหน้าอกเล็กน้อย ยิ้มและหาที่นั่ง รอให้เฮอร์วิน·แรมบิสเป็นฝ่ายเริ่มพูด
สำหรับการชี้นำทางจิต เธอเตรียมพร้อมทุกครั้งและไม่เคยได้รับผลกระทบ ดังนั้น ทุกทีที่ได้ยินเฮอร์วิน·แรมบิสเรียกตนว่าสาวน้อย ออเดรย์อยากจะละทิ้งมารยาททั้งหมดและกลอกตามองบน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องอดทนไว้โดยไม่เผยอาการ
เฮอร์วิน·แรมบิสจ้องหน้าออเดรย์สักพัก ฉีกยิ้มกว้างขณะกล่าว
“พักหลังมานี้คุณทำได้ดีทีเดียว เพื่อเป็นรางวัล ทางเราตัดสินใจที่จะมอบสูตรโอสถให้คุณ”
กล่าวจบ มันหยิบกระดาษที่พับไว้ออกจากกระเป๋าเสื้อนอก วางบนโต๊ะกาแฟ ผลักให้สตรีขุนนางฝั่งตรงข้ามในแนวเฉียง
ออเดรย์จับชายกระโปรงพลางลุกขึ้นเล็กน้อย รับกระดาษแผ่นดังกล่าวมาคลี่อ่านต่อหน้าเฮอร์วิน·แรมบิส
สายตาของเธอจ้องไปยังวัตถุดิบหลักเป็นอันดับแรก ตามด้วยพิธีกรรม
“วัตถุดิบหลัก: หัวใจของนักล่าฝัน, ผลึกภูตจิต หรือ สมองที่สมบูรณ์ของมังกรจิตโตเต็มวัย”
…
“พิธีกรรม: ตามหากินรีโลกวิญญาณ ทำพันธสัญญากับมัน จากนั้นก็จับขนแพนหางไว้หนึ่งเส้น ดื่มโอสถท่ามกลางมวลอารมณ์โกรธหรือความสุขที่เข้มข้น”
คล้ายกับสัมผัสถึงความสงสัยจากออเดรย์ เฮอร์วิน·แรมบิสยิ้มและอธิบาย
“กินรีโลกวิญญาณสามารถสร้างฝันร้าย ช่วยให้ผู้คนตื่นจากความฝัน ดังนั้น จุดประสงค์สำคัญของพิธีกรรมก็คือ ท่ามกลางดินแดนความฝันที่มัวเมาจนยากจะตื่น คุณจำเป็นต้องถูกปลุกจากพลังภายนอก ไม่อย่างนั้นอาจต้องหลับไปตลอดกาล คลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดคาที่”
ออเดรย์พยักหน้าครุ่นคิด
“เงื่อนไขที่ให้ดื่มโอสถด้วยอารมณ์เข้มข้น ทำเพื่อกระตุ้นไม่ให้ตัวเองหลับลึกจนเกินไปใช่ไหมคะ?”
“ถูกต้อง จับประเด็นได้เก่งมาก” เฮอร์วิน·แรมบิสยิ้มตอบ “หากคุณไม่ชำนาญโลกวิญญาณ ไม่มีความสามารถในการหากินรีโลกวิญญาณ ทางเราสามารถช่วยได้”
หากแก่นสำคัญของพิธีกรรมคือการปลุกตัวเองให้ตื่นจากความฝัน เราก็ไม่จำเป็นต้องตามหากินรีโลกวิญญาณ เพราะพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลก็ให้ผลแบบเดียวกัน จะตื่นตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น… ดวงตาออเดรย์หันไปหาอีกฝ่าย ซักถามด้วยอารมณ์คาดหวัง
“ดิฉันขอพยายามด้วยตัวเองก่อน”
“ตกลง” เฮอร์วินไม่สนใจนิสัยรักการผจญภัยของอีกฝ่ายมากนัก
มันเว้นวรรค ตามด้วยกล่าว
“คราวนี้ผมมีงานใหม่มาให้คุณทำ ถ้าผ่านไปด้วยดี เราจะช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดสำหรับปรุงโอสถนักท่องฝันให้”
“งานอะไรหรือคะ?” ออเดรย์ทำตัวตามปรกติ ซักถามอย่างด้วยความใคร่รู้
เฮอร์วิน·แรมบิสตอบด้วยสีหน้าขึงขัง
“หามาให้ได้ว่า เอิร์ลฮอลล์ ดยุคนีแกนคนปัจจุบัน พลเรือเอกอมิรุส และขุนนางใหญ่คนอื่นๆ มีทัศนคติอย่างไรกับสงครามที่ค่อนข้างใหญ่”
สงคราม… ออเดรย์ทวนซ้ำคำที่เคยได้ยินแต่ไม่บ่อย ภายในใจสัมผัสถึงระลอกคลื่นเล็กๆ ภายใต้ผิวทะเลสาบที่เงียบสงบ
…
สงคราม… เหนือมิติหมอกเทา ไคลน์ที่ฟังคำสวดวิงวอนของมิสจัสติส ตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน
มันมิอาจระบุได้ว่า สมาคมแปรจิต หรือชายชราเฮอร์มิส หรือกระทั่งอาดัมที่คอยบงการอยู่เบื้องหลัง มีท่าทีอย่างไรต่อสงคราม ต่อต้านหรือยินดี?
ในส่วนของกษัตริย์โลเอ็น นายกรัฐมนตรี ขุนนางใหญ่บางคน และสมาชิกสภา พวกมันมีทัศนคติเป็นเช่นไร คำตอบค่อนข้างชัดเจน
ในปีที่แล้ว แฮงแมนเคยถามมิสจัสติสในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน และคำตอบของเธอก็คือ กษัตริย์และนายกรัฐมนตรีเอนเอียงไปทางการทำสงคราม แต่ตัดสินใจปฏิรูปอาณาจักรจากภายในก่อน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในทุกด้าน
ปัจจุบัน ผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งปี นโยบายต่างๆ ที่วางไว้ถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องตามแผนงาน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดฉากทำสงคราม ทวงคืนไบลัมตะวันออกที่กองทัพโลเอ็นเคยพ่ายแพ้!
ตอนนี้เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรเริ่มคุกรุ่น เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น มันจะรุนแรงและลุกลามจนยากจะควบคุม… นอกจากนั้น อาดัม อามุนด์ และราชาเทวทูตตนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับมา บ้างได้รับวัตถุสำคัญ บ้างกำลังเล็งการเลื่อนลำดับ ทางด้านโลกของผู้วิเศษก็กำลังมีพายุก่อตัวขึ้นไม่น้อยหน้า… ไคลน์ถอนหายใจเล็กๆ ส่งตัวเองกลับโลกความจริง
วันถัดมา มันยังคงรักษากิจวัตร เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลและบริจาคเงินหลายสิบปอนด์ จากนั้นก็เดินทางมายังอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ ตั้งใจจะเข้าร่วมกิจกรรมของ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’
ทันทีที่ย่างกรายเข้าไปในตึก ไคลน์เห็นมิสออเดรย์·ฮอลล์กำลังเดินลงมาชั้นล่างพร้อมกับเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง ตรงมาทางประตูหน้า
สตรีตระกูลขุนนางใหญ่รายนี้แต่งตัวเรียบง่าย ผมเกล้ามวยธรรมดา ไม่สวมเครื่องประดับใดให้เห็น เดรสเป็นสีเขียวอ่อน มีเพียงข้อมือที่พองขึ้นเล็กน้อย แต่ปราศจากลายลูกไม้
“อรุณสวัสดิ์ มิสออเดรย์” ไคลน์ถอดหมวกออกตามมารยาท กล่าวทักทายและพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน
รอจนกระทั่งออเดรย์ตอบสนอง ไคลน์ถามเป็นกันเอง
“คุณกำลังจะไปไหน?”
มันทราบว่า งานหลักของมิสจัสติสคือการประสานงานและระดมทุนจากบรรดาตระกูลขุนนางใหญ่
ออเดรย์ตอบพลางยิ้ม
“เยี่ยมชมตามมหาวิทยาลัยต่างๆ คอยติดตามผลนักศึกษาที่เคยช่วยเหลือไป”
เล่าถึงตรงนี้ หญิงสาวกะพริบตา ฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า
“มิสเตอร์ดันเตส ไปด้วยกันไหมคะ? ไปดูความสำเร็จที่คุณสร้างขึ้น เป็นเพราะความใจกว้างและแนวคิดของคุณ ชะตาชีวิตของเด็กๆ เหล่านั้นจึงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จริงสิ… บางคนก็โตเป็นหนุ่มสาวแล้ว”
แม้ว่าไคลน์จะไม่ได้หวังผลกำไรจากการก่อตั้งกองทุน แต่มันก็หวังจากก้นบึ้งว่าเงินทุนในส่วนนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเด็กๆ ได้บางส่วน ดังนั้น มันเองก็สนใจความคืบหน้าและสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากลังเลเล็กน้อย มันยิ้มและพยักหน้า
“คำเชิญแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ลง”
ทุกคนเดินออกจากตัวอาคาร และตามคำแนะนำของมิสออเดรย์ พวกมันเดินทางด้วยรถม้าสาธารณะแบบไร้ราง
“ดูเหมือนว่า คุณจะเคยชินกับมันแล้วสินะครับ” เมื่อขึ้นมาบนรถ ไคลน์ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษโดยการให้มิสออเดรย์นั่งลงก่อน ส่วนตนนั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางถามด้วยรอยยิ้ม
ออเดรย์หันไปมองเจ้าหน้าที่สองคนที่นั่งข้างๆ ก่อนจะตอบ
“ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะ ฉันไม่ควรใช้รถม้าส่วนตัวเดินทางทุกครั้ง พวกเขาจึงพามาขึ้นระบบขนส่งสาธารณะ”
กล่าวจบ เธอชะงักเล็กน้อยด้วยใบหน้าเขินอาย
“ครั้งแรกที่ขึ้นรถแบบนี้ ดิฉันคิดจะจ่ายค่าโดยสารด้วยธนบัตรหนึ่งปอนด์ สุดท้ายก็ถูกคนเก็บเงินไล่ไปแลกเศษเหรียญกับเด็กส่งหนังสือพิมพ์… แต่มันสะอาดกว่าที่ฉันคิด อากาศก็ไม่ได้เลวร้ายนัก”
ไคลน์พยักหน้ารับ ช่วยเสริม
“เพราะถ้าเป็นคนที่ยากจนจริงๆ แม้แต่รถแบบนี้พวกเขาก็ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจะโดยสาร ส่วนใหญ่เลือกที่จะเดิน และในสถานการณ์ปรกติ พวกเขาไม่ค่อยต้องไปไหนไกลนัก”
“มิสเตอร์ดันเตส คุณคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้หรือ?” ออเดรย์มีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เธอถามตามมารยาท
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ถึงจะไม่เคยประสบกับตัวเอง แต่ก็ได้เห็นในระยะใกล้ชิดมานับไม่ถ้วน”
ออเดรย์ไม่สานต่อหัวข้อ เปลี่ยนไปคุยเกี่ยวกับรายชื่อนักศึกษาที่เคยได้รับทุนและกำลังจะไปตรวจสอบความเป็นอยู่
ขณะสนทนา ทุกคนมาถึงสถานที่แรกที่ต้องเยี่ยมชม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์
ด้วยชาติตระกูลของออเดรย์และสถานะทางสังคมของดอน·ดันเตส พวกมันได้เข้าพบอธิการบดีของมหาวิทยาลัยใหม่ ชายคนนี้อาศัยในบ้านเลขที่ 100 ถนนเบิร์คลุน พอร์ตแลน·โมมงต์
ชายชรามีรูปร่างสูงและกำยำ ผิวแดงก่ำ เสียงดังโผงผาง ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับเพื่อนบ้านอย่างดอน·ดันเตส หรือมิสออเดรย์ผู้สูงศักดิ์ มันมักจะแวะไปจิกกัดคณะกรรมการอุดมศึกษาเสมอ
ออเดรย์และไคลน์นั่งฟังอย่างยิ้มแย้มสงวนกิริยา ตอบสนองเป็นครั้งคราว
ในที่สุด พวกมันสบโอกาส ขอตัวไปทำงาน
ขณะพอร์ตแลนเตรียมเรียกเลขานุการส่วนตัว ใครบางคนเคาะประตูห้องทำงาน
“เชิญเข้ามาได้” อธิการบดีขานตอบเสียงดัง
ประตูถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ด้านหลังประตูเป็นสตรีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล เธอไม่แต่งตัว ใบหน้าค่อนข้างซูบแต่ดูดี อายุราวสิบเจ็ดสิบแปด
สายตาไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปรกติในทันที
เด็กสาวคนดังกล่าวคาดไม่ถึงว่าในห้องทำงานของอธิการบดีจะมีแขก จึงรีบก้มหัวลงด้วยความประหม่าพลางกล่าว
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไร พวกเขากำลังจะออกไปพอดี” พอร์ตแลนตอบเสียงเรียบ “งานที่มอบหมายไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเสร็จหรือยัง?”
“เสร็จแล้วค่ะ” เด็กสาวเดินผ่านประตูห้องและหยุดยืนข้างๆ โต๊ะทำงาน
พอร์ตแลน·โมมงต์ยิ้มให้ดอน·ดันเตสและออเดรย์
“เธอชื่อเมลิสซ่า·โมเร็ตติ เก่งกลศาสตร์มาก ผมพบเข้าโดยบังเอิญ จึงให้เธอมาช่วยงานในห้องวิจัยหลังเลิกเรียน แน่นอนว่าตอนนี้ทำได้แต่งานจิปาถะ”
“อนาคตไกลแน่” ไคลน์เงยหน้า กล่าวชมเชยด้วยรอยยิ้ม
ออเดรย์ชำเลืองชายหนุ่ม ยิ้มและกล่าว
“เหล่าบุรุษมักกล่าวอย่างหยิ่งผยองว่าสตรีไม่มีพรสวรรค์ด้านเครื่องจักร เด็กคนนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาคิดผิด”
พอร์ตแลนยิ้มพลางส่ายหน้า
“คำพูดไร้ราคาเหล่านั้น คุณหนูอย่าได้ใส่ใจนักเลย… เอาล่ะ… เดี๋ยวผมจะให้เลขานุการช่วยนำทางคุณไปหานักศึกษาที่ได้รับทุน”
ออเดรย์และไคลน์ไม่มัวแช่อยู่นาน รีบออกจากห้องทำงานทันที
เมื่อทั้งสองเดินพ้นกรอบประตู ออเดรย์ชำเลืองดอน·ดันเตสด้วยหางตา แต่มิได้กล่าวคำใด
……………………..