“เมื่อผู้มาเยือนจากภายนอกหยิบดาบศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อีกครั้ง”
“…แล้วถ้าดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายล่ะ?”
สองประโยคข้างต้นกำลังดังก้องในหัวเอ็ดมันตันและไครัท กระบวนการความคิดของพวกมันดำเนินมาถึงทางตัน
ผ่านไปหลายวินาที ทั้งสองเอาแต่จ้องมองดาบกระดูกแตกหักด้วยสีหน้าเหม่อลอยและไร้ทิศทาง
พวกมันยากจะทำใจเชื่อว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งถูกผู้มาเยือนจากภายนอกสัมผัสในช่วงค่ำของวันนี้ จะแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายในเวลาไม่นาน!
หมายความว่าอย่างไร?
สื่อถึงอะไรได้บ้าง…
พวกมันไม่กล้าคิดไกล ความรู้สึกคล้ายกับย้อนไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อน ณ เวลานั้น ทางกองทัพโลเอ็นได้สืบจนพบฐานลับของกลุ่มต่อต้าน และเข้ากวาดล้างอย่างฉับพลันโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า พ่อแม่ของทั้งคู่เสียชีวิตอย่างทารุณในเหตุการณ์ดังกล่าว ญาติพี่น้องเพศหญิงทุกคนถูกจับตัวไปขาย และได้รับข่าวร้ายในเวลาถัดมา
สำหรับตอนนี้ ไครัทและเอ็ดมันตันกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สับสน กระสับกระส่าย ตึงเครียด และจนปัญญา ทั้งหมดผสมผสานจนเกิดเป็นความซึมเศร้าหดหู่
“พวกเราต้องกลับไปอยู่ในป่า… ตามหาท่านนักบวชและสืบหาเหตุผลเบื้องหลังของเหตุการณ์คราวนี้ให้ได้ บางที นี่อาจเป็นวิวรณ์ครั้งสุดท้ายของพระองค์…”
ไครัทหมุนวีลแชร์ กล่าวด้วยเสียงดำดิ่ง
เอ็นมันตันลุกขึ้นยืน หันไปออกคำสั่งกับกลุ่มต่อต้านคนที่เหลือ
“พวกนายทุกคนยังต้องตามล่าตัวผู้ลบหลู่เทพต่อไป แต่ให้รีบย้ายออกจากที่นี่ แล้วก็ กำชับสาวกด้านนอกอย่างเคร่งครัด หลังจากนี้ ห้ามมิให้ใครประกอบพิธีกรรมหรือวิงวอนถึงพระองค์เด็ดขาด!”
การเปลี่ยนแปลงในตัวองค์เทพอย่างกะทันหัน ได้ทำให้พวกมันหวาดระแวงมากเป็นพิเศษ
…
เมืองบายัม ณ มุมหนึ่งของถนนที่มีมหาวิหารคลื่นสมุทรตั้งอยู่
เดนิสกำลังถือกระดาษสีขาวปึกใหญ่ สีหน้าเผยความร้อนรนเล็กน้อย สับสนเล็กน้อย และกังวลเล็กน้อย ก่อนจะซักถาม :
“นายกำลังหมายความว่า ให้ฉันแปะพวกมันไว้ตามจุดต่างๆ ของถนน และสุดท้ายให้แปะไว้หน้าประตูวิหารคลื่นสมุทร?”
เดนิสกังวลว่า ขณะตนกำลังนำใบประกาศไปแปะ นักบวชและบิชอปจำนวนมากอาจเปิดประตูพรวดออกมา และรุมกระทืบโดยไม่ซักถามว่าแปะกระดาษไปเพื่ออะไร
ไคลน์รักษามาดขรึม
“ถูกต้อง”
แผนเดิมของชายหนุ่มก็คือ ส่งข่าวคราวของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าให้แฮงแมน และฝากฝังให้อีกฝ่ายแอบนำไปแจ้งกับโบสถ์วายุสลาตันโดยตรง แต่หลังจากประเมินว่าแฮงแมนกุมความลับของท่าเรือแบนชีเอาไว้ และบางที ชายคนนั้นอาจรายงานให้เบื้องบนทราบแล้ว ถ้าได้รับเบาะแสสำคัญเพิ่มเติมภายในเวลาไม่นาน อาจทำให้เบื้องบนเกิดความสงสัย ไคลน์จึงตัดสินใจจัดการปัญหาเกี่ยวกับ ‘เทพสมุทร’ ด้วยตัวเอง
วิธีการก็ไม่ซับซ้อน เพียงแปะใบประกาศไว้หน้าประตูหลักของ ‘ทูตพิพากษา’ ให้พวกมันพบเห็นทันทีเมื่อเดินออกมา
อย่างไรก็ตาม แผนนี้ยังติดปัญหาอยู่เล็กน้อย เนื่องจากไคลน์ยังไม่ทราบว่า ห้างร้านหรือบริษัทใดรอบวิหารคลื่นสมุทร คือฉากหน้าของหน่วย ‘ทูตพิพากษา’ กันแน่ จึงต้องให้เดนิสทำงานหนักกว่าปรกติ คอยแปะใบประกาศจนทั่วสถานที่ต้องสงสัย รวมถึงจุดสำคัญอย่างประตูหลักของมหาวิหารคลื่นสมุทร
“…”
เรามัวทำอะไรอยู่ น่าจะเผ่นหนีไปตั้งนานแล้ว… ทำไมถึงได้ต้องคิดว่าหมอนี่มีบุญคุณเคยช่วยชีวิตเราไว้… เฮ่อ… บางที ถ้าเราแข็งแกร่งและมีค่าหัวแพงกว่าปัจจุบันอีกสักหน่อย คงถูกเปลี่ยนเป็นทองปอนด์ไปนานแล้วกระมัง… ไม่สิ เราไม่มีทางทราบล่วงหน้าว่า คนเสียสติอย่างมันจะขจัดคำสาปของเทพสมุทรได้ง่ายดาย… การวิ่งหนีอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม…
เดนิสถอนหายใจห่อเหี่ยว คลี่ปึกกระดาษสีขาวในมือ และชำเลืองอ่านข้อความ
“หลังจากเลติเซีย·โดเรล่าและคณะได้ลอบเข้าไปในโบราณสถานของ ‘เทพสมุทร’ บนเกาะไซมีม พวกเธอก็ถูกตามล่าโดยกลุ่มต่อต้านทันที ; ขณะเดียวกัน ไครัทและกลุ่มต่อต้านคนอื่นพยายามขายดาบกระดูกที่มีลักษณะโค้งงอเล็กน้อย ; คาเวทูว่า เทพสมุทร กำลังขาดเสถียรภาพ และใกล้อาละวาดอย่างเสียสติเต็มที”
แล้วเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทราบได้อย่างไรว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังขาดเสถียรภาพ? แถมยังบอกภาพจิตใจได้อย่างละเอียด… เป็นการค้นพบหลังจากขจัดคำสาปของเทพสมุทรสำเร็จ? ว่าแต่ หมอนั่นขจัดคำสาปทรงพลังด้วยตัวเองได้ยังไง! ดูเหมือนว่า องค์กรลับเบื้องหลังจะทรงพลังเหนือจินตนาการเราไปมาก… หรือจะเป็นเหมือนกับชุมนุมแสงเหนือ สาวกผู้ศรัทธาต่อเทพแท้จริง?
ยิ่งครุ่นคิด เดนิสก็ยิ่งหวาดกลัว ย้อนกลับไปหลายปีก่อน มันเคยได้ยินชื่อชุมนุมแสงเหนือครั้งแรกจากโจรสลัดกลุ่มหนึ่ง
ในตอนนั้น เราได้เห็นสีหน้าดำมืดของกัปตันเป็นครั้งแรก… โดยในเวลาถัดมา กัปตันตัดสินใจสอนพื้นฐานของโลกผู้วิเศษให้กับลูกเรือทุกคน…
ไคลน์ตอบสนองสายตาของเดนิสด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
บนใบปิดประกาศ ชายหนุ่มตัดการวิเคราะห์ส่วนตัวออกไปทั้งหมด เลือกอธิบายเพียงข้อเท็จจริง จะได้ไม่เป็นการรบกวนสมมติฐานทางฝั่งโบสถ์วายุสลาตัน
อีกทั้ง ไคลน์มิได้ระบุลงไปว่าเลติเซียและคณะทำการขโมยบางสิ่งออกมา และคำว่าวิหารร้างได้เปลี่ยนเป็นวลีคลุมเครืออย่าง ‘โบราณสถานเทพสมุทร’ แทน รวมถึงไม่ได้บอกว่า ไครัทและกลุ่มต่อต้านอาจละทิ้งฐานทัพในปัจจุบัน เมื่อตระหนักถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับเทพสมุทร
เดนิสสลัดความคาใจทิ้งไป ไม่กล้าตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว
กัปตันเคยกล่าวไว้ว่า ยิ่งทราบความลับของคนอื่นมากเท่าใด ตัวเราก็ยิ่งเป็นอันตรายมากเท่านั้น!
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เดนิสถาม
“หากติดไว้หน้าวิหารคลื่นสมุทร ทางโบสถ์วายุสลาตันคงไม่นิ่งนอนใจแน่… และถ้าเป็นแบบนั้น พวกมันก็ต้องรู้ใช่ไหมว่าเป็นฝีมือของฉัน?”
ไคลน์ตอบห้วน
“ใช่”
เดนิสยิ้มแห้ง
“แล้วฉันจะไม่ฉิบหายเอาหรือ?”
ไคลน์ใช้พลังตัวตลกยืนกลั้นขำหน้านิ่ง พลางตอบกลับอย่างเย็นชา
“นายมีค่าหัวติดตัวอยู่แล้ว”
คิดว่าตัวเองสามารถเดินกร่างไปบนถนนสายหลักของบายัมได้รึไง? ไคลน์เสริม
นั่นสินะ ไม่ว่าจะทำหรือไม่ แต่โบสถ์วายุสลาตันก็คงตามล่าตัวเราอยู่ดี… เดี๋ยวสิ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
เดนิสรีบโพล่ง
“แต่ค่าหัวของฉันจะเพิ่มขึ้น!”
ไคลน์ชำเลืองโดยไม่กล่าวคำใด เพียงฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว คล้ายกับเดนิสได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า :
แบบนั้นก็ยิ่งดีเลยไม่ใช่หรือ?
ดีกับผีสิวะ!
เพลิงพิโรธหัวเราะแห้งสองครั้ง ก่อนจะรีบหยิบแผ่นกระดาษออกมา ไล่แปะตามจุดสะดุดตารอบเส้นถนนจนครบถ้วน อาศัยลมแรงยามค่ำยืนช่วยในการเดิน
เหมือนกับกำลังโฆษณาอะไรสักอย่าง…
ไคลน์สอดมือหนึ่งเข้าไปในกระเป๋าหนึ่งข้าง พลางยืนจับตามองการทำงานของอีกฝ่าย
ก่อนจะครุ่นคิด
การมีผู้ช่วยก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องทำเองให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์… หากสมัยยังอยู่ทิงเก็นและเบ็คลันด์มีเบ๊แบบนี้บ้าง คงเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อย…
จนกระทั่ง เดนิสเดินมาหยุดยืนหน้าประตูวิหารคลื่นสมุทร ก่อนจะเหยียดแขนปิดใบประกาศหนึ่งแผ่นลงไป จากนั้น มันกำหมัดแน่นและชกใส่ประตูเต็มแรง
โครม!
เมื่อจัดการเสร็จ เพลิงพิโรธหันหลังกลับและออกวิ่งเต็มฝีเท้า ประหนึ่งว่ามีทูตพิพากษานับสิบคนวิ่งไล่ตามจากด้านหลัง
ทางด้านไคลน์ก็ไม่กล้าประมาท มันหยิบกระดาษรูปคนออกมาถือ สะบัดข้อมือ ปล่อยให้แผ่นกระดาษไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน และรีบหนีออกจากจุดเกิดเหตุทันที
หลังจากเคย ‘ทำงานร่วมกัน’ ในปฏิบัติการคราวก่อน ไคลน์ได้ทราบถึงทัศนคติและธรรมชาติของทูตพิพากษาอย่างถ่องแท้ จึงไม่กล้าทำตัวเอ้อระเหย
จนกระทั่ง ทั้งคู่ออกห่างจากวิหารคลื่นสมุทรมาไกลพอสมควร ‘คนร้าย’ ทั้งสองจึงลดฝีเท้าลง กลับไปเป็นการเดินตามปรกติ
เดนิสยังคงไม่เหน็ดเหนื่อย ใบหน้าไม่แดง และลมหายใจปรกติ
มันซักถามด้วยสีหน้าฉงน
“ทำไมนายถึงไม่เขียนจดหมายไปหาตำรวจหรือศาลากลางเมือง แบบนั้นไม่เร็วกว่าหรือ?”
ขณะรอคำอธิบายจากอีกฝ่าย เดนิสเกิดฉุกคิดคำตอบได้ด้วยตัวเอง
จริงสิ… ตำรวจปลายแถวและข้าราชการท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมือง บางคนอาจเห็นใจกลุ่มต่อต้าน และบางคนอาจเป็นสาวกเทพสมุทรด้วยซ้ำ
ขณะกำลังครุ่นคิด คนทั้งสองเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน จนพบกับอาคารสีแดงขนาดมหึมา
ด้านในเปิดไฟสว่าง ดนตรีดังเล็ดลอดเป็นจังหวะไพเราะ ผู้คนมากมายผ่านเข้าออก รถม้าสลับกันขับมาจอดด้านหน้า บรรยากาศไม่เหมือนกับกลางดึกสงัดเลยสักนิดเดียว
“ฮะฮะ! หลงมาถึงนี่จนได้” หลังจากยืนตะลึงสักพัก เดนิสเผยรอยยิ้มที่มนุษย์เพศชายทุกคนเข้าใจตรงกัน
โรงละครแดง…?
ไคลน์ ผู้มีความรู้เชิงทฤษฎีแน่น ทราบชื่อของสถานที่อโคจรตรงหน้าทันที
เดนิสหัวเราะ
“นี่คือหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังของมหาสมุทรโซเนียทั้งแถบ ด้านในเต็มไปด้วยหญิงสาวชาวไบลัมผู้เปี่ยมด้วยความลึกลับน่าค้นหา สาวเฟเนพ็อตดุดันร้อนแรง สาวอินทิสใจง่ายและเปิดเผย สาวสูงฟุซัคสูงใหญ่สัดส่วนเยี่ยมยอด สาวโลเอ็นรักนวลสงวนตัว และสาวพื้นเมืองอ่อนโยนว่าง่าย”
รู้เยอะชะมัด… มาบ่อย?
ไคลน์ชำเลืองไปทางเพลิงพิโรธโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เมื่อสัมผัสถึงความคิดอีกฝ่าย เดนิสรีบเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน
“ค…แค่ฟังมาจากคนอื่น! ฉันเคยแวะมาไม่กี่ครั้งเอง… เมื่อก่อนฉันมีเงินไม่มาก จึงเที่ยวได้แค่เกรดปานกลาง มักอยู่ฝั่งทะเลหมอกเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากเข้าร่วมฝันทองคำ…”
ไม่เลวทีเดียว… จริงอยู่ ลูกเรือของพลเรือโทธารน้ำแข็งอาจมีรายได้มากกว่ากลุ่มโจรสลัดอื่น แต่สำหรับโจรสลัดชายที่มีชะตากรรมต้องหมดเงินไปกับสุรานารี การเก็บเงินซื้อบ้านย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย… แต่หมอนี่กลับครอบครองบ้านในเมืองบายัมหลายหลัง นับว่าเก็บเงินเก่งเอาเรื่องทีเดียว… ไคลน์ครุ่นคิด
เดนิสไม่ต้องการสานต่อบทสนทนาเดิม
“อย่างไรก็ตาม ภายในบายัม นอกจากโรงละครแดงแล้ว โสเภณีตามท้องถนนก็ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะแถบนั้น”
มันชี้ไปยังจุดห่างไกล
“โจรสลัดหลายคนเคยทำการทดลอง เดินไปเคาะประตูบ้านทุกหลัง ยื่นเงินออกมาและเสนอขอหลับนอนกับภรรยาเจ้าของบ้าน ปรากฏว่า มีมากถึงสี่ในสิบครอบครัวตอบตกลง… จุ๊จุ๊… ถ้าเป็นชาวโลเอ็นหน้าตาหล่อเหลาแบบนาย คงไม่มีบ้านไหนตอบปฏิเสธแน่นอน อย่างมากก็แค่พยายามซ่อนลูกสาวเอาไว้ไม่ให้นายเห็น ฮะฮะ! ในแต่ละปีจะมีทหารเรือของโลเอ็นข่มขืนหญิงสาวชาวบายัมเสมอ พวกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าโจรสลัดสักเท่าไร แต่บทลงโทษกลับน้อยนิดจนน่าเจ็บใจ เพียงส่งกลับบ้านเกิดและปรับเศษเงิน ไม่มีการลงโทษทางวินัย”
ไคลน์ยืนฟังอย่างเงียบงัน สมองครุ่นคิดถึงภาพของกลุ่มสาวกเทพสมุทรจำนวนมาก ที่รวมตัวกันกราบไหว้รอบสระน้ำกลางจัตุรัสเมื่อช่วงค่ำ โดยสีหน้าทุกคนล้วนเปี่ยมความศรัทธาอย่างน่าประหลาด
…
กรุงเบ็คลันด์ คฤหาสน์ตระกูลโอดรา
เอ็มลินไวท์ ผู้จงใจเปิดเผยความผิดปรกติของตนให้แวมไพร์คนอื่นเห็นมาสักระยะ กำลังเดินตามคาซีมีลงไปชั้นห้องใต้ดินของคฤหาสน์ และเข้าไปยังห้องโถงใหญ่สีเทาขนาดใหญ่ ที่มีโลงศพเหล็กสีดำตั้งอยู่ใจกลาง
“ท่านลอร์ดนีบาสผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการพบหน้าข้าด้วยเหตุผลอันใดหรือ” เอ็มลินซ้อมบทพูดดังกล่าวมาแล้วหลายหน แต่กลับมิอาจระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงตามหลักของการแสดงละคร ตนก็ไม่ควรเก็บซ่อนความกังวลและหวาดกลัวเอาไว้มากเกินไป
ต้องแสดงอารมณ์อย่างพอเหมาะ… และเราก็ทำได้โดยไม่มีจุดบกพร่อง!
เอ็มลินเริ่มใจเย็นลง
สุ้มเสียงแก่ชราดังออกจากโลงเหล็กที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และลวดลายเวทมนตร์
“เพื่อชื่นชมเจ้า… เจ้ากล้าเสี่ยงชีวิตของตน สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อบรรพชนของเรา แม้จะไม่ได้รับการตอบสนองใดกลับมา แต่ก็ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมาก วีรกรรมของเจ้าควรค่าแก่การตกรางวัล นี่คือเงินเจ็ดพันปอนด์ เป็นรางวัลอันสมควรแก่คุณงามความดี หากไม่เพราะเหตุการณ์มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เข้ามาขัดขวาง พวกเราคงมอบให้เจ้าได้เร็วกว่านี้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สายเกินไป อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องคอยระมัดระวังตัวเองให้มาก ห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว หากเกิดเรื่องผิดปรกติขึ้น ให้รีบรายงานกับคาซีมีโดยด่วน”
ได้เงินจริงด้วย…
เอ็มลินทึ่งจนอ้าปากค้าง
……………………