“ในโรงแรมมีอันตราย”
ไคลน์เปล่งประโยคทำนายเสียงต่ำ เพ่งสมาธิเข้าฌาน และหยิบเหรียญทองขึ้นมาดีด
กิ๊ง!
เสียงของเหรียญไม่ดังมาก แต่ดังพอจะกังวานสะท้อนทั่วห้องเงียบสงบ จนกระทั่งเหรียญทองตกลงบนฝ่ามือไคลน์
ด้านตัวเลขหงายขึ้น หมายถึงปฏิเสธ
ไม่มีอันตราย… ไคลน์ขมวดคิ้วและกวาดตามองไปรอบตัว ก่อนจะเดินไปหยิบน้ำมันสกัดไล่แมลงออกมาหนึ่งขวด
มันโปรยรอบตัว และเดินถอยหลังสี่ก้าวอย่างรวดเร็ว ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเพื่อเตรียมใช้พลังทำนาย
ผ่านไปสิบวินาที มันได้ผลลัพธ์
เมื่อกลับสู่โลกความจริง ไคลน์ส่ายหน้า เก็บเหรียญทองและขวดยาไล่แมลงใส่กลับกระเป๋าเสื้อ สวมแจ็คเก็ตทับ สวมรองเท้าบูตหนัง นั่งลงบนขอบเตียงพลางเอนพลังพิงหมอน และอยู่ในท่าดังกล่าวเป็นเวลานานโดยไม่ประมาท
ชายหนุ่มยังคงไม่ลืม ‘กฎเหล็กนักทำนาย’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวลี ‘ผลลัพธ์การทำนายมิได้ครอบคลุมทุกสิ่ง’ ดังนั้น แม้คำตอบจะระบุว่าปลอดภัยมาก แต่ไคลน์ก็ยังไม่กล้านอนหลับอย่างวางใจหรือติดประมาท
มันมิได้เคลือบแคลงพลังของห้วงมิติเหนือสายหมอก เพียงแต่โลกนี้มีความเป็นไปได้มากมาย หรือประโยคทำนายของตนอาจมีช่องโหว่ ส่งผลให้นำไปสู่การตีความคลาดเคลื่อน
ไคลน์พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้เบื้องต้น สาเหตุของความปรกติอาจเกิดจากกลุ่มนักผจญภัยสี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง จากร้านอาหารด้านล่าง กลุ่มคนเหล่านั้นอาจพบสมบัติวิเศษหรือวัตถุโบราณบางอย่างภายในป่าลึกบนเกาะไซมีม อาจมีความเกี่ยวพันกับตำนานพื้นถิ่น จนทำให้วิญญาณมารในแถบดังกล่าวออกอาละวาด และสร้างออร่าชั่วร้ายสาปใส่กลุ่มนักเดินทางทั้งสี่คน
ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า จนกระทั่ง ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณในเชิงลึก คล้ายกับมีบางสิ่งค่อย ๆ แผ่กระจายออกจากห้องนอนของตนทีละนิด
ไม่กี่อึดใจถัดมา ความกังวลใจของไคลน์พลันหายเป็นปลิดทิ้ง ความเงียบสงบยามค่ำคืนหวนกลับมาอีกครั้งอย่างสมบูรณ์
เป็นอิทธิพลจากพลังพิเศษไม่ผิดแน่… ปัญหาถูกแก้ไขแล้ว? รออีกสักพักก็แล้วกัน ปัญหาอาจวกกลับมาเกิดใหม่ได้ภายในหนึ่งถึงสองชั่วโมงถัดไป… หากมีความผิดปรกติเกิดขึ้นจริง บนเกาะแห่งนี้มีวิหารของโบสถ์วายุสลาตันอยู่ รวมถึงทูตพิพากษา…
ไคลน์หลับตาลงและเข้าฌาน
…
เมืองบายัม ผับใบไม้หอม
เดนิสผู้เชื่อว่าการปลอมตัวของตนแนบเนียนและไม่มีใครจดจำได้ กำลังถือ ‘แลงติร้อนแรง’ พลางจ้องมองสาวสวยกำลังเต้นระบำข้างเวทีมวย
“แม่เย็*! พวกหล่อนไม่ได้ถอดเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวมานานเกินไปแล้ว!” เดนิสตะโกนคุยกับขี้เมาละแวกใกล้เคียง
บางคนไม่แยแส บางคนหัวเราะชอบใจ และใครบางคนเดินมาขอชนแก้ว ตามด้วยการกระดกของเหลวใสใส่ปาก
“นายอ่านหนังสือพิมพ์หรือยัง?” ชายคนหนึ่งซึ่งยังคงสิงอยู่ในผับยามดึก สะอึกเล็กน้อยก่อนจะซักถามพรรคพวกด้านข้าง
“สมองของนายถูกเหล้าทำลายไปหมดแล้วรึไง? คิดว่าคนอย่างฉันจะเข้าใจความหมายของตัวอักษรบิดเบี้ยวพวกนั้นหรือ? ถ้าเป็นอะไรบิด ๆ เบี้ยว ๆ ฉันสนใจแค่บั้นท้ายพวกหล่อนเท่านั้น! ฮะฮะ!” เพื่อนของชายคนเมื่อครู่ยกแก้ว ชี้นิ้วไปทางนางรำ และหัวเราะอย่างตลกขบขันพร้อมกับเพื่อนฝูง
ชายคนแรกตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ
“เหล็กกล้าตายแล้ว! ถูกฆ่าโดยเพลิงพิโรธ!”
เมื่อได้ยินเข้า เดนิสในละแวกใกล้เคียงพลันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะนั่งตัวตรงและแอบเหลือบไปทางด้านข้างด้วยหางตา
มันจิบเหล้าล้างคอหน้านิ่ง แต่ความจริงแล้วแอบขยับตัวไปด้านข้างทีละนิด เพื่อต้องการฟังว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร
นักผจญภัยและโจรสลัดต่างมีคติพจน์ร่วมกันเสมอว่า หากปราศจากเหล้า นารี และการคุยโวโอ้อวด ชีวิตในทะเลย่อมไร้ความหมาย!
“เหล็กกล้า? เหล็กอะไร? ฉันจะบอกอะไรให้นะ เมื่อสมัยยังเด็ก ฉันเคยหักท่อเหล็กได้เหมือนกัน!” ขี้เมาด้านข้างโวยวาย
“เก่งกับท่อเหล็กสินะ ฉันควรกล่าวชมเชยนายอย่างไรดี นายเจ๋งมาก! แบบนี้หรือ?” นักดื่มคนแรกเผยรอยยิ้มไม่ถือสา
โดยไม่รอคำตอบ มันเล่าต่อ
“เหล็กกล้า? แม็ควิตี้ตายแล้ว ฉันหมายถึง ผู้ช่วยกัปตันของพลเรือเอกโลหิตตายแล้ว!”
มันพูดประโยคครึ่งหลังด้วยโทนเสียงเย็นยะเยือก แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าคนรอบข้างเริ่มเกิดความหวาดกลัว จึงกระซิบเสียงแผ่ว
“ไม่ใช่ฉัน… ฉันไม่ได้ทำ”
แม่เย็*! ผับห่านี่วุ่นวายจริงโว้ย! รีบเล่าเข้าประเด็นสักที! รีบสรรเสริญความยอดเยี่ยมของท่านเพลิงพิโรธสักทีสิวะ!
เดนิสในสภาพปลอมตัว เกิดความรู้สึกอยากจะขว้างแก้วในมือไปทางขี้เมาเล่าข่าว
“หนังสือพิมพ์ระบุว่า กองทัพเรือและโบสถ์ร่วมมือกันสังหาร ‘เหล็กกล้า’ รวมไปถึง ‘พุ่มหนามสีเลือด’ และสควอลผู้เยือกเย็น หรือแม้กระทั่งพวกอันธพาลจอห์น·สมิธก็ถูกจับกุมตัวไปพร้อมกัน!” นักดื่มมาดขรึมคนหนึ่งช่วยสมทบรายละเอียด
“ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น!” ชายเล่าข่าวคนแรกรีบส่ายหน้า “ฉันมีเพื่อนทำงานกับหนังสือพิมพ์ เขาเล่าว่า ทางหนังสือพิมพ์ต่างทราบความจริงกันหมดแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถตีพิมพ์ข่าวออกไปได้ กองทัพเรือและโบสถ์เป็นแค่เครื่องมือ ส่วนฆาตกรตัวจริงคือ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส และนักผจญภัยลึกลับ มากประสบการณ์ แถมยังเคยเป็นนักล่าค่าหัวมือฉมังจากบนบก”
“ผายลม! เพลิงพิโรธ·เดนิส ไม่สามารถเอาชนะเหล็กกล้าได้แน่ ถึงจะเป็นการซุ่มโจมตีทีเผลอก็ตาม พลังของเจ้านั่นไม่สามารถทะลวงผ่านร่างกายแม็ควิตี้!” นักดื่มอีกหลายคนในร้านต่างช่วยกับโต้แย้ง
“ประเด็นสำคัญคือนักผจญภัยทรงพลังคนนั้นต่างหาก ฉันสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจมีฝีมือทัดเทียมกับพลเรือโจรสลัด!” ชายผู้เปิดประเด็นยังคงเน้นย้ำ “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเดนิสรู้จักกับนักผจญภัยลึกลับได้ยังไง แต่สามารถยืนยันได้หนึ่งเรื่อง นั่นคือ เพลิงพิโรธเป็นผู้สังหาร ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ อย่างไร้ข้อกังขา! ค่าหัวของชายคนนั้นพุ่งสูงถึงสี่พันสองร้อยปอนด์แล้ว!”
“ถูกต้อง!”
“จริงหรือเนี่ย?”
“เพลิงพิโรธนับว่าไม่ธรรมดา”
“ช่างเป็นโจรสลัดผู้เร่าร้อน! …ไม่สิ ผู้โจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่!”
“เฮ่อะ! โจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่อะไรกัน คราวก่อนยังนั่งดื่มกับฉันอยู่เลย ไม่เห็นจะเท่าไร”
แม่เย็*! ไอ้ลูกโสเภณี! ฉันไปดื่มกับแก่ตอนไหน? ไม่เคยเห็นหน้าแกมาก่อนด้วยซ้ำ!
เดนิสเกรี้ยวกราดใจในอย่างเคลือบแคลง ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอย่างมีความสุข
สี่พันสองร้อยปอนด์! หากเจ้าพวกนั้นรู้เข้า คงได้เช็ดดาดฟ้าเรือด้วยความอิจฉาเป็นแน่! ฮะฮะ! ตอนนี้เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า ท่านเดนิสผู้นี้คือสรั่งเรืออันดับหนึ่งของ ‘ฝันทองคำ’ !
เดนิสอยากเหาะไปยังเรือของกลุ่มโจรสลัดธารน้ำแข็งใจแทบขาด ดื่มอย่างเมามายไปพร้อมกับพวกพ้องเช่น ‘ถังเหล็ก’ เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นในเมืองท่าแบนชี เล่าถึงวินาทีขณะเอาชนะบิชอปเสื่อมทราม เล่าถึงวิธีเอาตัวรอดจากการซุ่มโจมตีของ ‘เหล็กกล้า’ และคนอื่น เล่าถึงวิธีการวางกับดักก่อนซุ่มจัดการพวกมันจนสิ้นซาก
และสุดท้าย เล่าความรู้สึกอันสดใหม่หลังจากเพิ่งได้เล่นไพ่แห่งความเป็นความตายและกลายเป็นผู้ชนะ
เฮ่อ… แต่เพื่อกัปตันแล้ว เราต้องอดทนรับบทคนรับใช้ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปก่อน… โจรสลัดค่าหัวสี่พันสองร้อยปอนด์อย่างฉันนี้!
เดนิสถอนหายใจยาว ก่อนจะใช้แอลกอฮอล์ย้อมใจให้ลืมความเจ็บปวด
…
เสียงระฆังของวิหารวายุสลาตันดังกังวานไปทั่วเมืองไซมีม ดวงอาทิตย์สีส้มลอยสูงเหนือท้องฟ้า สภาพแวดล้อมรอบเมืองยังคงเงียบสงบจนได้ยินเสียงน้ำทะเล
โดยไม่พบความผิดปรกติใดตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มถอดชุดรุ่มร่ามออก และกลับไปนอนบนเตียงราวสองชั่วโมง เพื่อชดเชยภาวะอดหลับอดนอนในระยะหลัง
อาศัยพลังวิญญาณช่วยปลุก มันตื่นนอนตอนแปดโมงครึ่งพอดิบพอดี เดินลงไปยังชั้นล่าง สั่งขนมปังเกาลัดสุกและ ‘ยางไม้กอลลั่ม’ หนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินไปกินไปจนถึงเขตท่าเรือ
ไคลน์ซื้อบัตรโดยสารเรือรอบเก้าโมงเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จึงทำเพียงเติมเต็มความอิ่มท้องให้ทันก่อนถึงเวลา
ทันใดนั้น มันเห็นหญิงสาวตาสีฟ้าและนักผจญภัยกลุ่มเดิมจำนวนสามคน
อีกฝ่ายกำลังต่อแถวซื้อบัตรโดยสารหน้าสำนักงาน
เรือเที่ยวเก้าโมงใกล้ออกแล้ว พวกเขาคงเดินทางรอบสิบโมง… เรายังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้หยิบอะไรมาจากโบราณสถานในป่าลึกบ้าง แต่ค่อนข้างแน่ชัดว่าสามารถดึงดูดความสนใจจากวิญญาณมารได้ ถ้าพกสิ่งของดังกล่าวลงเรือพร้อมกับคนบริสุทธิ์ล่ะก็…
ไคลน์ใช้ร่างกายบดบังสายตาจากกลุ่มนักผจญภัย และหยิบเหรียญทองออกมาดีดทำนายผล
คำตอบออกมาเป็น เรือโดยสารลำถัดไปมิได้ตกอยู่ในอันตราย
ชายหนุ่มลังเลราวสามวินาที สายตาจ้องไปยังกลุ่มนักเดินทางคนอื่น ๆ ซึ่งกำลังยืนรอเรือรอบสิบโมงตรงใกล้กับจุดจำหน่ายบัตร
มันใช้ปลายนิ้วเสียดสีบัตรในมือจนลุกไหม้
ไคลน์เดินกลับไปยังสำนักงานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และซื้อบัตรเดินทางมูลค่าสี่ซูลของรอบสิบโมงมาหนึ่งใบ
จากนั้น มันเข้าห้องน้ำใกล้กับท่าเรือ ส่งตัวเองเข้าห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา และรีบทำนายเพื่อไขข้อข้องใจให้กระจ่าง
หากผลการทำนายระบุว่าเรือรอบสิบโมงเต็มไปด้วยอันตราย ไคลน์จะหาทางหยุดเรือลำดังกล่าวทันที หรือถ้าจำเป็นก็ต้องแอบพังทิ้งก่อนออกเดินทาง ดีกว่าปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปอย่างไร้ค่า
ถ้าผลลัพธ์สอดคล้องกับคำทำนายเบื้องต้น มันก็จะโดยสารร่วมทางไปด้วย และคอยระมัดระวังอุบัติเหตุ
ผลลัพธ์ออกมาเป็น ไม่ปรากฏอันตราย
ชายหนุ่มทำหน้าโล่งใจ รีบส่งจิตกลับสู่โลกแห่งความจริง และจัดแจงให้ ‘ถุงลม’ ของตัวเมอร์ล็อกอยู่ในจุดพร้อมใช้งาน
หากเกิดอุบัติเหตุท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล วัตถุดิบวิเศษชิ้นนี้จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของตน
เฉกเช่น ‘ดวงตาดำล้วน’ ของโรซาโก้ซึ่งปนเปื้อนจิตกัดกร่อนจากพระผู้สร้างแท้จริง หากไคลน์ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในถุงลมของเมอร์ล็อก มันสามารถใช้พลังพิเศษในเส้นทางกะลาสีลำดับ ‘ลูกเรือ’ ได้เบื้องต้น
…
สิบโมงตรง
ไคลน์ในใบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยกกระเป๋าเดินทางขึ้น และเดินตามหลังกลุ่มนักผจญภัยทั้งสี่ขึ้นเรืออย่างเงียบงัน
ตลอดทาง มันแสร้งงีบเป็นพัก ๆ สลับกับการอ่านนิตยสารเก่าบนเรือ แต่ในความเป็นจริง ชายหนุ่มกำลังแอบเหล่ไปทางหญิงสาวดวงตาสีฟ้าและพวกพ้องของเธอ
ความระแวงในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดทาง จนกระทั่งเรือแล่นมาถึงเมืองบายัมโดยสวัสดิภาพ
พวกเขาแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว?
ตกลงว่าหยิบอะไรติดมือมากันแน่…
ไคลน์หยุดยืนริมถนน ทำทีซื้อหนังสือพิมพ์จากเด็กส่ง พลางชำเลืองกลุ่มนักผจญภัยทั้งสี่จนกระทั่งเดินลับสายตาไป
เฮ่อ…
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องของพวกมันอีก ขอเพียงคนกลุ่มนั้นไม่สร้างอันตรายเป็นวงกว้างหรือกับตน ไคลน์ก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรลงไป
มือข้างหนึ่งยกกระเป๋าเดินทาง โดยอีกข้างพลิกอ่านหนังสือพิมพ์พลางเดินไปตามถนนมะนาวเปรี้ยว ไม่ต่างอะไรกับนักท่องเที่ยวทั่วไป
ทันใดนั้น มันหลุดขำและอมยิ้มกับตัวเอง
“ค่าหัวเดนิสกลายเป็นสี่พันสองร้อยปอนด์…”
หากปล่อยไว้เช่นนี้ ไคลน์เกรงว่าสักวันตนอาจจับเดนิสมัดเชือกแน่นหนา และนำไปขึ้นเงินค่าหัวกับทางการเป็นเงินก้อนโต
เมื่อกลับถึงโรงแรมวายุคราม ขณะเตรียมดึงกุญแจออกมาไข ไคลน์ได้ยินเสียงกรนซึ่งดังยิ่งกว่าเสียงคลื่นทะเล แว่วมาจากภายในห้อง
ยังไม่หนีหรอกหรือ… ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ผิดคาดมากนัก
เนื่องจากชายหนุ่มเคยสวม ‘ผ้าคลุมเงา’ เป็นเวลานาน ขอเพียงเดนิสหนีไปพร้อมกับสมบัติวิเศษชิ้นนั้น ไคลน์สามารถเกาะรอยตามหาได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งได้พบกับพลเรือโทธารน้ำแข็งสมใจ
แม้ว่าจะซื่อบื้อไปสักหน่อย แต่ก็นับว่ายังระวังตัวได้ดี…
ไคลน์เปิดประตู สายตาจ้องมองเดนิสซึ่งสะดุ้งตื่นเล็กน้อย พลางเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“สวัสดี มิสเตอร์สี่พันสองร้อยปอนด์”
เดนิสพลันชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง
มันอยากขำแห้งเหมือนทุกที แต่ดูเหมือนคราวนี้จะขำไม่ออก
เพลิงพิโรธเริ่มรู้สึกอย่างแท้จริง ว่าชีวิตของตนอยู่ห่างจากความตายเพียงไม่กี่คืบ
……………………