วิญญาณ ‘ฝันร้าย’ ปรากฏตัวข้างโต๊ะทองแดงยาลวดลายโบราณ
เป็นชายวัยสามสิบกว่า ผมสีดำ ตาสีฟ้า แก้มซูบตอบ สองข้างจมูกเป็นเส้นลึกชัด ปากและคางปกคลุมด้วยเคราหร็อมแหร็ม
เมื่อความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเริ่มบรรเทาลง ‘ฝันร้าย’ ใช้มือทาบหน้าอกและโค้งคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หากนำไปเทียบกับ ‘ผู้ไร้หน้า’ ซึ่งไคลน์ปล่อยไปเมื่อหนก่อน ความทุกข์ทรมานของฝันร้ายดูน้อยกว่าอย่างชัดเจน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเส้นทางรัตติกาลช่วยให้ดวงวิญญาณผู้วิเศษแข็งแกร่งขึ้น หรือเป็นเพราะระยะเวลาในการถูกต้อนเข้าคอกสั้นกว่า
ไคลน์ถอนหายใจ ซักถามตามตรง
“คุณถูกคีลิงเกอร์ฆ่าตายได้ยังไง”
มุมปากฝันร้ายเผยรอยยิ้มขื่นขม
“ผมคือถุงมือแดงแห่งโบสถ์รัตติกาล กำลังตามสืบสวนเกี่ยวกับเอกสารโบราณจากสุสานของราชวงศ์ไบลัม เอกสารดังกล่าวถูกคาดหมายว่ามีสาเหตุการตายของมรณาบันทึกไว้ จนกระทั่งเริ่มสืบพบว่าเอกสารโบราณตกอยู่ในมือมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ผมจึงพาลูกน้องอีกสองคนขึ้นเรือเพื่อสะกดรอยตามพ่อค้าคนนั้นไป แต่ยังไม่ทันเริ่มสืบสวน คีลิงเกอร์ก็บุกโจมตีเรือเดินสมุทรของพวกเราเสียก่อน เพื่ออีกสองคนมีชะตากรรมเป็นอย่างไร” ไคลน์ซักถามจากจิตใต้สำนึก
ฝันร้ายเล่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“พวกเรามีโอกาสหนี ขณะเดียวกันก็มีโอกาสสังหารคีลิงเกอร์สำเร็จค่อนข้างมาก หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกคนบนเรือปลอดภัย ผมจึงสั่งให้หน่วยของเราลงมือโจมตี แต่ไม่ดีนัก เรือเกิดจมลงและต้องหนีขึ้นเรือชูชีพ ส่งผลให้พ่ายแพ้แก่เส้นทางกะลาสีอย่างหมดรูป… พวกเขาทั้งสองล้วนเสียชีวิต… ไม่สิ พวกเขาสละชีพเพื่อองค์เทพธิดา!”
ขอให้เทพธิดาอวยพร… ไคลน์วาดวงกลมจันทร์แดงภายในใจ
เมื่อจินตนาการตาม มันก็เริ่มตระหนักถึงความได้เปรียบของเส้นทางกะลาสีเมื่อต้องทำศึกบนท้องทะเลอันกว้างใหญ่ สิ่งแวดล้อมส่งผลอย่างมากในกรณีนี้ แตกต่างจากบนบกโดยสิ้นเชิง
หากไม่ใช่เพราะ ‘พรมวิเศษ’ มีขนาดใหญ่ เทอะทะ เชื่องช้า และตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย ไคลน์คงเลือกเก็บมันไว้และให้เงินสามพันปอนด์กับเดนิสแทน
แต่โชคดี เรายังมีตะกอนพลังเมอร์ล็อกอยู่ สามารถนำไปให้ ‘ช่างฝีมือ’ สร้างเป็นสมบัติวิเศษช่วยอำนวยความสะดวกใต้น้ำได้…
อย่างไรก็ตาม ช่างฝีมือสักคนนั้นหายากราวกับงมเข็ม ส่วนใหญ่อยู่ในสังกัดโบสถ์จักรกลไอน้ำ แทบไม่มีช่างฝีมือพเนจรชื่อเสียงโด่งดังให้ได้ยิน สมบัติวิเศษจึงกลายเป็นสิ่งของหายากบนโลกซึ่งเต็มไปด้วยตะกอนพลัง…
ตอนนี้เรายังไม่รีบ แต่ถ้ามีเหตุให้ต้องใช้งานด่วน คงต้องติดต่อผ่านมิสเตอร์แฮงแมน…
ไคลน์นั่งจ้องฝันร้ายผู้สละชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อพยายามช่วยคนบริสุทธิ์ พลางเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ชื่ออะไร มีความปรารถนาสุดท้ายไหม”
ร่างของฝันร้ายเริ่มเจือจาง มันยิ้มและตอบ
“เดวีย์·เรดมอนด์ สูญเสียบิดา มารดา ภรรยา และพี่น้องทั้งหมดไปในเหตุการณ์มนตร์ดำลึกลับ เหลือเพียงลูกสาวหนึ่งคน เธอชื่อเนลล์ เกิดปี 1330 เป็นเด็กสาวที่น่ารัก… ย้อนกลับไปในตอนเกิดเหตุ ผมตัดสินใจสืบหาต้นตอของมนตร์ดำ จนกระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมเหยี่ยวราตรีและกลายเป็นถุงมือแดงในเวลาถัดมา จึงแทบไม่มีเวลาให้กับลูกสาว จนกระทั่งเธอต้องมาสูญเสียพ่อไปอีกหนึ่งคน อย่างไรก็ตาม ผมมิได้กังวลสักเท่าไร โบสถ์รัตติกาลจะต้องมอบเงินชดเชยก้อนใหญ่ให้เธอแน่ มากเพียงพอจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปจนตาย แต่ผมยังอยากเห็นเธอมีครอบครัวอบอุ่น อยากยืนยันด้วยตาตัวเองว่า มีผู้ชายพึ่งพาได้คอยร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อมกับเธอ”
“ตอนนี้ปี 1,350… เธอคงแต่งงานออกเรือนเรียบร้อยแล้วกระมัง” ไคลน์กล่าวพลางถอนหายใจ
“กาลเวลาช่างผ่านไปไว…”
เดวีย์·เรดมอนด์ตอบเสียงแผ่ว
“หากมีโอกาส ช่วยบอกกับเธอว่า ฆาตกรถูกลงโทษอย่างสาสมแล้ว… ส่วนตัวผมเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางเรือ ไม่ต้องเคียดแค้นใคร จงใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุข ฝากบอกเธอว่าผมรักเธอมาก… พ่อคนนี้รักลูกมากจริง… และสุดท้าย… พ่อขอโทษ”
ร่างของมันเริ่มโปร่งใส คล้ายกับพร้อมจะเลือนหายไปได้ทุกเวลา
ไคลน์หลับตาถาม
“เธออาศัยอยู่แถวไหน เศรษฐีเจ้าของเอกสารโบราณชื่ออะไร”
“บ้านของพวกเราตั้งอยู่ในเมืองคอนแนนท์ แคว้นเดซีย์ เป็นเมืองชายทะเลอันมีทัศนียภาพงดงาม พืชเศรษฐกิจคือสวนยาง หากเธอยังไม่ย้ายบ้าน สามารถพบได้ในอาคารหมายเลข 67 ถนนต้นฟินิกซ์แดง… เศรษฐีคนดังกล่าวชื่อจิมมี่·เน็ค เขาคงไม่รอดพ้นไปจากเงื้อมมือของพลหรือโทวายุ…”
เรดมอนด์ยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างของมันพลันสลายไปโดยสมบูรณ์ เหลือไว้เพียงผลึกสีเข้มคล้ายอัญมณีบนผิวยุบพองหิวโหย
ไคลน์นั่งมองฉากตรงหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นเพื่อวาดจันทร์แดงสี่จุดบนหน้าอก
“ถ้ามีโอกาส ผมจะแวะไปเยี่ยมลูกสาวคุณ เพื่อยืนยันว่าเธอยังสุขสบายดี”
ท่ามกลางวังบรรยากาศคล้ายถิ่นพำนักของคนยักษ์ รวมถึงสายหมอกสีเทาอันกว้างไกลไร้ขอบเขต ประหนึ่งไม่เคยมีใครอาศัยมานานนับหมื่นปี
ไคลน์เก็บตะกอนพลังของเดวีย์ เรดม่อนไปไว้ตรงมุม พลางใช้มือลูบหน้าผาก และจดจ่อสมาธิอยู่กับเอกสารโบราณตามคำบอกเล่า
เส้นทางมรณาและเส้นทางรัตติกาลสามารถสลับกันได้ในลำดับสูง จึงไม่แปลกหากโบสถ์รัตติกาลจะส่งคนไปตามสืบเอกสารโบราณซึ่งอาจเกี่ยวพันกับมรณา… ชักอยากรู้แล้วว่า ชะตากรรมของพ่อค้าจิมมี่·เน็คหลังจากนั้นเป็นอย่างไร ต้องรีบหาคำตอบให้พบ… หากเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว เอกสารโบราณอาจตกอยู่ในมือคีลิงเกอร์ และถ้าเป็นเช่นนั้น ป่านนี้ก็น่าจะอยู่ในมือของอดีตลูกเรือคนสนิทคีลิงเกอร์ ผู้กลายเป็นลูกเรือใหม่ของพลเรือโทโรคภัย เทรซีย์…
ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพมรณา สิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อมิสเตอร์อะซิก… หากเราพบปัญหาระหว่างทาง ก็แค่เขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากเขาพอ…
หลังจากได้ข้อสรุป ชายหนุ่มรีบกลับสู่โลกความจริง และประกอบพิธีกรรมเพื่อนำยุบพองหิวโหยกลับลงไป
กว่าจะจัดการทุกสิ่งเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงสาย มันยกเลิกแผนเดิมในการนอนชดเชยการอดนอน และตัดสินใจนั่งวิเคราะห์รายละเอียดการต่อสู้เมื่อคืนแทน
สำหรับไคลน์ เรื่องเหนือความคาดหมายอันดับหนึ่งก็คือ ขีดความอดทนอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างน่าเหลือเชื่อของทูตพิพากษา!
มันเคยคำนวณไว้ว่า แม้จะมีเหตุการณ์เล็กน้อยเกิดขึ้นก่อน แต่ทูตพิพากษาก็น่าจะยังซ่อนตัวรอจนกว่าเป้าหมายตัวจริงอย่าง ‘เหล็กกล้า’ โผล่หัวออกมาเสียก่อน
ถึงตอนนั้นค่อยใช้สมบัติปิดผนึกทำให้ทุกคนหลับพร้อมกัน และควบคุมสถานการณ์ภาพรวมในคราวเดียว ส่วนเราก็อาศัยความพิเศษของตัวเองหลุดจากความฝัน และชิงลงมือกำจัด ‘เหล็กกล้า’ ในสภาพไร้การป้องกันอย่างเยือกเย็น พร้อมกับนำศพติดตัวออกไป…
แต่ใครจะไปคิดว่า เพียงเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย พวกสมองกล้ามก็รีบกรูเข้ามายังจุดเกิดเหตุจนหมด ไม่เหลือแม้แต่ทีมสำรองไว้เป็นแผนสอง หรืออย่างน้อยก็ควรจัดสรรคนคอยคุ้มกันผู้ใช้งานสมบัติปิดผนึก…
ไคลน์ไม่รู้ว่าตนควรดีใจหรือเสียใจ
หากไม่ใช่เพราะทางฝั่งแม็ควิตี้ค่อนข้างเยือกเย็นและระวังตัว ส่งลูกน้องสองคนคอยดักไว้กลางทางพร้อมกับฝูงซอมบี้และหุ่นกระบอก ไคลน์คงได้เผชิญสถานการณ์สองต่อห้าอันเสียเปรียบไปแล้ว และถ้าเป็นแบบนั้น มันคงเลือกจะถอนตัวออกจากจุดเกิดเหตุ
เรื่องน่าภูมิใจก็คือ ไคลน์เตรียมล่วงหน้าตัวค่อนข้างดี
นี่คือจิตใต้สำนึกของนักมายากล!
เป็นเพราะไคลน์มีโอกาสทราบข้อมูลของห้าลำดับแรกบนเส้นทางนักโทษจากชารอนและมาริค จึงมองออกว่าแม็ควิตี้ได้เข้าสู่ภาวะ ‘คลั่ง’ ในตอนหลัง ส่งผลให้พลังพิเศษจำพวกจิตใจจะใช้กับมันไม่ได้ในร่างนี้
ไคลน์จึงเลี่ยงไม่ใช้พลัง ‘มังกรข่มขวัญ’ และ ‘โรคประสาท’ ของนักจิตบำบัด รวมถึง ‘ดึงเข้าสู่ความฝัน’ ของฝันร้าย ซึ่งมีฤทธิ์ไม่รุนแรงเท่าสมบัติปิดผนึกของทูตพิพากษา การโจมตีหลักจึงเป็น ‘ทะลวงจิต’ ของนักสอบสวน สลับกับ ‘แสงสุริยันศักดิ์สิทธิ์’ ของนักบวชแสง
‘ทะลวงจิต’ ไม่ใช่พลังควบคุมจิตใจ แต่เป็นการโจมตีใส่ดวงวิญญาณเป้าหมายโดยตรง เมื่อการโจมตีหนึ่งสร้างความเสียหายกับร่างกายภายนอก และอีกการโจมตีหนึ่งทำลายดวงวิญญาณภายใน แม็ควิตี้จึงอ่อนแอลงภายในระยะเวลาอันสั้น
หากคอมโบของเราไม่ได้ผลลัพธ์ตามเป้า ‘เหล็กกล้า’ คงฟื้นตัวกลับมาได้ด้วยพลังของมนุษย์หมาป่า และนั่นจะทำให้ศึกยืดเยื้อออกไปนาน จนต้องยอมถอนตัวมือเปล่าในเวลาถัดมา…
เรายังฉวยโอกาสจากธรรมชาติของพวก ‘ไม่ระงับแรงกระหาย’ โดยเชื่อว่าถ้าโจมตีใส่จิตโดยตรง แม็ควิตี้น่าจะเลือกระเบิดภาวะ ‘คลั่ง’ เพื่อเตรียมต่อสู้แบบหมัดต่อหมัด จากนั้นค่อยอาศัยพลังฟื้นฟูของมนุษย์หมาป่าช่วยให้ตัวเองได้เปรียบ แต่หารู้ไม่ว่า แผนดังกล่าวกลับเร่งความตายให้เร็วขึ้น…
“ในความเป็นจริง หากต้องต่อสู้กับซอมบี้อย่างปลอดภัย เราต้องวางไม้ขีดเตรียมไว้ล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็ให้เดนิสคอยปาไฟสนับสนุน หลักการต่อสู้ไม่ซับซ้อน คอยรักษาระยะห่างจากแม็ควิตี้เอาไว้และชิงจังหวะโจมตีจากระยะไกล เมื่อมันพยายามหนี ก็แค่ให้เดนิสปาไฟใส่และโผล่ประชิดตัว… แต่เป็นเพราะปัจจัยด้านเวลาไม่เอื้ออำนวย เราจึงต้องเลือกวิธีเสี่ยง…”
ไคลน์ถอนหายใจ หยิบนาฬิกาพกออกมาเปิดฝาตรวจสอบเวลา
เกือบเก้าโมงตรง… ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนและเดินออกไป
ปัจจุบัน เดนิสกำลังนอนบนเก้าอี้เอนหลังพลางส่งเสียงกรนคล้ายเครื่องจักรทำงาน
แต่ความระมัดระวังตัวของมันช่างน่าทึ่ง เมื่อไคลน์เปิดประตู เดนิสรีบลืมตาและดีดตัวลุกนั่งทันที
“…จะออกไปข้างนอกหรือ” เดนิสเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดึงหมวกและโค้ทออกจากราวแขวนผ้า
“อือ” ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึม ไม่อธิบายว่าตนมีแผนจะออกไปปลอมตัวและสารภาพรักแทนคนตาย
แล้วเราล่ะ จริงสิ… ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้และคนของมันถูกจัดการเกือบหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้เราต้องกังวล… แม้หนังสือพิมพ์จะไม่เล่นข่าว แต่เราก็สามารถป่าวประกาศให้พวกขี้เมารับรู้ได้ ในผับมักเต็มไปด้วยนักผจญภัยและโจรสลัดซึ่งรอฟังเรื่องแบบนี้เพื่อเอาไปโม้กับญาติพี่น้องอยู่แล้ว เพียงไม่นาน ข่าวคราวของเราก็จะไปถึงหูกัปตัน..
ไอ้พวกแม่เย็*นั่น… วันทั้งวันไม่ทำอะไรนอกจากดื่มและคุยโม้โอ้อวด ชีวิตไร้แก่นสาร แต่อย่างน้อยก็ทำประโยชน์ให้เราได้…
เดนิสครุ่นคิดอย่างมีความหวัง ก่อนจะซักถามด้วยน้ำเสียงแฝงความกลัว
“มิสเตอร์สแปร์โรว์ ฉ…ฉันไปได้หรือยัง”
ไคลน์ยิ้ม
“นายเป็นอิสระมาตลอด”
จริงด้วย… เราไม่ได้ถูกจับเป็นตัวประกันสักหน่อย แต่มาขอความช่วยเหลือ… เราเป็นอิสระมาตลอด!
เดนิสชะงักเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้ายินดี
ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงอันเย็นยะเยือกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังลอยมาตามลม
“แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว”
อะไร… นะ? เดนิสเผยสีหน้ามึนงง
ทันใดนั้น มันเริ่มเข้าใจความนัยแฝงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
อิสระของเราจบลงแล้ว… ตอนนี้ต้องกลับไปอยู่ในสถานะตัวประกันอีกครั้ง!
“ท…ทำไม” เดนิสซักถามขุ่นเคือง
ไคลน์สวมหมวกทรงกึ่งสูง กล่าวเสียงต่ำ
“ฉันอยากพบกัปตันของนาย”
ดวงตา ‘เพลิงพิโรธ’ พลันลุกโชน มันรีบยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“นายคิดจะทำอะไรกับเธอ!”
ต้องออกอาการขนาดนี้เลยหรือ…
ไคลน์ตอบเสียงขรึม
“แค่จะถามบางเรื่อง”
……………………