Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 522 : อาณานิคม

ราชันเร้นลับ 522 : อาณานิคม

เนื้อของปลาเหล็กในยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าเนื้อเมอร์ล็อก แต่ได้เครื่องเทศนานาชนิดช่วยเกลี่ยรสชาติจนกลมกล่อม สัมผัสแต่ละชั้นของอาหารก็ยังอ่อนละมุนจนไคลน์ไม่หยุดกินแค่คำเดียว

ในความเป็นจริง หากผู้วิเศษท้องถิ่นในละแวกนี้ต้องการถอนตัว พวกมันสามารถเดินทางไปยังเบ็คลันด์และเปิดร้านขายปลาย่างสไตล์หมู่เกาะรอสต์ได้ ชาวโลเอ็นมักเปิดใจรับวัฒนธรรมอาหารใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ราคาของเครื่องเทศจะสูงกว่าปรกติมาก ไม่มีทางหาง่ายเหมือนกับขณะอยู่บนเกาะ และเหนือสิ่งอื่นใด ทำเลร้านต้องดีและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่าย…

ไคลน์วางตะเกียบหยาบลง เช็ดปากด้วยผ้าขาวและขบคิดเรื่อยเปื่อย

ในมุมมองชายหนุ่ม ชาวบ้านทั่วไปยากจะร่ำรวยจนกลายเป็นเศรษฐีได้ เนื่องจากยังขาดวิสัยทัศน์ในการมองหาโอกาสและคว้าเอาไว้ แต่เรื่องของวิสัยทัศน์ก็ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน ต้องผ่านประสบการณ์และมีการศึกษาขึ้นพื้นฐาน ส่งผลให้คนจนยากจะหลุดพ้นจากบ่วงแห่งความจนไปได้ หนทางเอาชนะความจนจึงมีอยู่สองวิธี หนึ่ง ขวนขวายและเพิ่มระดับการศึกษาของตัวเอง วิธีนี้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง สอง ออกเสี่ยงโชคในฐานะนักผจญภัย ตระเวนไปรอบโลกเพื่อเผชิญเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่วิธีนี้เสี่ยงสมชื่อ และหลายคนก็เสียชีวิตอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครรับรู้ชะตากรรม

สำหรับมือนี้ ไคลน์จ่ายเงินไปทั้งสิ้นสองซูลห้าเพนนี จริงอยู่ ราคาอาจไม่ถูก แต่ถ้าเป็นอาหารคุณภาพสูง ชายหนุ่มยินดีจ่ายอย่างสมน้ำสมเนื้อ และเหนือสิ่งอื่นใด ค่าอาหารในช่วงหลังของไคลน์ถูกอุปถัมภ์โดยเดนิส·เพลิงพิโรธอยู่แล้ว เงินออมของมันจึงยังเหลือเฟือ

ไคลน์ยืนจัดระเบียบปกเสื้อ สวมหมวกทรงสูง และหยิบไม้ค้ำเดินออกจากภัตตาคารเฒ่าจอห์น จนกระทั่งเห็นตำรวจนายหนึ่งกำลังขับไล่กลุ่มคนจรจัดออกจากถนนหน้าร้าน

คนพื้นเมืองของหมู่เกาะรอสต์จะมีผิวคล้ำกว่าชาวทวีปใต้เล็กน้อย เป็นระดับสีผิวคล้ายกับการอาบแดดนานเกินไป เส้นผมสีดำด้าน หยักศกเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น แตกต่างจากชาวอาณานิคมโลเอ็นพอสมควร

เกาะแห่งนี้ถูกยึดครองอย่างสมบูรณ์เมื่อไม่ถึงห้าสิบปีก่อน โดยในช่วงต้น ชาวโลเอ็นกลุ่มแรกผุดแนวคิดการก่อตั้งบริษัทร่วมกับหัวหน้าชนเผ่าดั้งเดิม ใช้ชื่อบริษัทว่า ‘โซเนียภาคกลาง’ ประกอบธุรกิจขุดทรัพยากรบนเกาะส่งให้กับแผ่นดินใหญ่

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งเป็นของคู่กับธุรกิจเสมอ เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงรอย จึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรงขึ้น ต่างฝ่ายต่างนำความผิดพลาดของกันและกันมาฟ้องร้องกับราชวงศ์โลเอ็นผู้เป็นเจ้าของอาณานิคม โดยพยายามสาวไส้องค์กรเบื้องหลังอีกฝ่ายจนลามปามไปถึงการประชุมสภา*

(ล้อเลียนจากเหตุการณ์จริงสมัยอังกฤษยึดครองอาณานิคมประเทศอินเดียและก่อตั้งบริษัท British ·ast India ขึ้น)

แน่นอน คนพื้นเมืองในสมัยนั้นคงมิอาจจินตนาการได้ว่า ชายร่างกำยำใหญ่ซึ่งแผ่จิตสังหารท่วมท้นจนหัวหน้าเผ่าของพวกตนต้องยอมศิโรราบและจุมพิตหลังเท้า รวมถึงยังต้องส่งเกวียนบรรณาการอีกหลายเล่ม แท้จริงแล้วจะไม่ใช่บุคคลอันใดสำคัญของเมืองหลวงโลเอ็น ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด

จริงอยู่ พวกมันอาจเป็นขุนนาง แต่ก็เป็นแค่ขุนนางปลายแถว ใกล้สูญสิ้นบรรดาศักดิ์ประเภทสืบทอดเข้าไปทุกที

เมื่อเกิดข้อพิพาทดังกล่าวขึ้น กษัตริย์แห่งโลเอ็นและนายกรัฐมนตรีได้ลงนามร่วมกัน ให้ส่งกองทัพเรือยึดครองหมู่เกาะรอสต์ด้วยมาตรการเด็ดขาด จากนั้นก็เริ่มปกครองด้วยกฎหมายอาณานิคมเต็มรูปแบบ

ในปัจจุบัน กฎหมายของหมู่เกาะรอสต์จะถูกกำหนดผ่านสภาเมือง โดยมีอดีตหัวหน้าเผ่าและคนท้องถิ่น คอยทำงานเป็นพนักงานระดับกลางภายในสภาเมืองดังกล่าว สำหรับลำดับต่ำกว่านั้นลงมา พวกมันจะเปิดโอกาสให้ชาวพื้นเมืองสติปัญญาดีหลายคนสอบเข้าทำงาน รวมไปถึงตำแหน่งพนักงานตำรวจตรวจตรารอบเมืองด้วย

เบื้องหน้าไคลน์คือตำรวจคนท้องถิ่น ในมือถือไม้กระบองสำหรับขับไล่คนจรจัด

เมื่อเห็นว่าไคลน์มาในชุดโค้ทยาวกระดุมสองแถว หมวกทรงกึ่งสูง และการใช้สีดำบนเสื้อผ้าอันหาได้ยากจากวัฒนธรรมเกาะรอสต์ ตำรวจคนดังกล่าวรีบตบเท้าทำความเคารพโดยไม่รีรอ

“ทิวาสวัสดิ์ครับ! มีอะไรให้ผมรับใช้ไหม?”

ไคลน์ครุ่นคิดพลางพยักหน้า

“แถวนี้ไม่มีรถม้าหรือ”

“สภาเมืองลงความเห็นว่า ไม่อนุญาตให้นำรถม้าขึ้นมาวิ่งบนถนนครับ! หากต้องการขึ้นรถม้าในบริเวณใกล้เคียง ต้องเดินไปให้ถึงถนนอีกเส้นครับ!” ตำรวจอธิบายเสียงฉะฉานเจือความหวาดกลัว

“ขอบใจ” ไคลน์พยักหน้ารับ ตามด้วยการกล่าวชม “นายพูดโลเอ็นได้ไม่เลว”

ตำรวจคนเดิมทำสีหน้าแปลกใจ

“ผ…ผมคิดว่านั่นคือทักษะพื้นฐานในการเป็นตำรวจครับ!”

ในฐานะเมืองขึ้นของโลเอ็น เขาคงคิดว่าตัวเองเป็นชาวโลเอ็นคนหนึ่ง แต่การพูดแบบนั้นอาจทำให้ชาวโลเอ็นตัวจริงโกรธได้…

ไคลน์ถอนหายใจ พลางเดินตรงไปยังถนนสำหรับขึ้นรถม้าสาธารณะ

ระหว่างทาง มันเห็นร้านขายเสื้อผ้าสไตล์ท้องถิ่น ลักษณะแตกต่างจากร้านทั่วไปบนแผ่นดินใหญ่ค่อนข้างมาก และยังไม่เหมือนกับร้านเสื้อผ้าของท่าเรือดาเมียร์กับท่าเรือแบนชีด้วย

เมื่อได้เห็นมาดสุภาพบุรุษภูมิฐานของชาวโลเอ็นซึ่งมักสวมเสื้อโค้ท หมวกทรงสูง และนำไม้ค้ำโบราณน่าเกรงขาม ชาวพื้นเมืองจะไม่กล้าตบตานานนัก

ในทางกลับกัน พวกมันนิยมสวมกางเกงหลวมขาบาน สีสันฉูดฉาด เพราะสีดำมิได้แสดงถึงความสง่าผ่าเผยเหมือนกับโลเอ็น จึงชื่นชอบการใส่สีน้ำตาลหรือเทาอ่อน ส่งผลให้ไคลน์รู้สึกราวกับตนเดินทางมายังต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ชนพื้นเมืองบางกลุ่มยังคงชอบเลียนแบบการแต่งกายชาวโลเอ็น เนื่องจากเชื่อกันว่า นั่นคือพฤติกรรมและมารยาทของผู้ดี

บ่ายสองโมงตรง ณ ผับปลากระโทงอันเป็นแหล่งชุมนุมของนักผจญภัย

ตอนนี้ยังมีนักดื่มนั่งอยู่ไม่มาก ไคลน์เดินผ่านเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้ไม่ยากเย็น

ชายหนุ่มเริ่มพบจุดแตกต่างระหว่างผับแห่งนี้กับผับอื่น นั่นคือด้านข้างผับจะมีกระดานดำสามแผ่นใหญ่ตั้งอยู่บนกรอบไม้ บนกระดานดำมีแผ่นกระดาษสีขาว หรือสีเหลือง จำนวนมากกำลังปิดทับจนเกือบทั่วทุกซอกมุม รายละเอียดมีทั้งงานจ้างบอดี้การ์ดทั่วไป ตามหาคนหาย ตั้งค่าหัวโจรสลัดเฉพาะเจาะจง โดยบางรายแจ้งว่าตนมีลายแทงของขุมทรัพย์ แต่ต้องการพวกพ้องไปช่วยกันขนออกมา

สรุปโดยสั้น งานของนักสืบเอกชนและบริษัทรักษาความปลอดภัย ถูกนำมารวมกันภายในผับแห่งนี้

“ซาร์ฮาร์หนึ่งแก้ว” ไคลน์เคาะเคาน์เตอร์

นี่คือเบียร์มอลต์ท้องถิ่นชนิดหนึ่ง มีราคาไม่แพง รสชาติค่อนข้างดีและถูกปากนักผจญภัย โดยมันทราบเรื่องนี้มาจากเดนิส·เพลิงพิโรธ

“สามเพนนี” บาร์เทนเดอร์จ้องอย่างไร้อารมณ์ เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ใช้ขาประจำของร้าน มันจึงไม่กล้าทักทายส่งเดช

หลังจากได้รับเบียร์ ชายหนุ่มนั่งจิบบนเก้าอี้สูงตรงเคาน์เตอร์ พลางบรรจงละเมียดทีละนิดและแอบฟังบทสนทนาของนักผจญภัยขี้เมารอบตัวอย่างละเอียด มองหาข้อมูลมีประโยชน์สำหรับตน

จนกระทั่งผ่านไปเกือบชั่วโมง ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาจนแน่นร้าน และไคลน์ได้ยินบางสิ่งน่าสนใจเข้าพอดี

ชายหนุ่มพลันตาสว่าง สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องราวของอีกฝ่าย

พวกมันเป็นกลุ่มนักผจญภัยสี่คน นั่งห่างจากเก้าอี้ไคลน์ไม่เกินสามเมตร โดยกำลังกล่าวถึงชายชื่อ ‘วินเทอร์’

“ฉันเข้าใจมาตลอดว่าวินเทอร์ออกทะเลไปเรียบร้อยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า หมอนั่นเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องด้วยสภาพป่วยหนัก”

“ช่างน่าเศร้า ถ้าฉันตัดสินใจเคาะประตูเมื่อสองวันก่อน เขาก็คงไม่ตาย… นายคงจินตนาการไม่ออกแน่ว่าห้องดังกล่าวมีสภาพน่าสะอิดสะเอียนมากแค่ไหน ดอกเห็ดสีขาวผุดขึ้นจนเต็มร่างกายของเขา!”

“แม่เย็*! หุบปาก! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังกินไส้กรอกอยู่!”

“ตกลง… แล้วก็ ภายในห้องยังเต็มไปด้วยแมลงเม่า แมลงวัน ผีเสื้อ ผึ้ง และแมลงสาบวิ่งกรูกันออกมาประหนึ่งพายุ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์เคยอาศัยอยู่ในนั้น แม้แต่ตำรวจก็ยังเข็ดขยาด!”

เมื่อได้ยินเรื่องราว ไคลน์เริ่มขมวดคิ้วเนื่องจากมันพบความผิดปรกติในลักษณะการตายของวินเทอร์

ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน ร่างกายไม่น่าจะเต็มไปด้วยดอกเห็ดและมีแมลงนานาชนิดวิ่งพล่านไปทั่วห้องได้เลย

สาเหตุการตายมาจากปัจจัยเหนือธรรมชาติ? ด้วยความผิดปรกติระดับนี้ ตำรวจต้องรายงานไปยังทูตพิพากษาแล้ว และพวกมันคงเก็บกวาดศพวินเทอร์จนเรียบร้อย เวลาสามสี่วันนับว่ามากเกินพอ…

ไคลน์ลังเลอยู่นาน ว่าตนควรไปตรวจสอบด้วยตัวเองเหรือไม่ เพราะอย่างน้อย ผองเพื่อนนักผจญภัยก็ไม่มีใครกล้าแจ้งครอบครัว โอกาสสวมรอยปลอมตัวจึงเปิดกว้าง

นั่งฟังต่ออีกสักพัก จนกระทั่งได้ทราบว่าวินเทอร์เสียชีวิตภายในอาคารหมายเลข 47 บนถนนเขาดำ

หลังจากดื่มเบียร์ซาร์ฮาร์หมดแก้ว ไคลน์สวมหมวก เดินออกจากผับ และมุ่งหน้าไปยังอาคารหลังเป้าหมายทันที

ขณะย่างกรายเข้าไป ไคลน์กระซิบกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา

“ห้องใดเพิ่งมีคนตาย”

พอครบเจ็ดครั้ง มันอาศัยเทคนิคนักทำนายช่วยนำทางตัวเองไปยังอดีตห้องของวินเทอร์ได้ไม่ยากเย็น

ยังไม่มีใครมาเช่าต่อ แต่เศษเสี้ยวความผิดปรกติถูกจัดการไปเกือบหมดแล้ว

ไคลน์วางแผ่นกระดาษสำหรับใช้ปลดกลอนลง จากนั้นจึงปิดประตูตามหลัง

เมื่อยืนยันสถานการณ์ มันรีบหยิบอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมออกมาวางเรียงราย ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดหรือผงสมุนไพร

แม้จะผ่านมานานหลายวัน แต่ก็ข้อมูลอย่างเลือนรางน่าจะยังคงอยู่

ไคลน์มองว่า สิ่งนี้ดีกว่าการคว้าน้ำเหลว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายหนุ่มเตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง และเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว เพื่อเข้าไปตอบสนองพิธีกรรมด้วยพลังวิญญาณตัวเอง

ทันใดนั้น เปลวไฟของเทียนกลายเป็นสีฟ้าครามและลุกโชติช่วง ฉาบทุกสิ่งรอบตัวโดยไม่มีข้อกำหนด

ไคลน์ตระหนักว่าบรรยากาศตัวเงียบงันราวกับตนกำลังอยู่ในอาณาจักรมายา

ดวงตากลายเป็นสีดำสนิท ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่ตาขาว

หลังจากกลายเป็นผู้ไร้น้า มันสามารถดึงพลังของห้วงมิติสายหมอกเทาขึ้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงไม่ต้องอาศัยเทคนิค ‘ทำนายฝัน’ เข้าประกอบการสอบสวน

ภาพแรกในการมองเห็นคือเศษเสี้ยวดวงวิญญาณอันเลือนรางของวินเทอร์ คล้ายกับจิตอันเข้มแข็งคอยห้ามมิให้ตัวมันหายไปโดยง่าย

เหตุการณ์ในฝันมีทั้งหมดสามฉาก ฉากแรกเป็นตัววินเทอร์เอง ผู้มีรูปร่างผอมบางและสูงเพรียว ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย กำลังโน้มตัวลงไปหาซากศพปริศนาซึ่งถูกทิ้งร้าง โดยบนตัวศพมีอัญมณีสีฟ้าครามแวววาวและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาวางอยู่

ภาพถัดมา วินเทอร์กำลังนอนซมบนเตียงในสภาพดวงตาปิดสนิท เห็ดสีขาวผุดขึ้นตามร่างกาย รอบห้องเต็มไปด้วยแมลงนานาชนิดวิ่งไต่ยั้วเยี้ย กึ่งกลางหน้าอกวินเทอร์มีสร้อยคอสีเงิน อัญมณีกึ่งกลางมีสีฟ้าครามเหมือนกับในฉากแรก

ฉากสุดท้าย หญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าของดวงตาอันงดงามและเส้นผมสีขาวลินิน กำลังนั่งริมทะเลโดยมีเสียงวินเทอร์ดังมาจากด้านหลังอย่างกระอักกระอ่วน

“เรนนี่! ฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเสียใจ เสียใจกับการไม่เคยบอกรักเธอ ไม่เคยขอเธอแต่งงานเลยสักครั้ง…”

เมื่อฉากความฝันแตกสลาย ไคลน์มองไปรอบตัวและพบกับห้องบรรยากาศมืดสลัวตามปรกติ

หมอนี่ช่างโชคร้าย…

ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางถอนหายใจ

มันเข้าใจทันที วินเทอร์ตายเพราะฝ่าฝืนหนึ่งในข้อห้ามสำคัญของโลกผู้วิเศษ

ห้ามจับสิ่งของส่งเดช!

ผู้วิเศษส่วนมากไม่รู้ว่ามีกฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษคอยควบคุมโลกอยู่ ส่งผลให้ไม่ทราบว่า หลังจากเสียชีวิต ตะกอนพลังจะควบแน่นจนกลายเป็นผลึก สามารถนำไปปรุงโอสถดื่มได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ค่อนข้างใช้เวลานานหากไม่ถูกเร่ง ส่งผลให้ผู้ลงมือฆ่าไม่ทราบว่าจะมีตะกอนพลังเกิดขึ้น และคนผ่านมาเห็นก็ไม่ทราบว่านี่คือตะกอนพลัง

วินเทอร์ไม่รู้จักตะกอนพลัง และเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นเพียงอัญมณีเวทมนตร์ จึงนำไปสร้างเป็นสร้อยคอธรรมดา การเก็บไว้กับตัวเป็นเวลานานส่งผลให้พิษจากตะกอนพลังกัดกร่อนร่างกายทีละนิด จนกระทั่งเกินเยียวยาและต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset