ของเหลวสีทองทั้งเย็นและสดชื่น ช่วยให้ออเดรย์รู้สึกราวกับตนกำลังรับประทานไอศกรีมถ้วยใหญ่ หญิงสาวบรรจงจิบ ‘แชมเปญเย็น’ ซึ่งมีฟองอากาศผุดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิดเสียงลงไปในลำคอ
ทันใดนั้น โสตประสาทของเธอเริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ออเดรย์ได้ยินเสียงสาวใช้สองคน ตรงสุดทางเดิน กำลังตัดพ้อเกี่ยวกับการไม่ถูกพาตัวไปยังคฤหาสน์หรูในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกพร้อมกับครอบครัวฮอลล์
ออเดรย์สัมผัสได้ว่า จิตของเธอเริ่มสลายตัวกลายเป็นหมอกควันมายาทีละนิด ค่อยๆ พองตัวปกคลุมคฤหาสน์ทั้งหลัง โอบกอดทะเลจิตใต้สำนึกของทุกคนในบ้านอย่างรวดรวด
ไม่กี่อึดใจถัดมา วิสัยทัศน์ของหญิงสาวเริ่มแปรเปลี่ยน ภาพการมองเห็นตรงหน้ากลายเป็นพร่ามัว ก่อนจะก่อตัวเป็นกระจกเงาสะท้อนรูปโฉมในปัจจุบันอย่างแจ่มชัด
ภายใต้ความงามอันสามารถบรรยายด้วยคำว่า บริสุทธิ์ผุดผ่อง ประณีต ทรงเสน่ห์ และเลอค่า ผิวหนังนอกร่มผ้าเริ่มถูกเกล็ดสีทองปกคลุมอย่างเชื่องช้า ม่านตาสีเขียวรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตาขาวและฉาบด้วยสีทอง
รูม่านตากลายสภาพเป็นทรงรีแนวตั้ง
ได้เห็นฉากดังกล่าว ความกลัวจากก้นบึ้งพลันแผ่กัดกินจิตใจออเดรย์หนักหน่วง เธอไม่อยากกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้สามัญสำนึก!
หัวสมองกำลังขาวโพลน สตินึกคิดเริ่มไม่คมชัด ความเจ็บปวดเหนือคำบรรยายกำลังท่วมท้นห้วงความรู้สึก
ทันใดนั้น หญิงสาวได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากโกลเดนรีทรีเวอร์ ซูซี่
“ไม่ต้องกลัว ใจเย็นไว้ ไม่ต้องกลัว”
สติออเดรย์ถูกดึงกลับมายังโลกความจริงอย่างรวดเร็ว เธอพยายามเพ่งสมาธิเพื่อเข้าสู่ภาวะผู้ชม
เพียงไม่นาน กระแสอารมณ์อันปั่นป่วนเริ่มสงบลง ดวงวิญญาณหลุดลอยลอยออกจากร่างกายทีละนิด จนกระทั่ง ออเดรย์มองเห็นตัวเองด้วยมุมมองบุคคลภายนอก
เกล็ดสีทองบนผิวหนังเริ่มจางหาย ม่านตากลับมามีสีเขียวมรกตสดใสอีกครั้ง
เพียงไม่นาน หญิงสาวสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างอิสระ พร้อมกับตระหนักว่า ‘นักจิตบำบัด’ มีพลังพิเศษประเภทใดบ้าง
เกือบไปแล้วเชียว… อีกแค่นิดเดียว…
ออเดรย์ยกแขนขึ้นอย่างหวาดกลัว เธอไม่กลัวว่าจะเห็นเกล็ดมังกรสีทองอีกครั้ง แต่โชคยังดี ในคราวนี้ไม่มีความผิดปรกติบนร่างกาย
จากเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอเริ่มเข้าใจคำเตือนเป็นครั้งคราวของมิสเตอร์ฟูลเกี่ยวกับความอันตรายของภาวะคลุ้มคลั่ง หรือแม้แต่มิสเตอร์แฮงแมนก็ยังคอยเปรยอยู่เสมอว่า เส้นทางผู้วิเศษมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ถึงแม้จะใช้เทคนิคสวมบทบาทได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่มีใครหนีพ้นจากภาวะคลุ้มคลั่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ย้อนกลับไปในอดีต มิสเตอร์เวิร์ลเคยกล่าวประโยคหนึ่งได้ว่า ‘ผู้วิเศษคือผู้พิทักษ์ ขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มคนน่าสมเพช ต้องคอยต่อกรกับความดำมืดและบ้าคลั่งของโลกตามลำพัง’ …
เราเคยคิดว่าตัวเข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดี แต่วันนี้เพิ่งตระหนักถึง ‘ความรู้สึก’ ดังกล่าวอย่างแจ่มชัด…
ออเดรย์… ห้ามถอดใจเด็ดขาด! ห้ามหวาดกลัวกับเรื่องเล็กน้อย! พ่อแม่และพี่ชายกำลังรอการปกป้องจากเรา! ด้วยประสบการณ์ในวันนี้ เราจะไม่เกิดความหวาดกลัวอะไรง่ายๆ อีกแล้ว! เข้ามาได้เลย!
หญิงสาวสั่นกำปั้นแผ่วเบาพลางให้กำลังใจตัวเองอย่างมุ่งมั่น
ออเดรย์ยืนสงบสติสักพัก ก่อนจะเดินไปหาซูซี่และนั่งยองลง ใช้แขนโอบกอดโกลเดนรีทรีเวอร์ขนทองตัวใหญ่ พลางลูบไล้เส้นขนอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม
หญิงสาวกล่าวโดยใช้ใบหน้าแนบข้างศีรษะสุนัขตัวโต
“ขอบคุณนะ…”
ซูซี่ใช้แก้มถูกลับสองหน ตามด้วยการซักถามอย่างจริงจัง
“ออเดรย์ นี่คือความรู้สึกของการเป็นนักจิตบำบัดใช่ไหม… ฉันชอบมัน”
“…” ออเดรย์หลั่งน้ำตาปริ่ม ก่อนจะหัวเราะและกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ซูซี่… พวกเราจะคอยดูแลจิตใจของกันและกันตลอดไป!”
“ตกลง. โฮ่ง!” ซูซี่ขานรับยิ้มแย้ม
ผ่านไปสักพัก จนกระทั่งอารมณ์ปีติยินดีของหญิงสาวสงบลง ออเดรย์ตั้งสติตรวจสอบประสิทธิภาพของพลังใหม่อย่างละเอียด
ร่างกายของเรากระฉับกระเฉงขึ้น แม้ว่ามวลกล้ามเนื้อจะเท่าเดิม แต่ความแกร่งและความว่องไวก็เพิ่มขึ้นจนสัมผัสได้… สายตาของเราดีขึ้น มองเห็นแม้กระทั่งวัตถุในความมืด…
ความสามารถในการรับรู้กลิ่นเพิ่มขึ้นมาก สามารถแยกแยะกลิ่นได้ซับซ้อนกว่าเดิม ช่วยให้เข้าใจอารมณ์แท้จริงและความคิดจากจิตใต้สำนึกของเป้าหมาย… เรามีพลังความสามารถสมกับเป็นผู้วิเศษเหมือนคนอื่นสักที…
พลังแรก ‘ความเกรงขาม’ ใช้ได้ทั้งเป้าหมายเดี่ยวและหมู่คณะ เป็นการสร้างความโกลาหลคล้ายกับขณะมังกรปรากฏตัวจนมนุษย์แตกตื่น ถัดมา ‘ก่อโรคประสาท’ สามารถระเบิดอารมณ์ของเป้าหมายให้ปะทุอย่างรุนแรง เป้าหมายจะอยู่ในภาวะโรคประสาท ต้องทุกข์ทรมานกับอาการทางจิต ในบางกรณีอาจถึงขั้นคลุ้มคลั่ง…
ถัดมา ‘พลังชี้นำทางจิต’ คอยชักนำเป้าหมายผ่านพฤติกรรมเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นภาษากายหรือคำพูด ทำให้อีกฝ่ายยอมทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว หรือชื่ออย่างแรงกล้าว่า นั่นคือความคิดจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง ถัดมา ‘พลังปลอบโยน’ เรียกในเชิงวิชาการว่า ‘บำบัดจิต’ ช่วยให้ผู้วิเศษใกล้คลุ้มคลั่งสงบสติลงและกลับสู่ห้วงอารมณ์ปรกติ มีโอกาสล้มเหลว แต่ยิ่งลำดับเพิ่มขึ้น โอกาสสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นตาม และยังสามารถใช้รักษาผู้ป่วยทางจิตเวชทั่วไป ให้กลับไปเข้าสังคมได้ตามเดิม…
ถัดมา ‘พลังอ่านใจ’ ต้องอาศัยสื่อกลางอย่างเทียนไขหรือน้ำมันสกัดช่วย มีฤทธิ์ทำให้เป้าหมายตกอยู่ในสภาวะกึ่งถูกสะกดจิต โดยระหว่างนั้น เราสามารถสื่อสารกับจิตใจส่วนลึกของอีกฝ่ายได้โดยตรง… ฟังดูคล้ายกับพลังของฮิลเบิร์ต·อลูคาร์ดเมื่อวันก่อน ตามปรกติแล้ว เป้าหมายจะไม่สามารถเล่าเรื่องเท็จได้ แต่เรามีพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลคอยคุ้มครอง…
ดังนั้นในอนาคต การจะใช้พลังนี้กับใคร ห้ามปักใจเชื่อเต็มร้อยอย่างเด็ดขาด ยังมีวิธีอีกมากในการเล็ดลอดจากการสอบสวน… ด้วย ‘พลังปลอบโยน’ และ ‘อ่านใจ’ ผนวกกับความรู้ด้านจิตวิทยาอีกเล็กน้อย เราสามารถประกอบอาชีพนักจิตวิทยาและเปิดคลินิกรักษาคนไข้ได้!
ออเดรย์อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี เธอเริ่มสัมผัสได้ว่า พลังพิเศษของตนเหมาะสมกับการถูกเรียกว่า ‘ผู้วิเศษ’ เสียที
เรากลายเป็นผู้วิเศษลำดับกลางแล้ว! เป็นการพัฒนาพลังอย่างก้าวกระโดด!
หญิงสาวลุกขึ้นยืน เดินยกชายกระโปรงไปรอบห้องพลางเต้นรำอย่างร่าเริง
ขณะเดียวกัน ออเดรย์พบว่านักจิตบำบัดยังขาดพลังในการโจมตีซึ่งหน้า
แต่เรามีเจ้านี่… หญิงสาวหยุดยืนหน้าโต๊ะทดลองและเปิดกล่องสีน้ำตาลเรียบง่าย
หน้ากากสีเงินนอนสงบนิ่งภายในกล่อง ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก ปกปิดได้เพียงครึ่งใบหน้าส่วนบน สิ่งนี้คือสมบัติวิเศษซึ่งเธอซื้อมาจากแฮงแมน
ออเดรย์หยิบมาวางบนมือพลางสังเกต
จากนั้น หญิงสาวลองถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปและจินตนาการรูปร่าง เหมือนกับการเขียนไดอารีบนห้วงมิติเหนือสายหมอก
หน้ากากสีเงินเริ่มยืดหดสลับกับกลิ้งไปมาบนฝ่ามือ ก่อนจะเปลี่ยนรูปทรงเป็นต่างหูสลักลวดลายประณีต ขนาดค่อนข้างใหญ่
“…เป็นสร้อยคอดีกว่า” ออเดรย์พึมพำ
ถัดมา เธอทดสอบพลังของสมบัติวิเศษชิ้นใหม่ทุกซอกมุม และไม่ผิดคาด ความพึงพอใจอันดับหนึ่งตกอยู่กับพลังในการแปลงโฉม
“น่าเสียดาย นอกจากพลังควบคุมไฟ สิ่งมีไม่มีความสามารถด้านโจมตีโดยตรง บางที เราคงต้องพกลูกโม่ดัดแปลงติดตัวสักกระบอก พร้อมด้วยกระสุนพิเศษอีกหลายชนิด…”
ออเดรย์ครุ่นคิดอย่างนึกเสียดาย
ถัดมา หญิงสาวสะกดอารมณ์และก้มหน้าพูดกับสมบัติวิเศษในมือ
“นับแต่นี้ไป เจ้าจะมีชื่อว่า ‘คำลวง’ เป็นคำลวงอันงดงาม~”
…
ณ ‘เมืองแห่งการให้’ บายัม เขตท่าเรือ
อาคารหมายเลข 48 ถนนมะนาวเปรี้ยว
โรมแรม ‘วายุคราม’
แม้ภายนอกจะมีสายลมกระโชกและฝนฟ้าคะนองโปรยปราย แต่เตาผิงภายในห้องพักสุดหรูกำลังแผ่ความอบอุ่นจนทุกคนมีความสุข
ไคลน์นั่งบนเก้าอี้ จ้องมองเดนิสกำลังจัดการบาดแผลบนแขนซ้ายอย่างเงียบงัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนำเศษเสื้อผ้าเก่าออกมาฉีกเป็นชิ้นเล็กและรัดกับท่อนแขนเสร็จ ชายหนุ่มซักถามเสียงเรียบ
“ ‘สมบัตินั่น’ หมายถึงอะไร”
อ้างอิงจากคำสั่งเสียของเดนิส พลเรือเอกโลหิต·เซนอล คิดวางหมากตลบหลังพลเรือโทธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดโดยมีสาเหตุมาจากสมบัติชิ้นหนึ่ง
ท่ามกลางเสียงลมพายุด้านนอกดังคลอเป็นพื้นหลัง เดนิสจิบ ‘แลงติร้อนแรง’ บนโต๊ะไม้มะฮอกกานี พลางหัวเราะแห้งด้วยอารมณ์โกรธเคืองปนเคียดแค้น
“สมองพวกมันคงถูกซอมบี้กินไปหมดแล้ว! ในการสำรวจครั้งล่าสุด พวกเราพบซากเรืออับปางลำหนึ่ง แม้สมบัติอื่นภายในเรือจะไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก แต่พวกเราพบกุญแจเหล็กสีดำสนิท ขนาดค่อนข้างใหญ่ มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ของมนุษย์ อยู่ในสภาพปราศจากสนิมโดยสิ้นเชิง! นายจินตนาการออกไหม? กุญแจแช่อยู่ในน้ำทะเลเป็นเวลานานโดยไม่ขึ้นสนิม!”
“อือ” ไคลน์ตอบห้วน
น่าตกใจตรงไหน? นี่คือโลกแห่งผู้วิเศษ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น…
จะบอกอะไรให้ บุคคลตรงหน้านายเคยคืนชีพจากหลุมศพมาแล้วหนึ่งครั้ง ดังนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องกุญแจไม่ขึ้นสนิม!
เดนิสชะงักงันครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดนานเจ็ดแปดวินาทีจึงค่อยเล่าต่อ
“คงมีคนทรยศภายในกลุ่มพวกเรา เพราะข่าวลือเรื่องกุญแจดอกดังกล่าวถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โจรสลัดจำนวนมากเชื่อว่านี่คือกุญแจเทพมรณาในตำนาน ใช้สำหรับเปิดขุมทรัพย์สุดท้ายของเทพมรณา ในตอนแรก ฉันคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก จึงลาพักร้อนเพื่อผ่อนคล้ายตัวเองในช่วงปีใหม่ แต่เหตุการณ์กลับทวีความซับซ้อนขึ้นทุกขณะ แม้กระทั่งพลเรือเอกโลหิตก็ยังทำตัวเหมือนโจรสลัดเสียสติเหล่านั้น! จนฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า บางที นี่อาจเป็นกุญแจมรณาตามตำนานก็เป็นได้ สุดยอดสมบัติล้ำค่าซึ่งสามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นทวยเทพ”
“งี่เง่า” ไคลน์พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสตร์ทำนายหรือความลับของทวยเทพ ไคลน์กล้าพูดได้เต็มปากว่า ตนมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ฉันนั้น มันจึงกล้าตีความนิยามของ ‘กุญแจมรณา’ ในแบบฉบับตัวเอง
ไคลน์เชื่อว่า ‘กุญแจ’ คือนามธรรม ไม่ใช่สมบัติจับต้องได้ เป็นสัญลักษณ์เรียกแทนวัตถุหรือบุคคล ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการเปิดแหล่งขุมทรัพย์สุดท้ายของเทพมรณา อาจต้องมีสายเลือดของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือไม่ก็ลูกหลานคนใดคนหนึ่งของเทพมรณาโดยตรง
เดนิสเงียบงันสักพัก ตามด้วยคำอุทาน
“กัปตันก็พูดแบบนี้ แถมยังมีสีหน้าเหมือนกับนาย… เธอเชื่อว่า กุญแจดอกดังกล่าวต้องเป็นสมบัติบรรพกาลในอดีตกาล และไม่ใช่ข้าวของเครื่องใช้สำหรับมนุษย์ ก่อนเกิดยุคสมัยมหาภัยพิบัติ โลกเราเต็มไปด้วยคนยักษ์ มังกร เอลฟ์ หมาป่าอสูร และสัตว์วิเศษอื่นๆ อีกหลายชนิด กุญแจดอกดังกล่าวบ่งชี้ไปถึงสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น”
หมาป่าอสูร…
ไคลน์หวนนึกถึงถ้อยคำ ‘เฟรเกีย’ เสียงเพรียกกรีดแทงสมองสมัยเลื่อนลำดับจากนักทำนายและตัวตลก โดยในภายหลัง มันทราบว่าเฟรเกียคือชื่อของราชาหมาป่าอสูร หนึ่งในแปดเทพบรรพกาล
สมบัติจากยุคสมัยที่สอง?
ชายหนุ่มยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว พลางกล่าวต่อไปอย่างสุขุม
ชายหนุ่มยังจำได้ว่า พลเรือเอกโลหิตและสมุนโจรสลัดของมัน คือกลุ่มโจรชั่วช้าอันดับหนึ่งในท้องทะเล พฤติกรรมในอดีตเต็มไปด้วยการนองเลือดและผิดศีลธรรม
“แจกแจงทุกวีรกรรมในอดีตของพลเรือเอกโลหิต รวมถึงของแม็ควิตี้·เหล็กกล้ากับลูกน้องมาให้หมด ฉันจะไปจำทั้งหมดได้ยังไง! ถ้าเป็นสาวสวยแบบกัปตันก็ว่าไปอย่าง!”
เดนิสกล่าวพลางผายมือออก
“ต…แต่ฉันยังพอจะจำวีรกรรมสำคัญหรือเหตุการณ์น่าประทับใจได้ เอ่อ… แล้วนายถามไปทำไม?”
ไคลน์บรรจงเผยรอยยิ้มเย็นๆ มุมปาก
มันพึมพำและกล่าวอย่างเสียงเรียบ
“ถ้ามีโอกาส ฉันจะล่าพวกมัน”
……………………