Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 510 : บิชอปผู้กลับมา

ราชันเร้นลับ 510 : บิชอปผู้กลับมา

ฟราโว·คอร์ท…

คลีฟส์ยังไม่ตอบหญิงสาวด้านในสำนักงานโทรเลขกลับไป เพียงหันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อรอการตัดสินใจของอีกฝ่าย

ในสายตาของนักผจญภัยมากประสบการณ์ กลุ่มคนเกินหนึ่งโหลกำลังหาทางกลับไปยังโมราขาวอย่างปลอดภัย เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นงานยากเต็มกลืนแล้ว จึงไม่สามารถ และไม่ควร เสียสมาธิไปกับภารกิจตามหาคนหาย

อย่างไรก็ตาม มันย่อมตระหนักว่าเสาหลักในปัจจุบันของคณะเดินทางคือเกอร์มันสแปร์โรว์และเดนิส·เพลิงพิโรธ ดังนั้น การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับพวกเขาเป็นหลัก

ไคลน์เงียบงันสักพัก ก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“เขามีลักษณะเป็นอย่างไร”

ชายหนุ่มมองว่า การรวบรวมข้อมูลอาจสร้างประโยชน์ได้ในอนาคต เบาะแสเพียงเล็กน้อยสามารถช่วยให้หลุดพ้นจากเกาะหมอกจางและลมพายุรุนแรงแห่งนี้ จึงหยั่งเชิงกลับไปพอเป็นพิธี เพราะไม่มีอะไรให้เสียหาย

ขณะซักถาม ไคลน์เตือนตัวเองมิให้ใจอ่อน ไม่อย่างนั้น ตนอาจเผลอไปขุดคุ้ยโดน ‘อันตรายซ่อนเร้น’ ของท่าเรือแบนชีเข้า

ด้วยสาเหตุดังกล่าว ไคลน์คอยต้องรักษาสมดุลระหว่างการสืบหาข้อมูล และการเพิกเฉยต่อสิ่งผิดปรกติ ห้ามเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งเด็ดขาด คล้ายกับกำลังเดินบนคานทรงตัว

สิ่งนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคต ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก การตัดสินใจทั้งหมดจึงเกิดจากพื้นฐานประสบการณ์ของไคลน์เพียงอย่างเดียว โดยความพลาดพลั้งสามารถเกิดขึ้นทุกเมื่อ

ประเด็นดังกล่าวทำให้ศีรษะของชายหนุ่มเริ่มปวดแปลบ สมองของมันประมวลผลรวดเร็วกว่าในยามปรกติหลายเท่า

ท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิทและสายหมอกเจือจาง ประตูของสำนักงานโทรเลขยังคงปิดและลงกลอนมิดชิด โดยมีเสียงเอื่อยของหญิงสาวเด็ดเล็ดลอดกลับมา

“เขาหน้าตาดีมาก มีดวงตาสองดวง หูสองใบ จมูกหนึ่ง และปากหนึ่ง”

นี่คือคำตอบ? ผู้หญิงคนนี้ยังปรกติดีจริงหรือ? และเหนือสิ่งอื่นใด ทำไมเธอถึงไม่รักษาประเพณีของชาวเมือง? ทำไมถึงกล้าตอบสนองต่อเสียงเคาะประตู!

เดนิสเกิดอยากจะพังประตูเข้าไปสำรวจสภาพภายในสำนักงานโทรเลขให้รู้แล้วรู้รอด

ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยกมือขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับกดหมวกและเดินไปยังอีกทางหนึ่ง

“วิหารวายุสลาตัน” ไคลน์เอ่ยชื่อปลายทางของตนสั้นกระชับ

มันไม่สนใจความผิดปรกติของหญิงสาวในสำนักงานโทรเลข เฉกเช่นการทำเป็นไม่สนใจความผิดปรกติของเจ้าของภัตตาคารมะนาวและแขกคนอื่นของร้าน

ลมพายุเริ่มซาลง สายหมอกก็จางลงมากเช่นกัน เมื่อเดินเข้าใกล้ไป แสงเทียนจากวิหารวายุสลาตันกำลังส่องลอดออกจากหน้าต่างชั้นบน จนดูคล้ายหอประภาคารท่ามกลางลมพายุไม่มีผิด

หลังจากไคลน์ใช้ ‘ออร่าสุริยัน’ อีกครั้ง ดอนน่าและคนอื่นๆ ต่างได้รับความกล้าหาญกลับคืนมา คล้ายกับการยื่นฟางลงไปช่วยคนกำลังจะจมน้ำ ทุกคนกำลังเร่งฝีเท้าอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางบนถนนอันปราศจากผู้คน

เพียงไม่นาน ดอนน่าและคนอื่นเดินมาหยุดยืนด้านนอกวิหารวายุสลาตัน แต่ประตูอยู่ในสภาพถูกปิดสนิทอย่างแน่นหนา ไม่มีช่องเล็ดลอดผ่านเข้าออก

ชายหนุ่มชำเลืองสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุบนประตู ก่อนจะใช้หลังมือกระแทกบานประตูไม้สามครั้ง

ก็อก! ก็อก! ก็อก!

เสียงของผู้ชาย เจือความหวาดระแวง ดังเล็ดลอดออกมาทางช่องว่างประตู

“ใคร?”

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์ไม่อ้อมค้อม

หลังจากได้ยินเสียง ชายหนุ่มมั่นใจหลายส่วนว่าอีกฝ่ายคือกัปตันไอร์แลนด์

“มาทำอะไร?” ไอร์แลนด์ยิงคำถามโดยยังไม่เปิดประตู

ไคลน์ยกไม้ค้ำพลางมอบคำตอบใจเย็น

“คุณช่วยจ่ายค่าชดเชยของผับฉลามขาวแทนผม”

ไอร์แลนด์ทั้งประหลาดใจและขบขัน พลางยืนยันได้ว่า อีกฝ่ายคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริง เพราะถ้าเป็นสัตว์ประหลาดชนิดอื่นจำแลงกายมา คงไม่มีทางทราบถึงความลับของคนทั้งสอง

อย่างไรก็ตาม ไอร์แลนด์ยังลังเลและไม่กล้าเปิดประตูไปอีกสักพัก จนกระทั่งได้ยินเสียงของคลีฟส์ เออร์ดี้ และดอนน่า จึงค่อยบอกให้ต้นเรือ·แฮร์ริสปลดล็อกกลอนประตูบานใหญ่

เสียงประตูไม้เสียดสีดังกังวาน ไคลน์เห็นไอร์แลนด์ในหมวกพับทรงทหารเรือ กำลังถือดาบตรงในมือข้างหนึ่ง และปืนคาบศิลาในมืออีกข้าง

“ในนี้มีอะไรผิดปรกติบ้างไหม” หลังจากกวาดสายตาหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มซักถาม

ไอร์แลนด์ขยับไปด้านข้างเพื่อหลบให้ดอนน่าและคนอื่นเดินผ่านเข้าไป ตามด้วยการชี้ไปทางโถงสวดมนต์ใหญ่

“คนรู้จักของผม นักบวชเจสซ์ เสียชีวิตด้านในโถงสวมมนต์ ในสภาพศีรษะแยกออกจากร่างกาย… บิชอปมิลเลอร์หายตัวไป รวมถึงนักบวชและคนงานอื่นๆ ของวิหารด้วย”

นักบวชเสียชีวิต บิชอปหายตัว และวิหารไม่มีใครอาศัยอยู่?

ไม่มีอะไรปรกติเลยสักอย่างเดียว…

ไคลน์ยืนถือนกหวีดของแดงเย็นเฉียบของมิสเตอร์อะซิก พลางวิเคราะห์สถานการณ์รอบตัวอย่างเยือกเย็น

แน่นอน ชายหนุ่มย่อมทราบว่า นักบวชและบิชอปไม่ใช่กำลังหลักของมุขมณฑลศาสนา ใต้วิหารจะต้องมีฐานลับของหน่วย ‘ทูตพิพากษา’ ซ่อนอยู่ ประกอบด้วยผู้วิเศษจำนวนหกถึงแปดคน และสมบัติปิดผนึกระดับ 3 อีกจำนวนหนึ่ง ต่อให้เป็นครึ่งเทพ ก็ใช่ว่าจะจัดการเก็บกวาดทุกคนได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่มีใครรู้ตัว

ขอเพียงพวกเขายื้อชีวิตและนำสมบัติปิดผนึกออกมาใช้ได้ทัน ปัญหาคงไม่ร้ายแรงเกินไปนัก… เช่นนั้นแล้ว หน่วยทูตพิพากษากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้?

จากประสบการณ์สมัยยังเป็นเหยี่ยวราตรี ไคลน์พอจะคาดเดาพฤติกรรมและแบบแผนของหน่วยพิเศษอื่นๆ ได้บ้าง

ระหว่างนั้น มันเดินตามไอร์แลนด์เข้าไปในโถงสวดมนต์ขนาดใหญ่ และตรวจดูศพของนักบวชเจสซ์อย่างละเอียด

เจสซ์ถูกฆ่าเหี้ยมโหด ศีรษะขาดออกจากร่างกายทั้งเป็น แตกต่างจากสัตว์ประหลาด ‘ศีรษะ’ ด้านนอก พวกมันยังมีหลอดอาหารติดกับหัว แต่ของเจสซ์กลับไม่มี

ท่ามกลางเนตรวิญญาณ ไคลน์มองไม่เห็นเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของนักบวชเจสซ์ การประกอบพิธีกรรมสื่อวิญญาณจึงไม่น่าจะประสบผลสำเร็จ

เจสซ์ต้องถูกฆ่าด้วยวิธีการพิเศษ หรือไม่ก็ถูกทำลายดวงวิญญาณทิ้งภายหลัง… แตกต่างจากพฤติกรรมของสัตว์ประหลาดด้านนอกค่อนข้างมาก…

มีใครบางคนรีบร้อนอยากให้เจสซ์ตาย?

ไคลน์เริ่มแตกประเด็นน่าสงสัย

ชายหนุ่มมองว่า การหายไปของดวงวิญญาณเจสซ์มีความเป็นได้สองสาเหตุ

ข้อแรก บางสิ่งในห้องใต้ดิน อาจเป็นสมบัติปิดผนึกมีสัญญาณชีพของโบสถ์ เกิดหลุดออกมาและพบกับเจสซ์เข้าพอดี โดยพลังของมันมีลักษณะทำลายดวงวิญญาณโดยตรง หลังจากนั้น เมื่อสมบัติปิดผนึกหลบหนีไปออกเพ่นพ่านด้านนอกวิหาร ทูตพิพากษาและบิชอปจึงผนึกกำลังกันตามล่าชนิดพลิกเกาะขึ้นมาสืบหาเบาะแส ส่วนคนรับใช้อาจถูกต้อนให้ลงไปหลบในห้องใต้ดิน โดยยังเหลือทูตพิพากษาอีกเล็กน้อยคอยคุ้มกัน

แต่เหตุผลข้อนี้ไม่ตอบโจทย์ว่า เพราะเหตุใดชาวเมืองส่วนใหญ่ถึงมือพฤติกรรมผิดแผก

ข้อสอง พิธีกรรมโบราณเกี่ยวกับการบูชา ‘เทพสภาพอากาศ’ ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในหมู่ชาวเมืองแบนชี ศีรษะสัตว์ประหลาดบินได้สอดคล้องกับรายละเอียดของพิธีกรรม ซึ่งว่าด้วยการแบ่งเลือดเนื้อของเหยื่อสังเวยให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงการนำกะโหลกศีรษะไว้กึ่งกลางบนแท่นบูชา

ด้วยเหตุผลบางประการ ชาวบ้านกลุ่มนี้ได้บุกเข้ามาฆ่าเจสซ์ถึงในโบสถ์ โดยถึงแม้จะชาวบ้านกลุ่มอื่นล้วนทราบความจริงทั้งหมด แต่ทุกคนเลือกจะนิ่งเงียบ

พวกมันคงบุกโจมตีฐานใต้ดินของทูตพิพากษาและเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ฝั่งชาวบ้านได้เปลี่ยนให้นักบวชและคนงานกลายเป็น ‘สัตว์รับใช้’ เหมือนกับตัวด้านนอก จากนั้นก็ปะทะกับทูตพิพากษาและบิชอป ผู้มีสมบัติปิดผนึกคอยสนับสนุน อย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ว่า กลุ่มนักบวชและคนงานอาจแค่หลบหนีลงไปในชั้นใต้ดินอย่างปลอดภัย และได้รับความคุ้มครองจากทูตพิพากษา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันหลังจากนั้น…

หากตัดสินจากสภาพศพของเจสซ์ ข้อสองมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า…

ในเวลาเช่นนี้ การลงไปสำรวจฐานทัพลับใต้ดินมีแต่จะได้รับอันตราย

เรื่องนี้ย่อมเข้าใจได้ พวกมันมิได้แสดงท่าเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะกลุ่มผู้วิเศษนอกกฎหมาย…

นอกจากนั้น กำลังรบของฝ่ายเราก็มีขีดจำกัดมาก…

ไคลน์จ้องศพนักบวชสักพัก ก่อนจะพบว่าตะกอนพลังค่อยๆ รวมตัวจนกลายเป็นผลึกอัญมณีสีน้ำเงิน

ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่อยากเป็นศัตรูกับโบสถ์วายุสลาตันอันเกรี้ยวกราดด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกล่าวกับไอร์แลนด์และต้นเรือ·แฮร์ริส

“พวกเรากลับไปขึ้นเรือกันก่อน”

ไคลน์โยนเหรียญทองทำนาย และได้รับคำตอบว่าด้านล่างไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น

มันไม่สนว่าฐานทัพลับข้างล่างจะมีทูตพิพากษาคอยคุ้มกันทั้งหมดกี่คน แต่เนื่องจากฐานดังกล่าวไม่เหมาะแก่การต่อสู้ยืดเยื้อหรือพักอาศัยเป็นเวลานาน ไคลน์จึงดีดเหรียญทำนายเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ตนจะได้เลือกเดินบนเส้นทางถูกต้อง

“ตกลง!” ไอร์แลนด์ไม่ลังเล มันซ่อนตัวอยู่ในนี้เป็นเวลานานเพื่อรอให้จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์มาถึง และนี่คือเวลาดังกล่าว

หากพวกมันกลับโมราขาวไปได้ บนเรีอลำนั้นจะมีปืนใหญ่และกะลาสีจำนวนมาก ย่อมทนต่อการบุกโจมตีได้เป็นอย่างดี

หลังจากนั่งพักเอาแรง คณะเดินทางถึงคราวเคลื่อนย้ายตำแหน่ง

เนื่องจากมีไอร์แลนด์และแฮร์ริสเพิ่มเข้ามา การอารักขาพลเรือนจึงทำได้ง่ายขึ้น ไคลน์เก็บนกหวีดทองแดงเข้ากระเป๋า เพราะไม่ต้องการควงเล่นเพื่อรนหาความตาย

“ควรแวะส่งโทรเลขไปหาสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันไหม? รายงานให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์บนเกาะแบนชี”

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไอร์แลนด์เสนอแนะอย่างรอบคอบ

หากใช้วิธีดังกล่าว ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายสักเดียวกัน แต่ถ้ายื้อเวลาไว้ได้สักพัก ความช่วยเหลือก็จะถูกส่งมาถึงในภายหลัง

ไคลน์ไม่คัดค้าน เพียงเดินนำท่ามกลางสายหมอกจางและกล่าวเสียงเรียบ

“สำนักงานโทรเลขอยู่ไม่ไกล”

ฟู่ว! เดนิสเพลิงพิโรธถอนหายใจผ่อนคลาย

แต่ทันใดนั้น หัวใจของมันพลันเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ

เดนิสเริ่มกังวลว่า หากโบสถ์วายุสลาตันส่งคนมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่าโจรสลัดคนดังอย่างตนมีบทบาทสำคัญช่วยให้ทุกคนพ้นจากวิกฤติ มันมองว่า ตนมีสิทธิ์ถูกขังไว้ในโมราขาวขณะแล่นกลางทะเล

จริงอยู่ เราอาจช่วยคนบริสุทธิ์ไว้มากจากเหตุการณ์คราวนี้ แต่ทูตพิพากษาคงมิได้สนใจข้อเท็จจริง…

แถมเรายังเป็นโจรสลัด…

เดนิสกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า ไว้เอาตัวรอดจากความเดือดร้อนตรงหน้าให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน

หลังจากเดินเท้าไปสักพัก ขณะสำนักงานโทรเลขปรากฏตัวในระยะสายตา สายตาของทุกคนพลันหันไปมองแสงสว่างสีเหลืองนวลท่ามกลางสายหมอกจางทันที

อีกฝ่ายคือชายวัยกลางคน ถือโคมไฟ

มันสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มของบิชอป ปักลวดลายสายลม สายฟ้า และคลื่นทะเล ศีรษะก้มต่ำเล็กน้อย ลมหายใจคล้ายกับกำลังเหนื่อยหอบ

ไอร์แลนด์จ้องมองพลางอุทาน

“บิชอปมิลเลอร์?”

ชายวัยกลางคนเงยหน้า และยกตะเกียงขึ้นมาในระดับสายตา

“ไอร์แลนด์?”

โดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใด ไคลน์รีบหลบทางให้ไอร์แลนด์เดินเข้าไปจัดการธุระแทน เนื่องจากชายหนุ่มไม่ต้องการเป็นจุดสนใจในสายตาโบสถ์วายุสลาตันอันเกรี้ยวกราด

เดนิสหดคอให้ตัวเตี้ยลง และอาศัยรูปร่างอ้วนท้วนของเออร์ดี้ช่วยบัง

“ท่านบิชอป ผมเห็นเจสซ์เสียชีวิตภายในวิหาร เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ไอร์แลนด์ไม่ใช่ไก่อ่อน มันซักถามโดยยังเว้นระยะห่าง

บิชอปมิลเลอร์ไอแห้งสองครั้ง

“ประเพณีเก่าแก่คืนชีพกลับมา ชาวเมืองซึ่งเป็นสมาชิกของลัทธิชั่วร้ายผู้มีเลือดสกปรกไหลเวียนอย่างเข้มข้น กำลังเตรียมสังเวยคนเป็นและแบ่งปันเลือดเนื้อซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม เจสซ์พบความผิดปรกติได้ก่อนใคร จึงถูกฆ่าปิดปากเป็นรายแรก มาถึงขั้นนี้ คงปิดบังไม่ได้แล้ว… พวกมันใช้พิธีกรรมเพื่อเปลี่ยนสภาพอากาศให้เลวร้ายและบุกโจมตีวิหาร แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพวกเราอย่างหมดรูป จึงรีบหนีขึ้นไปยังยอดเขาโดยมีทูตพิพากษาไล่ตามไป อย่างไรก็ตาม ฉันบาดเจ็บหนักในการต่อสู้ เมื่อตระหนักว่าสู้ต่อไปไม่ไหว จึงกะเผลกกลับมาตามลำพังอย่างเชื่องช้า”

ขณะเล่า แสงสว่างพลันวูบวาบมาจากจุดห่างไกล ราวกับบริเวณดังกล่าวกำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด

ด้วยความช่วยเหลือจากแสงสว่าง ไคลน์และคนอื่นเริ่มมองเห็นยอดเขาซึ่งมีสายหมอกเจือจางปกคลุม ท้องฟ้าด้านบนในจุดดังกล่าว มีเมฆฝนฟ้าคะนองกำลังก่อตัว

ฉากดังกล่าวช่วยยืนยันคำพูดของบิชอปมิลเลอร์ได้ในระดับหนึ่ง

ขณะไอร์แลนด์กำลังจะเดินเข้าไปเพื่อพยุงบิชอปสภาพร่อแร่ มุมสายตาของมันเหลือบเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเหรียญทองออกมาและบ่นพึมพำ

“ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย”

กิ้ง!

เหรียญทองลอยขึ้นฟ้าและตกลงบนฝ่ามืออย่างนุ่มนวล

ด้าน ‘หัว’ เท่ากับหงายขึ้น

ผลลัพธ์ออกมาเป็น ‘ใช่’ !

บิชอปหันมาจ้องไคลน์พร้อมกับเปลี่ยนดวงตาให้กลายเป็นสีแดงสว่าง

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset