เนื่องจากเริ่มเข้าใจอุปนิสัยของเดนิส ไคลน์จึงมิได้เอ่ยถามถึงรายละเอียดของตำนาน เพียงรอให้อีกฝ่ายปริปากออกมาเอง โดยนั่งรอบนเก้าอี้และจ้องมองอย่างใจเย็น
เดนิสส่ายหน้า
คนจำนวนมากหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาท่ามกลางสายหมอก… กองกระดูกปรากฏขึ้นบนชายหาดหรือยอดเขา…
ไคลน์หวนนึกถึง ‘ดินแดนเทพทอดทิ้ง’ ขึ้นมาทันที ตามคำอธิบายของเดอะซันน้อย ดินแดนดังกล่าวปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง มีเพียงสายฟ้าและความมืดมิดปกคลุม หากถูก ‘โอบกอด’ ด้วยความมืดอันเข้มข้นเมื่อใด เหตุการณ์ประหลาดจะเกิดขึ้นกับตัวทันที
เดนิสจ้องมองประภาคารอันโดดเด่นฉาบด้วยแสงของพระอาทิตย์ตกดิน พลางเล่าต่อไปอย่างฉะฉาน
“กล่าวกันว่า เมื่อราวสามร้อยปีก่อน สมัยกองทัพของโลเอ็นเพิ่งยกพลขึ้นบกมายึดครองเกาะแบนชี มีทหารราวห้าร้อยนายหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาหลังจากเหตุการณ์หมอกหนาทึบปกคลุมเกาะ ถัดมาไม่นาน กองกระดูกสีขาวจำนวนมากได้ปรากฏริมชายฝั่ง หรือบางครั้งก็บนภูเขา เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายหน จนกระทั่งโบสถ์วายุสลาตันทำการสร้างวิหารและส่งบิชอปมาเฝ้า ปัญหาดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้นอีก ถึงแม้นักประวัติศาสตร์จะถือว่ายุคล่าอาณานิคมเริ่มขึ้นหลังจากจักรพรรดิโรซายล์สร้างเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปใต้สำเร็จ… แต่ในความเป็นจริง เกาะเล็กเกาะน้อยได้ถูกอาณาจักรของทวีปเหนือเข้ายึดครองก่อนหน้านั้นนานแล้ว เพียงแต่มิบริการจัดการอย่างเป็นระบบสักเท่าไร จากการขุดข้นสุสาน ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้บอกให้พวกเราทราบว่า คนพื้นเมืองดั้งเดิมของเกาะเคยมีประเพณีกินคนมาก่อน เนื่องจากเกาะตั้งอยู่ในเขตสภาพอากาศแปรปรวน ภัยพิบัติทางธรรมชาติจึงสลับกันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว พายุ หรือหมอกหนา… ส่งผลให้คนพื้นเมืองประสบความสูญเสียอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อความอยู่รอด พวกเขาจึงเริ่มบูชา ‘เทพสภาพอากาศ’ โดยจะประกอบพิธีกรรมปีละสี่หน เนื้อหาของพิธีกรรมเกี่ยวกับการฆ่าเหยื่อสังเวย โดยสุ่มเลือกเหยื่อขึ้นมาจากกลุ่มสาวก จากนั้นก็จะแบ่งปันเลือดเนื้อให้ทุกคนกิน ปิดท้ายด้วยการวางกะโหลกศีรษะไว้กึ่งกลางแท่นบูชา อย่างไรก็ตาม ประเพณีดังกล่าวได้ถูกทดแทนด้วยพิธีกรรมวายุสลาตัน นับแต่นั้น ภาษาพื้นเมืองของเกาะแบนชีก็ค่อยๆ เลือนหายไป”
เทพสภาพอากาศ… เกาะในอาณานิคมซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีพิธีกรรมกินกันเอง…
ไคลน์ครุ่นคิดหาจุดเชื่อมโยง
เดนิสมองไปทางประตูและกล่าวโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“สืบเนื่องจากตำนานดังกล่าว เมืองท่าแบนชีจึงเกิดความเชื่อใหม่ขึ้นมาสองเรื่อง หนึ่ง ในค่ำคืนหมอกทึบและสภาพอากาศเลวร้าย ทุกคนจะต้องปิดประตูบ้านลงกลอนให้มิดชิดเสมอ ห้ามออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกเด็ดขาด และห้ามเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู สอง พวกเขาหลงใหลการกินเลือดแข็งของสัตว์มาก โดยเรียนรู้มาจากเผ่าเอลฟ์เร่ร่อนว่า การเติมเกลือลงไปจะทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อนอ่อนนุ่ม รสชาติของเลือดก้อนจะละมุนลิ้นเหนือคำบรรยาย แถมยังมีกลิ่นหอมจากเครื่องปรุงรสเผ็ดหลายชนิดของคนพื้นเมืองผสมผสานเข้าไป”
นี่มัน… ต้มเลือดไม่ใช่รึไง?
ไคลน์ยืนครุ่นคิดพลางขมวดคิ้ว
“เอลฟ์?”
ในทางสามัญสำนึกของโลกเก่า เอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์มังสวิรัติ มาดสง่างามและเป็นมิตรกับธรรมชาติ แล้วเหตุใดถึงได้ศึกษาเทคนิคการทำต้มเลือด…
“ถูกต้อง มีข่าวลือว่าเอลฟ์ชอบอาหารประเภทเลือดก้อน” เดนิสผายมือออกจากกัน “แต่น่าเสียดาย ปัจจุบันพวกเราคงไม่มีโอกาสได้พบเผ่าพันธุ์เชี่ยวชาญการประกอบอาหารนั่นอีกแล้ว”
เดอะซันน้อยเคยเล่าว่า เทพบรรพกาล—ราชาเอลฟ์ ซอนยาธริม มีอำนาจในขอบเขตของพายุ… หมายความว่า เผ่าเอลฟ์น่าจะอยู่บนเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ เป็นส่วนใหญ่… จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเอลฟ์จะหลงใหลการกินก้อนเลือดสุก… บางที พวกเขาอาจมิได้สุขุม แต่เป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียวและหัวรุนแรง…
ชักอยากเห็นเอลฟ์แล้วสิ…
ไคลน์เริ่มเบี่ยงเบนความสนใจกลับมายัง ‘ต้มเลือด’ อีกครั้ง
ไม่ได้กินนานแล้วสินะ…
ชายหนุ่มเกิดความอยากอาหารทันที
ทันใดนั้น เดนิสเสนอแนะ
“บนเกาะมีภัตตาคารมะนาว ได้ยินว่าต้มเลือดหมูของร้านมีรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ ไปลองกินกันสักหน่อยไหม?”
เดนิสรู้สึกว่า การอยู่ในห้องพักตามลำพังกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นเรื่องอันตราย เพราะตนไม่มีทางทราบเลยว่า สัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ตนนี้จะเสียสติขึ้นมาเมื่อไร
หากมีผู้คนพลุกพล่าน หมอนี่อาจสะกดความบ้าบิ่นของตัวเองไว้… โอ้พระองค์วายุสลาตัน! ได้โปรดดลบันดาลให้การเดินทางครั้งนี้จบลงเร็วๆ ด้วยเถิด!
เดนิสอธิษฐานอย่างมีความหวัง
ในฐานะโจรสลัดผู้ฝากชีวิตไว้กับทะเล มันมอบความศรัทธาให้เทพวายุสลาตันพอสมควร แต่มิได้นับถือศาสนาของโบสถ์
เมื่อได้ยินข้อเสนอแนะ ไคลน์ ผู้อยากกินต้มเลือดหมูเป็นทุนเดิม เริ่มกระตือรือร้นอยากแวะไปลิ้มลอง
อย่างไรก็ตาม ตำนานและประเพณีของคนพื้นเมืองแบนชีทำให้ชายหนุ่มเกิดความไม่สบายใจพอสมควร จึงหยิบเหรียญทองออกมาทำนายต่อหน้าเดนิส
ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีอันตรายแอบแฝง
หืม… ไคลน์จ้องเหรียญทองบนฝ่ามือตนอย่างไม่ละสายตาราวสามวินาที สีหน้ายังคงเผยความกังวลชัดเจน
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว เดนิสทราบทันทีว่า สัตว์ประหลาดตรงหน้าตน มีพลังอยู่ในขอบเขตการทำนาย
ต่อให้เราแอบหนีไป แต่ก็จะถูกหมอนี่แกะรอยจนพบตัวในภายหลัง…
เดนิส·เพลิงพิโรธเริ่มทำหน้าเศร้า
ขณะกำลังนั่งปรับอารมณ์ มันเห็นไคลน์ลุกพรวดขึ้นและเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ก่อนจะปิดประตู ไคลน์หันมาพูด
“จะลองหนีดูก็ได้นะ”
กล่าวจบ ไคลน์กระแทกประตูห้องน้ำปิดจนเกิดเสียงดังโครม
เดนิสกำหมัดสลับคลาย ก่อนจะเดินไปหยุดยืนหน้าประตูห้อง
อันตรายมักเกิดจากความไม่รู้เสมอ…
จนกว่าจะทราบว่าอีกฝ่ายมีพลังชนิดใดบ้าง โจรสลัดเจ้าของค่าหัวสามพันปอนด์ตัดสินใจไม่เสี่ยงขัดแย้งกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
อย่างน้อย หมอนั่นก็ยังมีด้านดีและไม่เคยทำร้ายเรา… เมื่อถึงบายัม มันคงยอมปล่อยเราเป็นอิสระ…
เดนิสเริ่มสวดภาวนาให้ความโชคดีบังเกิดขึ้นกับตน
ในห้องน้ำ
ไคลน์สะบัดกระดาษรูปคนและสร้างภาพลวงตาอันแนบเนียน ตามด้วยการหลบมุมห้อง เดินถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก
เมื่อนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ชายหนุ่มปลดลูกตุ้มวิญญาณจากข้อมือซ้าย จากนั้นก็เขียนข้อความทำนายลงบนกระดาษ :
“ท่าเรือแบนชีมีอันตรายซ่อนอยู่”
มันจัดท่านั่งและจ่อปลายลูกตุ้มให้ลอยเหนือแผ่นกระดาษเล็กน้อย ตามด้วยการพึมพำประโยคทำนายสักพัก จึงค่อยลืมตาขึ้นและเห็นจี้บุษราคัม กำลังหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกาเป็นวงกว้างและมีความเร็วสูงมาก!
หมายความว่า มีอันตรายกำลังรอไคลน์อยู่ภายในเมืองท่าแบนชี!
เป็นไปได้ยังไง… เมืองท่าแห่งนี้ตกอยู่ในอาณานิคมมานานกว่าสามร้อยปี แถมยังกลายเป็นเมืองท่าสำคัญในช่องทางการค้าสากลมานานนับร้อยปี ไม่เคยมีข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับภัยอันตรายเลยสักครั้ง…
หรือว่าโจรสลัดทรงพลังบางคนกำลังวางแผนปล้นเกาะ แล้วเราบังเอิญเข้ามาพัวพันพอดี? ไม่น่าใช่ ปืนใหญ่รอบเกาะไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับสักหน่อย…
ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ก่อนจะใช้พลังทำนายถามต่อไปว่า ตนจะได้รับอันตรายจากโจรสลัดหรือไม่
คำตอบระบุชัดเจนว่า ‘ไม่’
หืม… ชายหนุ่มเงียบงันสักพัก จึงค่อยใช้พลังวิญญาณหุ้มร่างและส่งตัวเองออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก
เมื่อกลับถึงโลกความจริง ไคลน์กดปุ่มกลไกชักโครกจนเกิดเสียง เก็บกระดาษรูปคนกลับเข้ากระเป๋า และเดินไปยังอ่างล้างหน้าเพื่อเปิดให้น้ำไหลผ่านฝ่ามือ
ภายในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มชั่งน้ำหนักหาข้อดีข้อเสีย จนกระทั่งตัดสินใจว่าตนควรซ่อนตัวให้พ้นจากอันตรายไปก่อน
ไคลน์ดึงกระดาษทิชชูเช็ดฝ่ามือ ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำออกไป และเห็นเดนิสยังคงนั่งในห้องนั่งเล่นเช่นเดิม
ระวังตัวจนผิดวิสัยโจรสลัด… อาจเพราะลูกน้องของพลเรือโทธารน้ำแข็งส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัยในคราบโจรสลัด ความคิดอ่านจึงค่อนข้างรอบคอบ…
ไคลน์มองตอบกลับไปและกล่าวเสียงเรียบ
“ไปห้องอาหารของบัตรชั้นหนึ่ง”
“…ตกลง” เดนิสย่อมไม่ทราบว่าทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงเปลี่ยนใจกลางคัน แต่มันก็ไม่ต้องการมีปากเสียง
…
ขณะเดินบนทางลาดสำหรับลงเรือ หัวหน้าบอดี้การ์ดคลีฟส์ พูดกับดอนน่าและคนอื่น
“พวกคุณไปภัตตาคารมะนาวก่อนได้เลย ผมมีบางเรื่องต้องปรึกษากับกัปตันไอร์แลนด์ แล้วจะรีบตามไปสมทบ”
“ตกลง” เออร์ดี้·แบรนช์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้เหนือความคาดหมายขนาดนั้น
คลีฟส์เดินเป็นระยะทางครึ่งลำเรือจนกระทั่งได้พบไอร์แลนด์ ผู้เหน็บดาบยาวไว้ข้างเอวเสมอ
“ผมจะแวะไปหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์”
คลีฟส์กล่าวพลางมองไปยังเขตห้องพักของผู้โดยสารบัตรชั้นหนึ่ง
ไอร์แลนด์ชะงักงัน ยังคงสับสนว่า เหตุใดอีกฝ่ายถึงโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้
จะไปเยี่ยมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ก็ไม่เห็นต้องแวะมาบอกเราสักหน่อย…
ไอร์แลนด์ยืนครุ่นคิดสักพัก จึงค่อยเข้าใจความหมายแฝงของคลีฟส์
เขาพยายามบอกใบ้ว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นกับตน สาเหตุจะมาจากการแวะไปเยี่ยมเกอร์มัน·สแปร์โรว์…
แต่ถ้าคลีฟส์สบายดี จะแปลว่าสมมติฐานของเขาผิด และไม่มีความจำเป็นต้องรไปรบกวนเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีก…
ไอร์แลนด์หันไปพูดกับต้นเรือด้านข้าง
“รอสิบห้านาที”
…
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
ขณะไคลน์และเดนิสกำลังเตรียมตัวเพื่อจะเดินไปยังห้องอาหาร พวกมันได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะ
เดนิสรีบเดินไปเปิดประตูหลังจากได้รับสัญญาณมือ
ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครนอกจากคลีฟส์ มันจ้องหน้าเดนิสหัวจรดเท้าและหันไปถามไคลน์
“เดนิส·เพลิงพิโรธ?”
ย้อนกลับไปขณะมื้ออาหารกลางวัน คลีฟส์รู้สึกคุ้นเคยกับเพื่อนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างน่าประหลาด แต่ก็มิอาจเชื่อมโยงไปถึงรูปภาพบนใบปิดค่าหัวได้ทันที จนกระทั่งดอนน่าพูดถึงเดนิสขึ้นมา คลีฟส์จึงเริ่มมั่นใจว่าบุคคลทั้งสองคล้ายคลึงกันหลายจุด
นึกแล้วเชียว…
ขณะไคลน์เตรียมพยักหน้ายืนยัน เดนิสรีบเดินเข้าไปหาคลีฟส์พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ฮะฮะ! สหาย! นายจำคนผิดแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะมีหน้าตาคล้ายกับโจรสลัดค่าหัวสามพันปอนด์ผู้โด่งดังคนนั้น แต่ฉันไม่ใช่อย่างแน่นอนเขา มีหลายคนชอบทักผิด—”
ไคลน์ยกมืออุดปากเดนิส ขณะเดียวกันก็เกือบหลุดขำจนเสียภาพลักษณ์เงียบขรึม
ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“ใช่”
เฮ่อ… ชื่อเสียงของเรา… จบสิ้นแล้ว…
เดนิสรำพันพลางแหงนหน้ามองเพดาน
“คุณคิดจะทำอะไร” คลีฟส์ถอนหายใจสั้นและถามตรงไปตรงมา
ไคลน์เชิดคางชี้ไปทางเดนิส
“คุมความประพฤติเขา”
“คุมความประพฤติ?” คลีฟส์เผยสีหน้าสับสน ชัดเจนว่ามันไม่เข้าใจความหมายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
หัดวิเคราะห์ด้วยตัวเองบ้าง… ลองใช้สมองไตร่ตรองและอนุมานสักนิด เรื่องแค่นี้ไม่ควรต้องเสียเวลาอธิบายเลย…
แถมมันยังไม่เข้ากับบุคลิกของฉัน!
ยืนจ้องหน้าคลีฟส์ ไคลน์กล่าวเสียงเรียบ
“เมื่อเห็นเขาเดินขึ้นมาจากท่าเรือดาเมียร์ ผมบังเอิญจดจำใบหน้าได้ จึงตัดสินใจคุมประพฤติเพื่อมิให้เขาทำเรื่องแย่ๆ บนเรือ”
คลีฟส์จ้องหน้าไคลน์สามวินาทีเต็ม ก่อนจะผงกหัวรับ
“ไม่ติดปัญหาอะไรใช่ไหม? ต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า?”
“ไม่” ไคลน์ตอบเย็นชา
คลีฟส์เหลือบมองเดนิสผู้มีสีหน้าหดหู่ ก่อนจะก้าวถอยหลังสองครั้ง
“ขอตัวก่อน”
ขณะกำลังจะเดินจากไป มันได้ยินเสียงนักผจญภัยหนุ่ม เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตะโกนดังตามไล่หลัง
“เสร็จแล้วให้รีบกลับเรือ เมืองท่าแบนชีมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล”
…
ณ ภัตตาคารมะนาว หลังจากดอนน่าวางผ้าเช็ดปาก เด็กหญิงมองเห็นลุงคลีฟส์เดินขึ้นมาจากชั้นล่างอย่างรีบร้อน
ทันใดนั้น สภาพอากาศรอบท่าเรือเกิดผันผวนกะทันหัน สายลมกระโชกพัดผ่านจนต้นไม้ใหญ่โยกเอน
สมกับฉายา ‘พิพิธภัณฑ์สภาพอากาศ’ …
ดอนน่าสำรวจวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างสนอกสนใจ
จากนั้น เธอเห็นชายคนหนึ่ง สวมผ้าคลุมสีดำและถือตะเกียงไว้ในมือ
คล้ายกับตระหนักว่าถูกใครบางคนจ้องมอง ชายปริศนารีบหันหน้าขึ้นมายังชั้นสองของภัตตาคารทันที
ดอนน่าเริ่มเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน บริเวณซึ่งควรจะเป็นส่วนหัวกลับว่างเปล่า เผยให้เห็นเพียงต้นคอชุ่มเลือดแดงสดอย่างน่าสะอิดสะเอียน
ชายคนดังกล่าวเพียงดึงผ้าคลุมขึ้นมาปิดศีรษะและเดินจากไป
……………………