Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 497 : กำแพงค่าหัว

ราชันเร้นลับ 497 : กำแพงค่าหัว

หลังจากบทสนทนาเกี่ยวกับตำนานสมบัติอันลึกลับและชวนฝันจบลง พ่อครัวได้ย่างเนื้อติดมันส่วนท้องของเมอร์ล็อกเสร็จพอดี

เมื่อผ่านการย่าง เนื้อท้องได้กลายเป็นสีขาวนุ่มคล้ายปุยหิมะ มีจุดไหม้เกรียมสีดำเล็กน้อยประปรายตามขอบ บางส่วนถูกฉาบไว้ด้วยชั้นเครื่องเทศสีน้ำตาล ช่วยให้ดูชุ่มฉ่ำและน่ากินมากยิ่งขึ้น

การบรรจงทาเครื่องเทศทีละนิดด้วยแปรงทำให้รสชาติซึมเข้าไปในเนื้อจนเข้มข้น แถมยังช่วยให้มีรูปลักษณ์น่ากินเป็นอย่างมาก

“เป็นการย่างปลาในแบบเดซีย์ แตกต่างจากปลาย่างทั่วไป” ไอร์แลนด์ชี้ไปทางภาชนะกระเบื้องเคลือบในมือพ่อครัว

ดอนน่าถือมีดส้อมพลางกล่าวด้วยสีหน้ากระตือรือร้น

“ความจริงแล้ว หนูชอบกินปลาย่างน้ำผึ้งมากกว่า… แต่แบบนี้ก็น่าอร่อยเหมือนกัน!”

ปลาย่างน้ำผึ้ง… ต้องใช้น้ำผึ้งมากขนาดไหนกัน…? ถ้ามีโอกาส เราก็อยากลองชิมบ้างสักครั้ง รสชาติคงอร่อยไม่หยอก…

ไคลน์จินตนาการเรื่อยเปื่อย

เมื่อมีพ่อครัว ทุกคนก็ไม่ต้องเดือดร้อนเดินไปตักหั่นกันเอง เพียงนั่งมองพ่อครัวมืออาชีพแบ่งชิ้นปลาอย่างชำนาญ จัดจาน โรยเครื่องปรุงรสเพิ่มเล็กน้อย และยกมาเสิร์ฟตรงหน้า

ไคลน์พิถีพิถันกับการกินอาหารคุณภาพสูงมาก มันไม่รีบร้อนจิ้มปลาเข้าปากทันที แต่เลือกกลั้วคอด้วยชาดำซึ่งมีรสเปรี้ยวเล็ก ๆ เพื่อล้างช่องปากให้สะอาด

หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ไคลน์ใช้ส้อมจิ้มเนื้อท้องเมอร์ล็อกย่างใส่ปากหนึ่งคำ

แทบจะในพริบตา ชายหนุ่มถูกกระตุ้นด้วยรสชาติอันนุ่มละมุนของยี่หร่า โหระพา และเครื่องเทศชนิดอื่น ถือเป็นการเปิดต่อมรับรสได้อย่างดีเยี่ยม

ถัดมา น้ำมันเนื้อปลาได้ผสานเข้ากับเกลือทะเลซึ่งช่วยดึงรสชาติ ตัดด้วยความเปรี้ยวและหวานจากมะนาว รสชาติอันเข้มข้นจากทุกองค์ประกอบได้ระเบิดพร้อมกันภายในช่องปากจนน้ำลายแตกฟอง

ยิ่งได้เคี้ยว แรงต่อต้านจากผิวเนื้อปลาก็ยิ่งถูกทำลายไปทีละชั้น จนกระทั่งไขมันอันอ่อนนุ่มกระทบกับฟันกรามและผสมผสานกลายเป็นรสชาติอันสมบูรณ์แบบติดปลายหวาน

หลังจากกลืนเนื้อเมอร์ล็อกคำสุดท้ายลงคอ ไคลน์นึกทบทวนคำพูดยอดนิยมของนักชิมอาหารสมัยเคยดูรายการทีวีของโลกเก่า และเลือกใช้ถ้อยคำให้สอดคล้องกับรสชาติของเนื้อปลาย่างเมื่อครู่

“รสชาติถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้นอย่างกลมกล่อมและมีเอกลักษณ์ชัดเจน ยอดเยี่ยมมาก!”

“ฮะฮะ! คำพูดของคุณฟังดูเหมือนนักชิมอาหารมืออาชีพเลยนะ!” ไอร์แลนด์ติดตลก

ดอนน่าโบกส้อมพลางพูดเสริม

“คุณลุงน่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับการชิมอาหารในภัตตาคารแต่ละแห่งลงหนังสือพิมพ์นะคะ!”

…ทำไมเราถึงไม่เคยคิดเรื่องนี้!

นี่มันงานในฝันเลยไม่ใช่หรือ กินอาหารได้มากตามต้องการแถมยังร่ำรวยไปพร้อมกัน… แต่ปัญหาคือ ตัวตลกอ้วนกลมคงไม่คล่องแคล่วสักเท่าไรกระมัง… หรือจะใช้เทคนิคกินเข้าไปแล้วแอบคายออกอันโด่งดังจากโลกเก่า?

เสียของฉิบหาย!

ไคลน์เก็บคำแนะนำของดอนน่าไปคิดอย่างเอาจริงเอาจัง

“แด่ค่ำคืนอันงดงาม!”

เมื่ออาหารบนโต๊ะเหลือไม่มาก ไอร์แลนด์นำไวน์เลือดโซเนียขวดใหม่มารินใส่แก้วและกล่าวนำอวยพรด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ไคลน์และคนอื่น ๆ พูดตามอย่างอารมณ์ดี

“แด่ค่ำคืนอันงดงาม”

ทุกคนจัดการของเหลวในแก้ตัวเองจนเกลี้ยงในคราวเดียว ก่อนจะวางแก้วลงพลางจ้องมองลูกเรือทำความสะอาดโต๊ะอาหารและเก็บกวาดบริเวณโดยรอบ

ท่ามกลางสายลมเย็นชุ่มฉ่ำยามค่ำคืน การสนทนายังคงดำเนินต่อไปในหัวข้อตำนานต่าง ๆ ของท้องทะเล โดยส่วนมากมักเป็นเรื่องของนางเงือกซึ่งดอนน่าสนใจเป็นพิเศษ

คลีฟส์เล่าให้เด็กหญิงฟังว่า ในบางตำนาน นางเงือกจะถูกเรียกว่า ‘ไซเรน’ มักใช้เสียงร้องในการดึงดูดมนุษย์เพื่อล่าเหยื่อ หาใช่เพื่อความสุนทรีย์ นอกจากนางเงือกจะพบได้ในทะเลลึกใกล้กับหมู่เกาะการ์กัส พวกหล่อนยังเคยถูกพบได้ในเขตนอกเส้นทางการเดินเรือปรกติ แต่ต้องเข้าไปลึกมาก ซึ่งบริเวณดังกล่าวมักเต็มไปด้วยอันตราย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดมาจากปากโจรสลัดขี้เมา โดยไม่มีใครยอมเล่าว่าพวกมันรอดพ้นมาจากเสียงร้องล่ามนุษย์ของนางเงือกได้อย่างไร ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยังน่าคลางแคลง

แต่เรากลับคิดว่านั่นเป็นไปได้… ไคลน์จดบันทึกใจความสำคัญของบทสนทนา

“ดอนน่า แดนตัน ถึงเวลากลับห้องพักกันแล้วนะคะ พรุ่งนี้คุณหนูต้องตื่นแต่เช้าเพื่อร่วมโต๊ะอาหารพร้อมกับคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง” เซซิลกล่าวพลางแหงนมองดวงจันทร์

“ค่ะ” ดอนน่าลุกยืนอย่างไม่เต็มใจนัก

แดนตันรีบโพล่งถาม

“ผ…ผมจะเป็นนักผจญภัยได้ไหมครับ!”

ห้วงความคิดของเด็กชายยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวแสนมหัศจรรย์ของตำนานบนท้องทะเล

คลีฟส์เดินเข้าไปใกล้และตบบ่า

“ก่อนจะถามคำถามนี้ คุณหนูต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่ต่ำกว่าห้าปี ผมคิดว่าคุณผู้ชายน่าจะช่วยหาครูฝึกให้ได้นะครับ”

“ตกลงครับ!” ดวงตาแดนตันพลันสุกสว่างขณะพยักหน้ารับอย่างมีชีวิตชีวา

แหงสิ… หลังจากห้าปี แดนตันในวัยหนุ่มคงเลิกอยากเป็นนักผจญภัยสุดอันตรายผู้พร้อมจมก้มทะเลได้ทุกเมื่อ… คลีฟส์แก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่ปฏิเสธด้วยท่าทีแข็งกร้าว แต่เลือกให้เวลาช่วยบรรเทาความสนใจของเด็กแทน วิธีนี้จะไม่ทำให้เด็กมีนิสัยต่อต้าน… และเหนือสิ่งอื่นใด การฝึกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้ย่อมไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม…

ไคลน์สอดมือสองข้างเข้าไปในกระเป๋าพลางชมเชยอดีตนักผจญภัยในใจ

ขณะเดินกลับห้องพัก คลีฟส์แอบยื่นธนบัตรห้าปอนด์ให้ไคลน์จำนวนสองใบ

“ส่วนแบ่งของคุณ”

คลีฟส์เพิ่งได้รับเงินจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ค่าศพเมอร์ล็อกมาจากไอร์แลนด์

“แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย…” ไคลน์ปฏิเสธ

คลีฟส์จ้องด้วยดวงตาสีฟ้าซีด

“คุณทำให้เซซิลมีอิสระโดยการช่วยดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดี”

ดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดี? นั่นคืองานหรือ…

ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจกับส่วนแบ่งอันไม่คาดฝัน แต่สุดท้ายก็เลือกรับเงินไว้พร้อมกับวาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกลางหน้าอก

“ใจกว้างผิดคาด ขอบคุณมาก”

ชายหนุ่มไม่คิดปฏิเสธให้ยืดเยื้อ เนื่องจาก ในสายตาอดีตนักผจญภัยอย่างคลีฟส์ หากไม่ยอมรับเงินสิบปอนด์แต่โดยดี จะหมายความว่าตนต้องการมากกว่านั้น และพร้อมลงมือทำร้ายได้ทุกเมื่อ เพราะในบรรดาผู้ประกาศตัวว่าเป็นนักผจญภัย คลีฟส์ย่อมเคยพบเจอคนเสียสติมานับไม่ถ้วน

เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเงินใส่กระเป๋าเสื้อ คลีฟส์เบือนหน้าไปทางอื่น

“นี่เป็นกฎของท้องทะเล”

โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม มันเดินตามเซซิล ดอนน่า และแดนตันเข้าไปในห้องพัก

ถ้างานเล็กน้อยเช่นนี้ทำเงินให้เราได้มากถึงสิบปอนด์ทุกครั้ง เส้นทางการเป็นนักสืบของเราคงโรยด้วยกลีบกุหลาบไปนานแล้ว…

ไคลน์จิกกัดติดตลกพลางแหงนหน้ามองพระจันทร์สีแดงบนท้องฟ้า

แสงของจันทรายามราตรียังคงสว่างไสวและอ่อนโยนดังเช่นทุกที

ตำนานแห่งท้องทะเล… สัตว์ประหลาดนานาชนิด… เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นอายของนักผจญภัยขึ้นมาบ้างแล้วสิ…

ไคลน์หันหลังกลับและเดินออกไปยังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ปล่อยให้ร่างกายถูกแสงจันทร์สีแดงอาบท่วม พลางเชยชมคลื่นทะเลสาดปะทะกับท้องเรือจนเกิดเสียงซ่า

ความเศร้าและหดหู่จากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เริ่มบรรเทาลงจากตอนแรกเล็กน้อย

มาถึงจุดนี้ ไคลน์นึกอยากร้องเพลง แต่หลังจากพยายามพะงาบปากงับคำ มันกลับตระหนักว่าตนจดจำเนื้อเพลงสมัยใหม่อันสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เลย

คงร้องออกไปว่า ‘โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส’ ไม่ได้สินะ… เส้นทางนักปราชญ์ของจักรพรรดิช่างเหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้เหลือเกิน ไว้มีเวลาว่าง คงต้องหาโอกาสอ่านบทกลอนของรุ่นพี่สักหน่อย จะได้ไม่ทำตัวเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง…

ไคลน์แหงนมองพระจันทร์สีแดงพลางถอนหายใจยาว

“ช่างเป็นค่ำคืนอันงดงาม”

หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันอยู่พักใหญ่ ทีมสำรวจก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเงินพิสุทธิ์โดยสวัสดิภาพ

แต่หลังจากได้เห็นร่องบนกำแพงเมืองมีวัชพืชเกาะหนาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนออกเดินทาง เดอร์ริคพลันยืนผงะตัวแข็งทื่อ

นานจนรู้สึกเหมือนกับผ่านไปหลายปี…

ยืนเยื้องถัดไปจากเด็กหนุ่ม รูม่านตาของนักล่าปีศาจโคลินพลันหดลีบ มันรีบเลื่อนมือขวาขึ้นมาแตะขมับด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ทางด้านสมาชิกคนอื่นกำลังแสดงสีหน้ายินดีปรีดาเมื่อได้กลับบ้านอีกครั้ง

หลังจากภารกิจสำรวจแสนอันตรายจบลง ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่าการได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยอีกแล้ว

จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ดวงตาโคลินเริ่มกลับเป็นปรกติ ก่อนจะชำเลืองไปยังด้านข้างในแนวเฉียงของตน

ณ กรุงเบ็คลันด์ บ้านตระกูลไวท์

หลังจากครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินรวบรวมความกล้าเพื่อถามกับพ่อและแม่ด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ

“หากข้าต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของตระกูลผีดูดเลือด ควรไปปรึกษาใครดี?”

ถ้าเราถามเกี่ยวกับเมืองเงินพิสุทธิ์โดยตรง คงน่าสงสัยเกินไปและได้กลายเป็นเด็กมีปัญหาอีกแน่ เพื่อเก็บภารกิจของท่านบรรพชนไว้เป็นความลับ มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น…

ไม่ต้องกังวล เราหลงใหลประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดเป็นทุนเดิมแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี พฤติกรรมของเรานับว่าสมเหตุสมผล… แผนการดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบ!

เอ็มลินชมเชยตัวเองในใจ

แวมไพร์หนุ่มมีรูปโฉมคล้ายคลึงบิดาในหลายด้าน แถมยังสวมแว่นตากรอบทองเพื่อเสริมบรรยากาศน่าเกรงขาม

ทันใดนั้น สุภาพบุรุษรูปงามผู้มีใบรับรองทางการแพทย์ในสาขาเวชภัณฑ์ วางหนังสือ ‘กายวิภาคศาสตร์’ เล่มหนาลงบนโต๊ะพลางขยับกรอบแว่น

“ไม่มีใครในกรุงเบ็คลันด์เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์มากไปกว่าลอร์ดนีบาส”

…ถ้าข้ากล้าไปหาลอร์ดนีบาส คงไม่มัวมาถามพ่อกับแม่ให้เสียเวลา…

เอ็มลินหวนนึกถึงคำพูดของมิสเตอร์ฟูล : ตนคือผู้ถูกเลือกให้แบกรับชะตากรรมของตระกูลภายในเงามืด ห้ามเปิดเผยตัวตนโดยเด็ดขาด และการถูกเข้าใจผิดคือของคู่กัน

เอ็มลินซักไซ้

“นอกจากลอร์ดนีบาส? ท่านมักจำศีลอยู่ในห้องใต้ดินเสมอ ข้าไม่ต้องการรบกวนในเรื่องเล็กน้อย”

บิดาของเอ็มลินตั้งปกชุดนอนตัวหนาพลางทำสีหน้าครุ่นคิด

“เวย์แมนดี้ เขามักคิดว่าตัวเองเป็นนักประวัติศาสตร์มือฉมัง”

เอ็มลินถอนหายใจยาวพลางอมยิ้ม

“ข้าจะไปเยี่ยมเขา”

ปู๊น!

เสียงหวูดของโมราขาวดังก้องกังวานขณะแล่นจอดเทียบในเมืองท่าดาเมียร์

ระหว่างนี้จะเป็นช่วงเวลาเติมเสบียงและน้ำสะอาด จากนั้นจึงออกเดินทางอีกครั้งในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้

หลังจากล่าเมอร์ล็อก ไคลน์ใช้ชีวิตค่อนข้างน่าเบื่อตลอดสองวันเต็ม ฉากของท้องทะเลกลายเป็นสิ่งเอียนสายตา ชายหนุ่มจึงอยากแวะเข้าไปในผับประจำเมืองท่าโดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลของนางเงือกเพิ่มเติม

แต่ถ้ามีโอกาสเดินสวนกับโจรสลัดเลวระยำสักคน เราก็ไม่ลังเลจะสอนบทเรียนให้กับมันสักเรื่องสองเรื่อง ยุบพองหิวโหยกำลังว่างหนึ่งตำแหน่งพอดี…

หน้าผากไคลน์เริ่มผุดเหงื่อเม็ดใหญ่ เพราะมันพกพาสมบัติวิเศษติดตัวลงจากโมราขาวในสภาพเต็มอัตราศึก

ระหว่างทาง ชายหนุ่มได้พบกับคลีฟส์ ดอนน่า และคนอื่น โดยคณะเดินทางกำลังมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารหรูประจำเมืองท่าเพื่อลิ้มรสเนื้อหมักเกลือแสนโด่งดังของดาเมียร์

ดอนน่าและแดนตันแอบทักทายคุณลุงนักผจญภัยโดยไม่ให้พ่อกับแม่รู้ตัว พลางชะเง้อมองด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปไหน

ไคลน์ยิ้มตอบ ก่อนจะตั้งปกเสื้อขึ้นและเดินตามป้ายตรงไปยังผับประจำเมืองท่า

ปลาบินและไวน์… ชื่อตรงไปตรงมาดี…

ชายหนุ่มมองไปยังป้ายประกาศแผ่นใหญ่และพบว่ามีกำแพงสำหรับแปะใบค่าหัวโจรสลัดโดยเฉพาะ

สูงสุดคือแปดแสนปอนด์ เป็นของราชาห้าห้วงสมุทร ต่ำสุดประมาณร้อยกว่าปอนด์ เป็นของกัปตันเรือโจรสลัดปลายแถว ใบค่าหัวถูกเรียกตามจำนวนเงินจากมากไปน้อย

แม้แต่ในทะเล เงินก็ยังสำคัญ…

ไคลน์ยืนจ้องกำแพงผืนดังกล่าวอยู่พักใหญ่

ผ่านไปสักพัก มันเบือนหน้าหนีพร้อมกับผลักประตูผับเปิดเข้าไป แต่ต้องก็พบกับบรรยากาศเงียบงันจนผิดคาด ปราศจากเสียงอึกทึกซึ่งควรจะเป็นเอกลักษณ์ของผับ

เกิดอะไรขึ้น?

ไคลน์กวาดสายตามอง และพบกับกัปตันไอร์แลนด์ในโค้ทสีแดงเข้มกำลังนั่งตรงเคาน์เตอร์ รวมถึงยังได้พบชายแปลกหน้าตัวใหญ่กึ่งกลางผับสองคน กำลังหันหน้าเข้าหากัน

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset