หลังจากย่างกรายขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ขณะเตรียมเดินเข้าไปในเขตห้องพัก จากมุมสายตา ไคลน์เหลือบเห็นร่างของบุคคลผู้หนึ่งกำลังเดินแหวกฝูงชนเข้ามาใกล้ตน
ชายหนุ่มมองข้ามไหล่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงจิตสังหารไว้อย่างเจือจาง มันมองเห็นใบหน้าของชายวัยประมาณสามสิบ สวมหมวกทรงสูงสีดำ และเสื้อกันลมสีเดียวกัน
ใบหน้าแห้งเหี่ยว ลักษณะคล้ายคนเถื่อน ร่างกายกำยำแต่หุ่นสันทัด ดวงตาสีฟ้าซีดของมันไม่ปรากฏความเป็นมิตร แต่แฝงประสบการณ์อันโชกโชนไว้เต็มเปี่ยม
เคยเห็นจากไหนนะ… อ้อ… นึกออกแล้ว เราหันไปมองเขาเมื่อวานขณะกำลังต่อแถวซื้อบัตรโดยสาร และเข้าใจว่าเป็นนักผจญภัยเหมือนกัน… กล้าสวมเสื้อกันลมในทะเลช่วงเดือนมกราคมเชียว แข็งแรงเอาเรื่อง….
ไคลน์ยกไม้ค้ำขึ้นและชี้ไปในแนวทแยงมุมพลางเผยรอยยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์ เจอกันอีกแล้วนะครับ”
ท่าทีประหนึ่งกำลังทักทายเพื่อนเก่า
ชายใบหน้าดุดันไม่เผยความประหลาดใจ เพียงหยุดเดินและพยักหน้าเคร่งขรึม
“คลีฟส์ อดีตนักผจญภัย สหาย คุณก็เหมือนกันใช่ไหม”
“ผมคิดว่าคุณคงทราบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์ยิ้ม
มันไม่เปลี่ยนมาถือไม้ค้ำด้วยมือขวา เนื่องจากไม่มีเจตนาจะจับมือกับคลีฟส์
“ผมพอจะเดาออก” คลีฟส์เงียบงันนานสองวินาที “น่าเสียดาย ชีวิตนักผจญภัยของผมไม่สวยหรู ต้องลงเอยด้วยการเปลี่ยนมาทำงานบอดี้การ์ดแทน โดยวันนี้รับภารกิจคุ้มกันครอบครัวของนายจ้างไปยังเมืองหลวงแห่งหมู่เกาะรอสต์”
มันหมุนตัวครึ่งรอบและชี้ไปยังมุมหนึ่งของดาดฟ้าเรือ
ไคลน์มองตามและพบกับกลุ่มบุคคลเกือบสิบกำลังยืนกระจุก นำโดยสุภาพบุรุษร่างท้วมแก้มแดงเจ้าของดวงตามีชีวิตชีวา สายโซ่นาฬิกาพกสีทองห้อยออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างโดดเด่น รวมถึงเข็มกลัดอัญมณีระยิบระยับบริเวณปกเสื้อ
ถัดไปเป็นหญิงสาวสวมหมวกปีกกว้าง ใบหน้าถูกซ่อนภายใต้แผ่นตาข่ายสีน้ำเงินเข้มจนมิดชิด รูปร่างนับว่าค่อนข้างดี
ด้านหน้าสองสามีภรรยาเป็นเด็กชายและเด็กหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายยังไม่ถึงสิบขวบดี สวมสูทหางยาวสำหรับเด็ก ฝ่ายหญิงอายุราวสิบห้าสิบหก เปี่ยมด้วยความร่าเริงสดใส ใบหน้าอาจเรียกว่างดงามได้ไม่เต็มปาก
ดวงตาสีน้ำตาลแฝงความฉลาดหลักแหลม รอยกระจางๆ บนโหนกแก้มทั้งสองข้างช่วยส่งเสริมความซุกคน
รอบตัวพวกเขายังมีอีกสามบุคคลคอยถือสัมภาระและกระเป๋าเดินทาง เป็นชายหนึ่งและหญิงสอง แต่งกายตามตามมาตรฐานคนรับใช้ โดยสาวใช้คนหนึ่งมีผิวสีน้ำตาลแดง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นชาวทวีปใต้
เจ็ดคนดังกล่าวถูกคุ้มกันโดยบอดี้การ์ดจำนวนสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ด้านในสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวรีดเรียบ เสื้อกั๊กสีอ่อน เสื้อโค้ทดำ กางเกงขายาวสีเข้ม และรองเท้าหนังทะมัดทะแมง
บอดี้การ์ดทั้งสองจงใจไม่ปกปิดการนูนของวัตถุรูปทรงคล้ายปืนตรงเอว ท่าทีเป็นไปอย่างระแวดระวังและไม่ประมาท คอยสอดส่องคนผ่านไปผ่านมาอย่างละเอียด ดวงตาเพ่งตรวจสอบในลักษณะเยือกเย็นเย็น
“คนรับใช้สาม บอดี้การ์ดสอง?”
ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเอง
กลุ่มเดินทางระดับนี้นับว่าไม่ธรรมดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นายจ้างของคลีฟส์คงร่ำรวยเป็นอย่างมาก…
ไคลน์วิเคราะห์ตามความเคยชิน
“ถูกต้อง” คลีฟส์พยักหน้า
โดยไม่กล่าวสิ่งใด มันหันหลังกลับและเดินตรงไปยังกลุ่มครอบครัวดังกล่าว
“…”
ไคลน์ถึงกับเป็นงง มันกำลังไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดคลีฟส์ถึงต้องเดินมาทักทายตนเป็นการเฉพาะเจาะจง
แต่หลังจากนึกทบทวนเนื้อหาภายในนิยายจากโลกเก่า ภาพยนตร์ และละครทีวีอีกหลายเรื่อง ชายหนุ่มเริ่มมองเห็นเจตนาแอบแฝง
เขาระแวงเรา คงเป็นเพราะเราเคยประกาศตัวชัดเจนแถมยังมีกลิ่นอายความอันตราย จึงเดินมาแนะนำตัวและเปรยงานของตัวเองให้เราทราบ เพื่อบอกเป็นนัยว่า อย่าได้หมายตาผู้ว่าจ้างของเขา…หรือสรุปโดยสั้นเป็นภาษานักเลง :
‘อยากทำอะไรก็เชิญ แต่ห้ามก้าวก่ายงานของกันและกัน’ …
อดีตนักผจญภัยมักตักเตือนนักล่าค่าหัวด้วยวิธีการเช่นนี้เองหรือ…
น่าสนใจมาก…
ไคลน์อมยิ้มพลางถือกระเป๋าเดินทางและไม้ค้ำเดินหาห้องพักของตน ด้วยความช่วยเหลือจากข้อมูลบนบัตรโดยสาร เพียงไม่นานก็ได้รับคำตอบ
แอ๊ด—
ประตูไม้เสียดสีจนเกิดเสียง ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าไปในห้องของตนและปิดประตูไล่หลัง
ขนาดของห้องไม่ใหญ่มาก มีไว้แค่ยัดเตียงนอน โต๊ะ และตู้เสื้อผ้าเข้าไปจนเต็ม ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้แล้ว แม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ไม่
ข้อดีคือเป็นห้องมีหน้าต่าง แสงแดดประจำท่าเทียบเรือกำลังสองเข้ามาด้านในอย่างสดใส ฉาบให้ผิวโต๊ะกลายเป็นสีทองอร่ามชั่วคราว
ลูกเรือช่วยชี้แจงให้ไคลน์ทราบว่า ห้องล้างหน้าและห้องน้ำจะต้องใช้ร่วมกันกับแขกอีกแปดห้องข้างเคียง แต่หากใครต้องการใช้ห้องสุขาแบบด่วนพิเศษ ทางเรือก็มีบริการห้องสุขาไม้ไว้ในราคาสามเพนนี เพื่อเป็นค่าทำความสะอาด…. ต้องขอบคุณสวรรค์ เนื่องจากโมราขาวลำนี้ถูกบูรณะให้ทันสมัย จึงมีการเดินท่อโลหะส่งแก๊สไปรอบลำเรืออย่างทั่วถึง ในห้องน้ำจึงมีเครื่องต้มน้ำไว้คอยบริการ นับว่าสะดวกสบายกับชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้น การล่องทะเลของเราคงกร่อยน่าดู…
ไคลน์ถอนหายใจ
จากนั้น มันนำสิ่งของในชีวิตประจำวันออกจากกระเป๋าและวางเรียงบนโต๊ะ เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบจับ
ขณะจัดแจงสิ่งต่างๆ ให้เป็นระเบียบ ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียงซึ่งมีความสูงไม่มาก สองหูเงี่ยฟังเสียงหวีดของเครื่องจักรพลังไอน้ำ พลางสัมผัสได้ถึงพลังขับเคลื่อนอันหนักแน่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายวิทยาศาสตร์
เมื่อเรือเริ่มแล่นออกจากท่า ไคลน์จ้องออกไปนอกหน้าต่างพลางใช้ความคิด มันกำลังกังวลถึงปัญหาใหญ่ในอนาคตของตน
จะสวมบทบาทเป็นผู้ไร้หน้าอย่างไรดี
ขณะเผชิญหน้าพิธีกรรมของมิสเตอร์ A เกี่ยวกับการลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริง ไคลน์ตัดสินใจล้มเลิกความคิดหลบหนี และหันกลับไปหาทางขัดขวางพิธีกรรมจนเกิดผลลัพธ์น่าพึงพอใจ โดยในขณะนั้น การย่อยโอสถมีพัฒนาการชัดเจนจนจับต้องได้ หากอ้างอิงจากความรู้สึกดังกล่าว ไคลน์สามารถจับหลักการของเทคนิคสวมบทบาทเป็นผู้ไร้หน้าได้อย่างคร่าว
‘จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง’ นี่คือหลักยึดถือซึ่งนักเชิดหุ่นโรซาโก้ถูกสอนให้จดจำ…
เราเคยคิดว่า ‘ตัวเอง’ จะต้องหมายถึงตัวตนแท้จริง ในกรณีนี้คือไคลน์·โมเร็ตติ…
แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือน ‘การเป็นตัวเอง’ จะต้องตีความให้ลึกซึ้งมากกว่านั้น…
ไคลน์โน้มตัวเข้าหาโต๊ะพร้อมกับอาบแสงแดดอบอุ่นด้านนอกเป็นเวลานาน จนดูคล้ายกับรูปปั้นคนนั่งในท่าครุ่นคิด
ผ่านไปสักพัก มันเริ่มสะกิดใจ
หรือว่า ‘ตัวเอง’ จะหมายถึงตัวตนภายในวิญญาณชั้นลึกสุด?
ย้อนกลับไปในโลกเก่า โจวหมิงรุ่ยเคยสวมหน้ากากเป็นหลายบุคคลในโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการสวมหน้ากากเข้าหาสังคมด้วยหลายบุคลิกตามแต่กลุ่มคนในแวดวงนั้นจะยอมรับ
โดยเกือบทั้งหมดจะเป็น ‘ตัวตนปลอม’
อา… ขณะเราปลอมตัวเป็นใครสักคนบนโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ต้องมีการสร้างตัวตนปลอมในเชิงลึก และไม่หลุดพิมพ์ข้อมูลน่าสงสัยออกไป นั่นคือการสวมหน้ากากเข้าคนอื่น…
หากทุกหน้ากากถูกถอดออกจนหมด สุดท้ายแล้ว ตัวเราคนนั้นคือ ‘ตัวเอง’ ในความหมายของโอสถผู้ไร้หน้า?
ขณะเผชิญหน้าความชั่วร้าย เราเอาชนะความกลัวในใจและเลือกขัดขวางศัตรูทุกวิถีทางอย่างไร้เหตุผล โดยไม่ข้องเกี่ยวกับอุปนิสัยของตัวตนหรือใบหน้าในเวลานั้น…
นี่คือเหตุผลให้โอสถถูกย่อยจนเกิดพัฒนาการชัดเจน?
นั่นคือการไม่หลงลืม ‘ตัวเอง’ ?
เรื่องนี้ต้องมีการทดลองและพิสูจน์…
ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์เปลี่ยนอิริยาบถ พยายามทำตัวให้ผ่อนคลาย
หลังจากนึกทบทวนเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันก่อนอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มผุดคำถามใหม่
ภายในซากอาคารใต้ดิน เราปลอมตัวเป็นอินซ์·แซงวิลล์อย่างแนบเนียนจนสามารถหลบหนีจากอันตรายมาได้สำเร็จ แต่ทำไมโอสถจึงไม่มีความคืบหน้าเลย?
จริงด้วย… นั่นเป็นแค่การใช้พลังพิเศษ มิใช่การสวมบทบาท!
หากจะย่อยโอสถให้คืบหน้า เราต้องปลอมตัวเป็นคนคนนั้นโดยมีอุปนิสัยแบบเดียวกัน สวมรอยเป็นบุคคลเดียวกันจนคนรอบตัวไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติในชีวิตประจำวันและในทางสังคม?
หากเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องไม่พบความผิดปรกติ นั่นจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ?
ถ้าอย่างนั้น ความรู้สึกกลมกลืนอย่างน่าประหลาดหลังจากดื่มโอสถผู้ไร้หน้าเข้าไป เกิดจากการสวมรอยเป็นไคลน์·โมเร็ตติโดยคนในครอบครัวไม่รู้สึกเอะใจมาตลอด…
กฎข้อแรกของผู้ไร้หน้า จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง…
กฎข้อสอง ต้องปลอมตัวในระดับลึกซึ้งถึงขั้นสามารถตบตาบุคคลใกล้ตัว…
แต่การปลอมตัวจนถึงขั้นญาติพี่น้องแยกแยะไม่ได้ เราคิดอย่างอื่นนอกจากการทำชั่วไม่ออก…
อย่าบอกนะว่า… ต้องตามหาคนตายในดินแดนห่างไกล จากนั้นก็เดินทางกลับไปพบญาติในบ้านเกิด และสวมรอยเป็นบุคคลดังกล่าวเพื่อสนองความต้องการสุดท้ายให้เขา…
ยิ่งลำดับสูง การสวมบทบาทก็ยิ่งยาก…
ชายหนุ่มถอนหายใจพลางลวงหยิบนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลา
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน ประกอบกับภายในห้องพักคับแคบและอึดอัด ไม่เหมาะแก่การนั่งแช่นานๆ ไคลน์ตัดสินใจออกไปเดินรับลมทะเลบนดาดฟ้าเรือ
หลังจากความตื่นเต้นในชั่วโมงแรกของการล่องทะเลจบลง บนดาดฟ้าจึงเหลือผู้คนบางตา ชายหนุ่มเดินไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมาถึงมุมหลบแดดซึ่งมีเงาสีดำทอดยาว
แสงแดดสดใส บรรยากาศอบอุ่น… นอกจากสายลมกระโชกซึ่งพยายามจะขโมยหมวกของเราแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีข้อเสีย…
ชายหนุ่มกดหมวกและเดินกลับเข้าไปในเขตห้องพัก จากนั้นก็ตัดสินใจเดินสำรวจโครงสร้างภายในเรือพลางฟังเสียงดนตรีอันไพเราะเป็นฉากหลัง
เพียงไม่นาน ไคลน์บังเอิญเดินมาพบอดีตนักผจญภัยคนเดิม คลีฟส์ กำลังก้มหน้าทำอะไรบางอย่างในมุมหนึ่งของเรือ บนพื้นด้านหน้ามีหอกสามง่าม มีดสั้น และมีดยาววางอยู่
เมื่อสัมผัสถึงสายตาจ้องมอง คลีฟส์เงยหน้าขึ้นด้วยอากัปกิริยาขึงขัง ตามด้วยการกล่าวเสียงเรียบ
“พวกนี้คือสหายเก่าของผมเอง จำเป็นต้องถูกบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ”
จากนั้น มันเสริม
“พอดีในห้องพักมีเด็กๆ อยู่”
“เข้าใจได้” ไคลน์ยิ้มรับ
คลีฟส์ก้มหน้าจัดการงานของตัวเองต่อ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงซักถาม
“ไม่ได้พกของพวกนี้มาด้วยหรือ”
“ผมชินกับการใช้อาวุธประจำกาย” ไคลน์ตอบอย่างคลุมเครือ “และหมั่นบำรุงรักษามันอย่างสม่ำเสมอ”
คลีฟส์ยกมีดสั้นขึ้นมาถืออย่างคล่องแคล่ว สายตาจ้องออกไปนอกหน้าต่าง
“สำหรับท้องทะเล แค่ปืนมันยังไม่พอ เมื่อโจรสลัดบุกขึ้นเรือ จำนวนของพวกมันไม่ใช่หนึ่งหรือสอง แต่เป็นสิบเป็นร้อย หากคุณยิงปืนจนหมดกระสุน พวกมันจะไม่เปิดโอกาสให้เติมกระสุนเด็ดขาด จริงอยู่ สิ่งของพวกนี้พกติดตัวไม่ง่าย แต่ก็มีประโยชน์ในบางสถานการณ์”
มืออาชีพมาก… สมกับอดีตนักผจญภัย…
ไคลน์เอนตัวพิงกำแพงเรือและพูดติดตลก
“หากโจรสลัดขึ้นเรือมา ผมมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ตอบโต้พวกมัน”
คลีฟส์เงยหน้ามองอีกครั้ง คราวนี้จ้องนานราวสามวินาทีก่อนจะหันกลับ ตามด้วยการกล่าวเสียงแผ่วเบาขณะเริ่มเก็บข้าวของ
“ผมคงไม่ต้องคอยเตือนคุณสินะ เข้าใจกฎเหล็กของทะเลก็ดีแล้ว นักล่าค่าหัวบนฝั่ง ส่วนมากมักเป็นนักผจญภัยในทะเลไม่ได้”
คลีฟส์ซ่อนมีด ดาบสั้น และสามง่ามอย่างชำนาญภายในเสื้อผ้า ฉากดังกล่าวสร้างความทึ่งให้ไคลน์ไม่น้อย
“ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มยิ้มรับ
โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม คลีฟส์หันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องพัก เผยให้เห็นเพียงแผ่นหลังขนาดใหญ่
ไคลน์ยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้า และหันไปออกไปมองนอกเรือ
คลื่นสีครามกำลังขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ปลาบินสีเงินคอยดีดตัวจากผิวน้ำไปในอากาศ
ปลาชนิดนี้ทำได้ทั้ง ‘บิน’ และว่ายน้ำ ถือเป็นหนึ่งในครอบครัวของเทพวายุสลาตัน หากชาวประมงและลูกเรือส่วนมากพบว่าพวกมันติดมากับอวน จะรีบปล่อยกลับลงไปในทะเลทันที…
ไคลน์กำลังชื่นชมภาพความงามของน้ำทะเลสีครามส่องสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ ด้านบนมีปลาสีเงินกำลังโบยบินอย่างองอาจ
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัว
เจ้านี่จะอร่อยไหมนะ…
……………………