เฮอร์มิส? บุคคลในตำนานของมนุษย์…
ไคลน์ขมวดคิ้ว
ด้วยความรู้ความเข้าใจทางด้านศาสตร์เร้นลับอันเข้มข้น มันพอจะทราบว่าชายชราผู้สร้างภาษาเฮอร์มิสโบราณ โด่งดังและรุ่งเรืองในช่วงใดของประวัติศาสตร์โลก
ยุคสมัยที่สอง ขณะคนยักษ์ยังปกครองผืนดินและมังกรปกครองผืนฟ้า
หากข้อมูลไม่ผิดพลาด ดูเหมือนชื่อเสียงของเฮอร์มิสจะโด่งดังขึ้นมาก่อนการปรากฏตัวของเทพสงครามและพระแม่ธรณีเสียอีก
หรือก็คือ หากนำเรื่องนี้ไปถามเดอะซันน้อย ผู้ไม่เคยรู้จักเจ็ดเทพจารีตจนกระทั่งได้เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ เขาอาจเคยได้ยินชื่อของเฮอร์มิสมาบ้าง… ไว้ค่อยให้เดอะเวิร์ลถามเพื่อความแน่ใจภายหลัง…
ถ้าอย่างนั้น สุภาพบุรุษสูงวัยแห่งสภานักสิทธิ์สนธยา จะต้องมีประสบการณ์ขณะมนุษย์กำลังลองผิดลองถูกเกี่ยวกับโอสถอย่างไร้ทิศทาง จุดประสงค์เพื่อพยายามไขความลับของโลกผู้วิเศษให้กระจ่าง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เฮอร์มิสอาศัยรากฐานของภาษามังกรและคนยักษ์เป็นต้นแบบ และทำการสร้างภาษาเวทมนตร์ให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ในภายหลัง เฮอร์มิสคงมีโอกาสได้เห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกด้วยตาตัวเอง
จากนั้นก็มีชีวิตยืนยาวมาจนถึงยุคสมัยของจักรพรรดิโรซายล์ และบางที อาจอยู่มาจนถึงยุคสมัยปัจจุบันของเรา!
ไม่ต่างอะไรกับซากดึกดำบรรพ์เดินดิน!
อารมณ์หลากหลายกำลังท่วมท้นจิตใจชายหนุ่ม ในทางกลับกัน ไคลน์เริ่มตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของสภานักสิทธิ์สนธยา
พวกมันมีกระทั่งเฮอร์มิสเป็นสมาชิก!
เฮอร์มิสยิ่งใหญ่มากเพียงใดดูได้จาก องค์กรลับส่วนใหญ่ รวมถึงเจ็ดโบสถ์หลัก ก็มักใช้ภาษาเฮอร์มิสโบราณในพิธีกรรมบ่อยครั้ง!
สภานักสิทธิ์สนธยาช่างลึกลับ ทรงพลัง และอยู่คนระดับโดยสิ้นเชิง…
ไคลน์ถอนหายใจเงียบงัน
ชายหนุ่มกำลังอิจฉาพวกมัน มิได้อิจฉาเพราะอีกฝ่ายมีเฮอร์มิสเป็นสมาชิก แต่กำลังอิจฉาว่า สภานักสิทธิ์สนธยามีศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองในครอบครอง!
แบบนี้เอาเปรียบกันชัดๆ …
ไคลน์ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อตระหนักว่าชุมนุมทาโรต์ของตนมีไพ่เย้ยเทพเพียงใบเดียวจากทั้งหมดสี่สิบสองเส้นทางสู่การเป็นเทพ
ชายหนุ่มดึงสมาธิกลับมาบนหน้ากระดาษไดอารีอีกครั้ง ก่อนจะอ่านรวดเดียวให้จบ
“โอ้สวรรค์! ชายชราใบหน้าแสนธรรมดาด้านข้างเรา แท้จริงแล้วคือเฮอร์มิส ตำนานผู้ยังมีลมหายใจจากยุคสมัยที่สอง ยุคแห่งความมืด! และมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงยุคสมัยที่ห้าของเรา! คิดถูกจริงๆ กับการตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมลับแห่งนี้! เรากำลังมองเห็นอนาคตอันสดใสของตัวเองอย่างแจ่มชัด ไม่มีสิ่งใดอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีไปกว่าเครื่องหมายตกใจสามอันอีกแล้ว!!!”
“ชักสงสัยแล้วว่า คนใหญ่คนโตระดับซากดึกดำบรรพ์มากมายในชุมนุม ทั้งหมดล้วนเชื่อในการมาถึงของยามสนธยาจริงหรือ? ไม่ใช่แน่ เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ใช่! จริงอยู่ อาจมีบางส่วนเชื่อในอุดมคติดังกล่าวอย่างแรงกล้า รอคอยให้พระผู้สร้างต้นกำเนิดลืมตาตื่นขึ้น หวังให้การแทรกแซงจากฝ่ายตน นำพาโชคชะตาไปยังจุดหมายปลายทางในฝันเข้าสักวัน หึหึ… แต่จากความเข้าใจของเรา กรณีของท่านไม่น่าจะเรียกว่า ‘ลืมตาตื่น’ แต่เป็นการ ‘คืนชีพ’ มากกว่า แต่ ‘ผู้เชื่อ’ ไม่น่าจะมากไปกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด เพราะส่วนมากมักมีเป้าหมายของตัวเองชัดเจน หากไม่ใช่คนทะเยอทะยานเหมือนเรา ก็ต้องเป็นพวกเจ้าเล่ห์วางแผนชั่วร้ายบางอย่างอยู่… จริงสิ… มีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล เราตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมทันทีหลังจากถูกชวนแค่ครั้งเดียว แทบไม่มีการใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน…”
“จริงอยู่ คนชวนอาจเล่าให้ฟังว่า สมาชิกส่วนใหญ่ลงคะแนนให้เราเข้าร่วมมากกว่าสองในสาม เราจึงถูกชวนเข้ามาเป็นสมาชิก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สาระสำคัญคือ ทำไมทางนั้นถึงไม่เกรงกลัวว่าเราจะไม่ศรัทธาในอุดมคติ แถมยังไม่เคยบังคับให้เรามีความเชื่อแบบเดียวกันสักครั้ง พวกเขาใช้สิ่งใดเป็นหลักประกันว่าเราจะไม่มีเจตนาร้ายต่อองค์กร? หรือว่ามีตัวตนระดับเทวทูตบนเส้นทางผู้ชมแฝงตัวอยู่? บางที ท่านคนนั้นอาจแอบฟังการชี้นำทางใจภายในตัวเรา และบังคับให้เราเอ่ยวาจาสาบานโดยไม่รู้ตัว? แถมทางองค์กรยังมั่นใจเสียเต็มประดาว่า จะไม่มีสมาชิกคนใดสามารถปกปิดเจตนาร้ายต่อองค์กรได้อย่างมิดชิด เป็นไปได้มากทีเดียว…”
“เมื่อตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว เราพลันเกิดความสั่นกลัวจากก้นบึ้งทันที และเหนือสิ่งอื่นใด หากไม่ได้รับอนุญาต สมาชิกทุกคนห้ามกล่าวถึงชื่อขององค์กรบนโลกภายนอกโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูก ‘รับรู้’ ทันที พวกเขายกตัวอย่างรายชื่อบุคคลผู้เคยฝ่าฝืนและถูกจำกัดทิ้ง… และการเขียงลงกระดาษด้วยภาษาใหม่ก็ไม่มีข้อยกเว้น! พวกเขาใช้วิธีใด? รีบคิดเข้าสิ! ถ้าจำไม่ผิด… ลำดับ 2 ของเส้นทางผู้ชมจะมีชื่อว่า ‘ผู้เห็นแจ้ง’ ส่วนลำดับ 1 มีชื่อว่า ‘นักประพันธ์’ สมาชิกคนใดของชุมนุมเข้าข่ายโอสถสองชนิดนี้บ้าง? นึกออกแล้ว ผู้ต้องสงสัยคนแรก ไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าของชุมนุมเสียเอง…”
“จริงสิ ยังมีอีกหนึ่งโอสถเข้าข่ายต้องสงสัย ลำดับ 0 แห่งเส้นทางผู้ชม นักสร้างฝัน! แต่เราไม่เชื่อว่าจะมีใครในหมู่สมาชิกเป็นถึงลำดับ 0 ไม่อย่างนั้น องค์กรของเราไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่หลังฉาก แต่ไม่แน่ว่า ทางองค์กรอาจมีสมบัติเทพซึ่งพลังใกล้เคียงลำดับ 0 อยู่ในมือ หรือไม่ก็ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ ของบางเส้นทางไว้ บางที พลังในการ ‘รับรู้’ ขณะชื่อองค์กรถูกกล่าวถึงบนโลกด้านนอก อาจมาจากดินแดนความฝันประหลาดอันสมจริงแห่งนี้ ดินแดนซึ่งเชื่อมต่อชายฝั่งตะวันตกและตะวันออกของทวีปเข้าด้วยกัน แต่ในตอนนั้น เรามิได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย มัวแต่ตกตะลึงถึงชายชราเฮอร์มิส พลางซักถามความคาใจด้วยความอยากรู้อยากเห็น คำถามมีอยู่ว่า เหตุใดมนุษย์ถึงเลือกใช้ ‘อำนาจ’ ของพวกท่านมาอธิบายลักษณะเฉพาะของเทพแต่ละองค์ โดยมิสเตอร์เฮอร์มิสได้มอบคำตอบน่าสนใจกลับมาอีกครั้ง”
เมื่ออ่านถึงจุดนี้ ไคลน์พบว่าไดอารีหน้าสองจบลงแล้ว
ชายหนุ่มรีบพลิกไปยังหน้าถัดไป แต่จากนั้นก็ต้องรีบพลิกกลับ เพราะเนื้อหาของหน้าสามมิได้สอดคล้องกับแผ่นแรกและแผ่นสองเลยสักนิด
…คำตอบอยู่ไหน?
โรซายล์เขียนไว้ในไดอารีหน้าติดกันซึ่งเรายังไม่เคยอ่าน หรือเกิดความขี้เกียจเขียนเพราะมันยาวเกินไป? หรือมองว่าไม่สำคัญจนไม่จำเป็นต้องจดบันทึก?
ไคลน์กำลังเกรี้ยวกราดภายใน มันอยากเดินทางข้ามโลกกลับไปหาโรซายล์และบีบคอจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมบอกคำตอบของเฮอร์มิส!
แน่นอน อากัปกิริยาของเดอะฟูลยังคงสุขุมเยือกเย็น ตรงข้ามกับอารมณ์คุกรุ่นภายใน
ลำดับ 0 เส้นทางผู้ชมชื่อว่า ‘นักสร้างฝัน’ นับว่ายังสอดคล้องกับมังกรจินตภาพ เราเคยคิดว่าลำดับ 0 จะชื่อ ‘มังกร’ เสียอีก…
นักสร้างฝันฟังดูมีกลิ่นอายความเป็นมนุษย์ค่อนข้างมาก หมายความว่า การดื่มโอสถจะไม่ทำให้ผู้วิเศษกลายเป็นมังกร…
ลำดับ 1 นักประพันธ์ แค่ฟังจากชื่อโอสถ ก็ทำให้นึกถึงปากกาขนนก 0-08 ทันที…
สภานักสิทธิ์สนธยาจัดชุมนุมผ่านดินแดนความฝันอันสมจริง ซึ่งเชื่อมต่อชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของทวีปเข้าด้วยกัน?
คำอธิบายแฝงกลิ่นอายความ ‘อัศจรรย์’ เช่นนี้ทำให้เราขนลุกไปทั้งตัว ทำไมถึงได้ฟังดูเหมือนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทานัก…
ไคลน์พยายามข่มอารมณ์ พลางตระหนักว่าไดอารีหน้าเมื่อครู่ ได้มอบข้อมูลมหาศาลมากเพียงใด
ประการแรก มันได้รู้จักกับนักปราชญ์จากบรรพกาล เฮอร์มิส และทราบด้วยว่า อีกฝ่ายอาศัยในยุคสมัยเดียวกับโรซายล์เป็นอย่างน้อย เป็นช่วงเวลาราวหนึ่งถึงสองร้อยปีก่อน
ถัดมา เมื่อโรซายล์อธิบายเกี่ยวกับการห้ามเอ่ยถึงองค์กรดังกล่าวบนโลกภายนอก ไคลน์มั่นใจทันทีว่านี่คือสภานักสิทธิ์สนธยา
และสุดท้าย มันได้ทราบชื่อจริงของโอสถลำดับ 0 1 และ 2 ของเส้นทางผู้ชม จริงอยู่ ความรู้ดังกล่าวอาจยังไม่เกิดประโยชน์ทันที แต่คงมีโอกาสใช้เข้าสักวัน หรืออย่างน้อยก็เสริมให้องค์ความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับของตนเข้มแข็งขึ้น
ในอนาคต มิสจัสติสอาจซักถามก็เป็นได้… ความอยากรู้อยากเห็นของเธอน่าทึ่งเสมอ…
ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากสลัดความเสียดายในคำตอบของเฮอร์มิสทิ้ง และบังคับตัวเองให้อ่านไดอารีหน้าสุดท้าย
ขณะชายหนุ่มกำลังนั่งอ่าน ออเดรย์แอบใช้สายตาสอดส่องเป็นระยะ จนกระทั่งเธอพบว่าไพ่จักรพรรดิมืด ซึ่งมิสเตอร์ฟูลมักวางบนโต๊ะทองแดงยาวด้านหน้าเสมอ ยามนี้กลับหายไปจากตำแหน่งเดิม!
ท่านมอบให้ข้ารับใช้ของตนเพื่อเป็นการช่วยเหลือ หรือนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของมีค่าชนิดอื่นแล้ว?
ออเดรย์กะพริบตาถี่ ภายในใจพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง
หญิงสาวเชื่อว่าสมมติฐานแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะลำพังข้ารับใช้เดอะฟูล คงไม่มีพลังมากพอจะทำลายพิธีกรรมอัญเชิญพระผู้สร้างแท้จริงด้วยตัวเองได้แน่
น่าเสียดาย ท่านพ่อไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเอกสารการสืบสวนของเหยี่ยวราตรี ไม่อย่างนั้น เราคงได้ทราบว่าข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลเป็นใคร และมีหน้าตาเป็นเช่นไร…
หืม… ส่วนสูงปานกลาง แต่งกายคล้ายชาวโลเอ็น สวมเสื้อคลุมกระดุมสองแถวยอดนิยม และอยู่ใกล้กับคฤหาสน์กุหลาบแดงขณะเกิดเหตุ เราสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นการสืบสวนขยายผลได้…
แต่นั่นอาจทำให้มิสเตอร์ฟูลไม่พอใจ หากท่านต้องการเปิดเผยตัวตนข้ารับใช้ ท่านคงยอมบอกด้วยตัวเองไปนานแล้ว… ออเดรย์ ห้ามคิดเยอะ! ห้ามสงสัย! บางที เธออาจได้พบกับเขาในอนาคต…
หญิงสาวเบือนหน้ากลับมา
ขณะเดียวกัน ไคลน์เกือบหลุดขำเนื่องจากไดอารีหน้าสุดท้ายเต็มไปด้วยข้อความติดตลก
“16 มีนาคม เรามีโอกาสได้ร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดินทางข้ามมิติมายังโลกใบนี้ บรรดาคุณหนูและคุณหญิงแจ่มกว่าในจินตนาการของเรามากทีเดียว! ถ้าจำไม่ผิด เราเคยอ่านเจอในนิยายว่า บรรดาชนชั้นสูงของยุคกลางมักไม่ชอบอาบน้ำ โดยจะอาศัยกลิ่นของน้ำหอมช่วยดับกลิ่นอับในร่างกายแทน แถมยังเหยียบอุจจาระบ่อยครั้งเมื่อเดินทางออกจากบ้าน และมักนำครีมซึ่งมีส่วนผสมของโลหะหนักเป็นพิษทาใบหน้าตัวเองบ่อยครั้ง แต่ผิดคาด ขุนนางบนโลกนี้กลับทำตัวตรงกันข้าม พวกหล่อนชื่นชอบการอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ชื่นชอบน้ำหอมเย้ายวนและทรงเสน่ห์ มีผิวพรรณเป็นเลิศ แถมยังมีหุ่นดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เกือบทุกคนเข้าข่ายสเปคของเราหมด!”
“เราเอาชนะความเขินอายและเริ่มมีบทสนทนาอันยอดเยี่ยมกับบุตรสาวของไวเคาต์เดลิโรส พวกเราคุยกันในเรื่องผลงานและคุณงามความดีของบรรพบุรุษ พูดคุยเกี่ยวกับดินแดนในการครอบครองของตระกูล และบรรดาศักดิ์ขุนนางในปัจจุบันของเรา จากนั้น เธอขอตัวโดยให้เหตุผลว่า เริ่มหิวและต้องการหาอะไรรองท้อง เราไม่ได้เก็บไปคิดมากนัก และจำใส่ใจไว้เสมอว่า การจีบสาวของค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่อเดินลงบันไดไปชมสวนดอกไม้ชั้นล่าง เรากลับได้พบหล่อนกำลังเปลือยกายสมสู่อยู่กับบุตรชายคนโตของเอิร์ลฟลอเนอร์! เชี่ย! บัดซบ! พวกมันเพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรกไม่ใช่รึไง! ทำไมกัน! ทำไม!? ตัวข้าฮวงเทา โรซายล์·กุสตาฟผู้นี้ ยังหล่อเหลาไม่มากพอ ยังมีคารมคมคายไม่ดีพออย่างนั้นหรือ? แต่โชคยังดี ดูเหมือนมาดามจะยังพอมีใจให้เราบ้าง สัมผัสได้จากสายตาและกิริยาท่าทางเย้ายวนของเธอ หึหึ…”
ดูเหมือนโรซายล์ในช่วงแรกจะยังไม่ชินกับขนบธรรมเนียมสุดพิสดารของอินทิส…
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ตระกูลกุสตาฟเริ่มอยู่ในช่วงขาลง บรรดาศักดิ์ถูกถอดถอนจนเหลือเพียงบารอน และมีดินแดนในการครอบครองไม่มาก แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อโรซายล์เริ่มสร้างชื่อ…
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรซายล์จะเคยมีประสบการณ์ถูกปาดหน้าแย่งสาวกับเขาเหมือนกัน…
เดี๋ยวสิ ถ้าจำไม่คิด โรซายล์เคยเขียนไว้ในไดอารีแผ่นแรกๆ ว่า เขามีโอกาสได้ ‘งาบ’ เคาต์เทสฟลอเนอร์…
เอาจนได้สินะ ขอคารวะ…
ไคลน์ก้มศีรษะอ่านต่ออีกสองย่อหน้า
ชีวิตประจำวันในคฤหาสน์ของโรซายล์มิได้หวือหวาหรือแฝงไว้ด้วยข้อมูลเป็นประโยชน์ รายละเอียดส่วนมากเกี่ยวกับความต้องการอยากออกไปล่าสัตว์ คิดถึงอาหารโลกเก่า ความปรารถนาจะครอบครองพลังพิเศษ และต้องการมีสาวใช้คนสวยหน้าอกใหญ่คอยปรนนิบัติข้างกาย
ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ เสกไดอารีทั้งสามแผ่นเลือนหายไปจากฝ่ามือ และเงยหน้ากล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม
“เชิญตามสบาย”
ออเดรย์รีบหันไปมองเดอะซันฝั่งตรงข้าม
“คุณและทีมสำรวจหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลาแล้วใช่ไหม”
เดอร์ริคพยักหน้ารับอย่างซื่อตรงและหันไปทางตำแหน่งหัวโต๊ะ
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ขอบคุณสำหรับคำนำแนะอันแสนมีค่า คำบอกใบ้ของท่านช่วยให้ผมค้นพบกุญแจสำคัญเกี่ยวกับเทวทูตโชคชะตาบนจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมีข้อความ ‘กุหลาบไถ่บาป’ สลักอยู่ สิ่งนี้ช่วยให้ท่านประมุขทำลายวังวนกระแสเวลาสำเร็จ”
อะไรคือเทวทูตโชคชะตา…?
ไม่เข้าใจเลยสักนิด…
เดอะฟูล ไคลน์ ตอบกลับด้วยเสียงขรึมแม้จะกำลังสับสน
“ทำได้ไม่เลว”
……………………