หลังจากครุ่นคิดสักพัก เดอะมูน เอ็มลิน เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวและเข้าใจว่าหญิงสาวกิริยามารยาทสง่างามฝั่งตรงข้าม กำลังพูดถึงโศกนาฏกรรมหมอกพิษและโรคระบาดภายในกรุงเบ็คลันด์เมื่อไม่กี่วันก่อน
แต่เราได้ยินมาว่า นั่นเกิดจากฝีมือของแม่มดสิ้นหวังผู้ต้องการเลื่อนลำดับ…
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะโบสถ์วายุสลาตันตอบสนองได้รวดเร็ว หมอกควันส่วนใหญ่จึงถูกพัดพาออกไปนอกเมือง แล้วเหตุใดถึงกล่าวอ้างว่าเดอะฟูลได้ช่วยเบ็คลันด์ไว้…
เอ็มลินมีตระกูลผีดูดเลือดคอยหนุนหลัง ข่าวสารรอบตัวจึงมาถึงเร็วกว่ามนุษย์ปรกติ เมื่อลองชั่งน้ำหนักในใจสักพัก มันยังคงเกิดความสับสนและเคลือบแคลง
แม้เอ็มลินจะไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนอันยิ่งใหญ่ซึ่งมันต้องใช้สรรพนามเรียกนำหน้าว่า ‘ท่าน’ เอ็มลินย่อมรู้จักกาลเทศะ จึงมิกล้าปริปากซักถามรายละเอียดออกไป
ขณะเดียวกัน อัลเจอร์อาจอยู่ในทะเลตลอดเวลา แต่มันย่อมทราบข่าวใหญ่อย่างโศกนาฏกรรมหมอกพิษภายในเมืองหลวง
แน่นอน อัลเจอร์ต้องการฟังรายละเอียดเบื้องลึกของเหตุการณ์ เพราะมันเชื่อว่าต้องเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวตนระดับทวยเทพอย่างแน่นอน มิฉะนั้น บุคคลอย่างมิสเตอร์ฟูลคงไม่จับตามองเป็นพิเศษ
ไว้เราค่อยถามมิสจัสติสในช่วงแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ แต่เธออาจไม่แม่นยำในรายละเอียดมากนัก ต้องคำนึงว่า เธอยังไม่ใช่สมาชิกระดับสูงขององค์กรใหญ่…
หึหึ จัสติสเองคงกำลังตื่นเต้นมาก ถึงกับใช้เป็นหัวข้อเปิดประเด็นชุมนุมคราวนี้เลยทีเดียว อาจเป็นการถามหยั่งเชิงแกมขอร้องให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเล่ารายละเอียดทั้งหมด…
ได้แต่หวังว่า เราจะได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของบุคคลวงในโดยตรง…
หลังจากครุ่นคิดจนพอใจ อัลเจอร์หันไปทางเดอะซันและพบว่า เด็กหนุ่มมิได้ออกอาการวิตกกังวลเหมือนคราวก่อน ตรงกันข้าม อีกฝ่ายกำลังสงบนิ่งและวางมาด จึงเดาได้ไม่ยากว่า ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์หลุดจากวังวนกระแสเวลาสำเร็จแล้ว
เช่นเดียวกันกับออเดรย์ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าทีมสำรวจของเดอะซันเดินทางกลับถึงเมืองได้อย่างปลอดภัย อ้างอิงจากสีหน้าและแววตาอันสุขุมของเด็กหนุ่ม
ออเดรย์ถอนหายใจยาว เตรียมรอฟังรายละเอียดการผจญภัยจากปากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคาดหวัง
ถัดมา หลังจากคำนับมิสเตอร์ฟูลอย่างนอบน้อม ออเดรย์หันไปขอบคุณสมาชิกชุมนุมทาโรต์ผู้มีบรรยากาศไม่เป็นมิตร เดอะเวิร์ล สำหรับคำเตือนล่วงหน้าอันแสนมีค่า
“…มิสเตอร์เวิร์ล หากไม่ใช่เพราะคุณแจ้งให้พวกเราเตรียมรับมือ บางที อาจมีผู้คนอีกหลายหมื่นต้องสังเวยในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันคราวนี้ ด้วยความสัตย์จริง ผมทำไปเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง” ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลยิ้มพลางเปล่งเสียงแหบพร่า
มันขอบคุณจากใจโดยไม่เสแสร้ง เพราะถ้ามิสจัสติสไม่แจ้งให้โบสถ์หลักทราบล่วงหน้าถึงภัยอันตราย หญิงสาวปริศนาผู้ ‘ลบ’ มิสเตอร์ A คงปรากฏตัวออกมาช่วยตนไว้ไม่ทัน เหตุการณ์หลังจากนั้นคงไม่ต้องเล่าถึง
หากมิสเตอร์ A แยกชิ้นส่วนเราออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย บางที พลังคืนชีพอาจไม่ทำงานในคราวนี้…
ไคลน์จินตนาการภาพตามอย่างขนลุก
งานเลี้ยงปีใหม่ระหว่างตนกับมิสเตอร์ A อาจเกิดขึ้นจริง แต่เป็นการกินดื่มและฉลองอยู่ฝ่ายเดียวของมิสเตอร์ A!
ทันใดนั้น เดอะฟูลบนเก้าอี้กล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เราแทบมิได้ทำสิ่งใดเลย”
“หามิได้ค่ะ! ข้ารับใช้ของท่านมีส่วนอย่างมากในการช่วยเหลือกรุงเบ็คลันด์ ผลงานความสำเร็จของเขาเหนือกว่าผู้ใดทั้งหมด”
ออเดรย์ยกยอจากก้นบึ้งหัวใจ
“คำเตือนของเขาช่วยให้องค์เทพธิดา… ช่วยให้โบสถ์รัตติกาลมีเวลาเตรียมตัวระดมพลหน่วยพิเศษ และออกจัดการกับแม่มดสิ้นหวังได้ทันเวลาก่อนเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ลงเอยด้วย โบสถ์รัตติกาลสามารถยับยั้งมิให้แม่มดบรรพกาลลืมตาตื่น ไม่เพียงเท่านั้น ข้ารับใช้ของท่านยังทำลายพิธีกรรมชั่วร้ายของชุมนุมแสงเหลือ ช่วยขัดขวางมิให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติ”
ออเดรย์ได้รับคำชมเชยอย่างล้นหลามจากเอิร์ลฮอลล์และภรรยา ข้อมูลของเธอมีค่ามากเสียจน เอิร์ลฮอลล์ถึงกับยอมเล่ารายละเอียดการสืบสวนให้ฟังโดยไม่ปกปิด
แน่นอน ในฐานะผู้ปกครอง พวกเขาย่อมไม่ปรารถนาให้บุตรสาวของตนถลำลึกเข้าไปในองค์กรลับมากกว่านี้ คงดีกว่า หากจะเป็นเพียงสมาชิกวงนอกและคอยรวบรวมข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ช่วยเหลือตระกูล โดยไม่พัฒนาพลังไปเกินกว่าลำดับ 7
แม่มดบรรพกาลเกือบลืมตาตื่นขึ้น…
พระผู้สร้างแท้จริงพยายามลงมาจุติ…
กรุงเบ็คลันด์กลายเป็นเมืองอะไรไปแล้ว!?
ทั้งอัลเจอร์และเอ็มลินต่างมีท่าทีตอบสนองคล้ายคลึงกัน แต่สีหน้าภายนอกกลับแตกต่างอย่างชัดเจน คนแรกดวงตาเบิกโพลง รูม่านตาหดลีบ และเผลอขยับร่างกายโดยไม่รู้ตัว
ส่วนคนหลังให้อารมณ์คล้ายกับเตรียมลุกพรวดขึ้นมาแหกปากอย่างตื่นตระหนก
พระแม่ธร… ไม่สิ องค์จันทรา! เบ็คลันด์กลายเป็นเมืองอันตรายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร… เทพมารสองตนพยายามปรากฏตัวบนโลกขณะเกิดโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน!
เด็กสาวคนนั้นอาจเล่าความเท็จ… ถึงแม้มิสเตอร์ฟูลจะเป็นตัวตนระดับเทพจริง แต่การสร้างความขัดแย้งกับเทพสองตนพร้อมกัน… ถ้าสิ่งนี้ไม่เรียกว่ารนหาความตาย แล้วจะให้เรียกอะไรได้อีก…
หรือว่าท่านคือเทพตัวจริง ผู้กำลังเรียกคืนพลังเพื่อกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม?
ไม่สิ บางที ท่านอาจมีพวกพ้องทวยเทพหนุนหลังเป็นจำนวนมาก โดยมิได้แจ้งให้มดปลวกอย่างพวกเราทราบ… นี่คงเป็นเหตุผลให้ท่านบรรพชนมอบวิวรณ์ พร้อมกับกำชับให้เราสวดภาวนาถึงท่าน…
ยิ่งเอ็มลินครุ่นคิด หัวใจมันก็ยิ่งเต้นแรงอย่างผิดจังหวะ แต่ไม่ว่าจะตรึกตรองนานสักเพียงใด ก็ยากจะหาคำตอบมายืนยันสมมติฐานของตัวเองได้
เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดมิได้ถูกเรียกว่า ‘แวมไพร์’ เพราะหัวใจของพวกมันไม่เต้น
ในความเป็นจริง หัวใจผีดูดเลือดยังคงยุบพองตามปรกติ เพียงแต่เต้นในจังหวะช้ากว่ามนุษย์มาก โดยขณะเดียวกัน หัวใจยังถือเป็นจุดอ่อนร้ายแรงซึ่งผีดูดเลือดทุกตนพยายามปกป้องอย่างสุดความสามารถ
คิดไว้ไม่มีผิด… มิสเตอร์ฟูลให้ความสนใจมากเป็นพิเศษเพราะมีเบื้องหลังซับซ้อนแบบนี้นี่เอง… แต่ท่านจะได้สิ่งใดหากขัดขวางแผนคืนชีพของเหล่าเทพมารสำเร็จ?
อัลเจอร์ก้มหน้าถอนหายใจ
ทางด้านฟอร์ส เธอกำลังหวาดผวาแกมประหลาดใจ หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่า โศกนาฏกรรมมหาหมอกควันซึ่งคร่าชีวิตชาวเมืองไปนับหมื่น ความจริงยังมีเบื้องหลังอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมแอบซ่อนอยู่!
ถ้าถูกหยุดไว้ไม่ทัน เมืองเบ็คลันด์ทั้งหมดจะถูกทำลาย และเรากับซิลคงไม่มีชีวิตรอด…
ฟอร์สกลืนน้ำลายคำใหญ่
ด้านออเดรย์ก็กำลังคิดแบบเดียวกับฟอร์ส หลังจากโศกนาฏกรรมจบลง สตรีชนชั้นสูงอย่างเธอเริ่มตระหนักถึงความจริงอันโหดร้ายหนึ่งเรื่อง :
โลกอันสงบสุขเป็นเพียงเปลือกนอกของฟองสบู่ ชะตากรรมแท้จริงของคนธรรมดาล้วนอยู่ในมือทวยเทพ การวิวาทเพียงเล็กน้อยของตัวตนระดับสูงจะทำให้ฟองสบู่แตกพร้อมกับการหายไปของทุกสรรพสิ่ง…
เราสามารถกล่าวได้ว่า ทั่วทั้งอาณาจักร หรือแม้กระทั่งทั่วโลก ดำรงอยู่ได้ด้วยสมดุลระหว่างพลังของเทพแต่ละตน และสมดุลดังกล่าวก็ช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน…
ทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ทำนองนี้ ออเดรย์จะรู้สึกราวกับมีคลื่นความเศร้าโศกสาดกระทบจิตใจในส่วนลึก
ด้านไคลน์กำลังอิ่มเอมใจเมื่อทราบว่า มีผู้คนจำนวนหนึ่งเห็นคุณค่าของการเสี่ยงชีวิตของตน
มันใช้เสียงของเดอะฟูลกล่าว
“น่าเสียดาย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาต้องออกห่างจากเบ็คลันด์สักระยะ”
ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลจะไม่อยู่ในกรุงเบ็คลันด์ชั่วคราว?
ออเดรย์ยืนขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะคำนับ
“รบกวนฝากคำขอบคุณของดิฉันไปถึงเขาด้วยค่ะ”
ไคลน์รักษามาดองอาจโดยไม่กล่าวคำใด ทำเพียงพยักหน้ารับแผ่วเบา
ทันใดนั้น ออเดรย์เสริม
“ดินฉันต้องขออภัยเป็นอย่างสูง แต่เนื่องจากสามโบสถ์หลักและกองทัพกำลังเข้มงวดในการตรวจตราทั่วกรุงเบ็คลันด์ จึงไม่มีโอกาสได้รวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ตามคำสัญญา ช่วยรออีกสักสัปดาห์นะคะ”
“เข้าใจได้” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ
ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ฟอร์สสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับรีบมองไปทางหัวมุมโต๊ะทองแดงยาว
“ท่านเดอะฟูล ดิฉันรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ได้สามหน้าค่ะ”
ไม่เลว… ยิ่งมีสมาชิกมากขึ้น ช่องทางข้อมูลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย ทุกสิ่งกำลังไปได้สวย…
ไคลน์พยักหน้า
“ทำได้ดี”
ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์? อะไรอีกล่ะนั่น…
เอ็มลินรู้สึกราวกับตนใช้คนละภาษากับสมาชิกคนอื่นของชุมนุม
ท่ามกลางการจ้องมองด้วยสายตาสุดฉงนจากแวมไพร์หนุ่ม ฟอร์สก้มหน้า ‘เขียน’ ไดอารีสามหน้าและส่งให้มิสเตอร์ฟูล
ทันใดนั้นเอง ไคลน์เพิ่งนึกได้ว่าตนลืมแนะนำสมาชิกใหม่ จึงเผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมกับหันไปมองทุกคน
“ทางนี้คือสมาชิกใหม่ มิสเตอร์มูน… มิสเตอร์มูน การชุมนุมแห่งนี้มีชื่อว่าชุมนุมทาโรต์ สมาชิกประกอบไปด้วย…”
มิสเตอร์มูนหรอกหรือ… เราเคยคิดว่าไพ่เดอะมูนจะเป็นของผู้หญิงเสียอีก…
ออเดรย์ทักทายอย่างสุภาพพลางวิเคราะห์
และในทางกลับกัน เอ็มลินกำลังตั้งข้อสงสัยว่า สมาชิกชุมนุมทาโรต์เช่นแฮงแมนและจัสติส พวกเขาเป็นมนุษย์จริง หรือเป็นสัตว์วิเศษในรูปร่างมนุษย์กันแน่ รวมไปถึงคำถามว่า คนเหล่านี้อยู่บนเส้นทางใดบ้าง สังกัดองค์กรลับใด และเป็นมิตรกับผีดูดเลือดหรือไม่
ไคลน์ไม่แยแสสายตาระแวงซึ่งกันและกันภายในหมู่สมาชิก ทำเพียงเพ่งสมาธิอ่านเนื้อหาบนไดอารีในมืออย่างตั้งใจ
“11 กุมภาพันธ์ วันนี้เราบังเอิญได้พบกับความลับอันน่าตกตะลึงของตระกูลเซารอนเข้าจนได้ ฮะฮะฮะ! อยากจะขำให้ฟังร่วงหมดปาก! ฮะฮะฮ่าฮ่า! กลายเป็นว่า เส้นทางนักล่าในความครอบครองของพวกมัน จะมีการเปลี่ยนแปลงเพศเมื่อถึงลำดับ 4 เพศชายจะยังคงเดิม แต่เพศหญิงต้องกลายเป็นชาย! หายสงสัยแล้วว่า ทำไมคนรู้จักของเราในตระกูลเซารอนถึงได้เป็นเพศชายเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะบรรดาครึ่งเทพ! ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ ช่างเป็นชายชาตรีสมกับชื่อของโอสถ! ฮะฮะฮ่าฮ่า!”
“ฮะฮะ! ถ้าไม่เพราะเรื่องนี้ถือเป็นความลับละเอียดอ่อน เราคงหาโอกาสกลั่นแกล้งฟลอเร็นในการพบกันคราวหน้า ว่าอย่าได้ใจไปนักเมื่อตระหนักว่าตนมีใบหน้าคล้ายคลึงบรรพบุรุษโด่งดังในอดีต เพราะ ‘เขา’ อาจเคยเป็น ‘เธอ’ มาก่อน! โอสถของโลกนี้ช่างมากมายไปด้วยกับดัก หวังว่าเส้นทางนักปราชญ์ของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงพิสดารในลำดับสูง เราไม่ต้องการเลือกภายหลังว่า จะค้างอยู่ลำดับเดิมตลอดกาล หรือยอมเปลี่ยนเป็นเพศหญิงและบอกลา ‘น้องชาย’ อย่างถาวร”
ความคิดแวบแรกในหัวไคลน์หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ :
จักรพรรดิ… คุณไม่ต้องกังวลว่าจะกลายเป็นเพศหญิง แต่คุณควรกังวลว่า ตัวเองเคยนอนกับแม่มดมาแล้วกี่คน คงไม่ใช่แค่คนหรือสองคนแน่…
ตรงตามสมมติฐานของเรา มีเส้นทางสำหรับเปลี่ยนเป็นเพศชายอยู่จริง และยังเป็นหนึ่งในการคาดเดาของเราคราวก่อน…
‘นักล่า’ คือตัวแทนของการต่อสู้ จึงมีฤทธิ์เปลี่ยนให้หญิงกลายเป็นชายเมื่อถึงลำดับ 4…
แต่แบบนี้ก็ยิ่งน่าแปลก เพราะเส้นทางแม่มดสามารถเปลี่ยนเพศได้ตั้งแต่ลำดับ 7… ทำไมสองเพศถึงมีการเปลี่ยนแปลงคนละลำดับกัน แถมยังห่างกันมาก…
ไคลน์เริ่มตระหนักถึงความบิดเบี้ยวและขาดเหตุผลของโลกผู้วิเศษ ทุกองค์ประกอบล้วนไม่สมมาตรและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
หรือกำลังจะบอกว่า โลกใบนี้มีชะตากรรมต้องถูกครอบงำโดยความบิดเบี้ยว โกลาหล บ้าคลั่ง และไม่สมมาตร?
ชายหนุ่มพยายามไม่ขมวดคิ้วให้ใครเห็น
“12 กุมภาพันธ์ แบบนี้ไม่ดีแน่ เรายับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้เลย คงได้หลุดขำเข้าสักวันขณะกำลังยืนคุยกับฟลอเร็น วะฮะฮะฮ่าฮ่า! 15 กุมภาพันธ์ ปืนใหญ่พิสัยไกลรุ่นดัดแปลงเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราลงมือทำทั้งการออกแบบและควบคุมการผลิต ประสิทธิภาพอาจด้อยกว่าในจินตนาการเล็กน้อย แต่ปัญหาก็มิได้ปรากฏออกมาเด่นชัด ถ้าเริ่มผลิตเป็นจำนวนมากเมื่อไร เราจะแสดงให้โลกเห็นว่ากลศึกสำคัญกับสงครามมากเพียงใด! เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง เราจะจัดงานเลี้ยงอย่างหรูหราขึ้นในคฤหาสน์ และชวนพวกปากเสียซึ่งเคยปรามาสเราไว้ต่างๆ นานา พวกมันจะรู้สึกเหมือนกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง!”
จักรพรรดิยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เปลี่ยน…
ไคลน์เปิดไปยังหน้าสองของไดอารี
“5 พฤษภาคม องค์กรลับห้ามเอ่ยนามได้จัดการชุมนุมขึ้นอีกครั้ง เราทึ่งเสมอเมื่อพวกเขารับสมาชิกใหม่เข้ามา แทบไม่อยากเชื่อว่าบุคคลระดับนี้จะมารวมตัวอยู่ในองค์กรเดียวกัน มันบ้ามาก นี่มันระดับปรากฏการณ์… ไม่สิ… ระดับปาฏิหาริย์! หลังจากรับบทผู้เฝ้ามองมาสักพัก เราตัดสินใจซักถามสมาชิกภายในชุมนุม คำถามก็คือ เมื่อเทียบกันระหว่างลำดับ 0 ของทุกเส้นทางบนศิลาเย้ยเทพ เหตุใดเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ ถึงได้ฟังดูธรรมดานัก ชื่อชั้นมิได้องอาจหรือดุดันสมราคาเทพเหมือนกับเส้นทางอื่น สุภาพบุรุษสูงวัยด้านข้างเรามอบคำตอบเป็นคนแรก เขากล่าวว่า ‘สีชาด’ สื่อถึงภาวะนองเลือดของสงคราม และนักบวชหมายถึงผู้ชำนาญการประกอบพิธีกรรม แต่ใครบางคนคัดค้าน เขากล่าวว่า นักบวชหมายถึงผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าในตัวพระผู้สร้างต้นกำเนิดต่างหาก เราตัดสินใจโน้มตัวไปกระซิบถามชายชราด้านข้างว่า เขาชื่ออะไร แม้จะเป็นสมาชิกมาสักพักแล้ว แต่เรายังจำใบหน้าและชื่อสมาชิกได้ไม่ครบทุกคน เรียกว่าจำได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น”
“สุภาพบุรุษสูงวัยยิ้มและตอบกลับมา… เฮอร์มิส! ใช่แล้ว เฮอร์มิส! หูของเราไม่ได้ฝาด! เฮอร์มิสผู้สร้างภาษาเฮอร์มิสโบราณ! เฮอร์มิสผู้เป็นบิดาแห่งศาสตร์เร้นลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนั้น!”
……………………