ณ เมืองเล็กแห่งหนึ่งรอบนอกเบ็คลันด์
หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแห้งและสะอาดสะอ้าน ไคลน์บรรจงวางธนบัตรเปียกเรียงรายบนโต๊ะทีละใบ รอให้พวกมันแห้งตามกระบวนการธรรมชาติด้วยอุณหภูมิห้อง
ขณะตั้งใจเรียง มันขยับปลายนิ้วอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ กระทั่งการจามหรือไอซึ่งยังป่วยค้างคาก็ยังถูกฝืนข่มไว้
เพื่อมิให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ไคลน์ตัดสินใจไม่ใช้พลังควบคุมไฟกับธนบัตรแสนมีค่า
หลังจากจัดการตาก มันเดินตรงไปยังมุมห้องของโรงแรม ณ ตรงนั้นมีกระจกเงาเต็มบานแผ่นใหญ่
เส้นผมสีดำเงางามของไคลน์ถูกหวีเรียบ ชายหนุ่มมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าผอมเพรียว และปลางคางเรียวแหลม
สวมแว่นตากรอบทองภูมิฐาน รอบริมฝีปากปราศจากหนวดเครา ใบหน้าค่อนไปทางอ่อนเยาว์แต่ไม่อ่อนต่อโลก
รูปลักษณ์ในปัจจุบันถูกดัดแปลงมาจากใบหน้าเดิมของโจวหมิงรุ่ย แต่ยังเจือกลิ่นอายของชาวทวีปเหนือไว้เพื่อมิให้ผิดแผก
มันเลือกใช้ใบหน้ากระฉับกระเฉงสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย มิใช่ใบหน้าอวบอูมหลังจากเข้าสังคมการทำงาน
ไคลน์เตรียมกลับไปยังเบ็คลันด์หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายเริ่มซาลง จุดประสงค์เพื่อจัดหาเอกสารยืนยันตัวตนให้กับรูปโฉมใหม่ในปัจจุบัน
เทียบกับสมัยทิงเก็น มันมิได้ขาดแคลนช่องทางค้าขายเหมือนกับในอดีต ปัจจุบันมีทั้งเด็กหนุ่มเอียนจากผับวีรบุรุษ มาดามชารอนกับชุมนุมลับของเธอ รวมไปถึงยอดนักสืบไอเซนการ์ด·สแตนธอนผู้เป็นเจ้าของชุมนุมลับเสียเอง
คิดถึงจังแฮะ…
ไคลน์จ้องกระจกพลางพึมพำ ก่อนจะลงมือประกอบพิธีกรรมภายในห้องซึ่งม่านถูกขึงมิดชิดรอบด้าน อันดับแรก มันต้องการส่ง ‘ยุบพองหิวโหย’ ขึ้นไปบนมิติสายหมอกเทาเพื่อศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างละเอียด
ท่ามกลางวังโบราณบรรยากาศเงียบเชียบ ไคลน์ปรากฏตัวบนเก้าอี้มุมโต๊ะทองแดงยาว แผ่นหลังเอนพิงพนักพลางถือถุงมือบางเฉียบซึ่งถูกสร้างจากผิวหนังของมนุษย์
โดยไม่รีรอ มันหลับตาลงและแผ่พลังวิญญาณเข้าไปในวัตถุซึ่งถูกผนึกมาอย่างดี
ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงความหิวกระหายราวกับกระเพาะอาหารไม่มีวันถูกเติมเต็มจากถุงมือหนังตรงหน้า แต่คงเป็นเพราะกำลังอยู่บนห้วงมิติเหนือสายหมอก ถุงมือเจ้าปัญหากลับเชื่องจนผิดวิสัย ไม่กล้าปลดปล่อยแม้แต่เศษเสี้ยวของความมุ่งร้าย คล้ายกับหมาล่าเนื้อกำลังนอนหมอบข้างเจ้าของอย่างว่าง่าย
ยิ่งสำรวจ ไคลน์ก็ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางอย่างคับแค้นและเจ็บปวดจากภายใน
ทันใดนั้น ทั้งใบหน้าเศร้าโศก ใบหน้าเกลียดชัง และใบหน้าบิดเบี้ยวจำนวนหนึ่งเริ่มปรากฏในนิมิตวิญญาณ ทุกใบหน้ากำลังท่วมท้นไปด้วยกลิ่นอายความบ้าคลั่งและโหยหาเหนือพรรณนา
แต่ละใบหน้าผสานเป็นหนึ่งเดียวกับตะกอนพลังต่างสีสันและต่างสถานะ โดยไม่ว่าไคลน์จะแผ่พลังวิญญาณเข้าไปหาตะกอนพลังชนิดใด มันจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าและมอบพลังพิเศษให้ไคลน์ยืมใช้ชั่วคราว
นี่คือวิธีใช้งาน…?
ไคลน์สำรวจดวงวิญญาณทั้งห้าภายในยุบพองหิวโหยพลางใช้พลังทำนายทดสอบควบคู่ไปด้วย สำหรับดวงวิญญาณเหล่านี้ ตนสามารถ ‘ปล่อยกินหญ้า’ ได้อย่างอิสระของเพียงเพ่งจิตนึกคิด
ดวงแรก ‘ผู้ไร้หน้า’ มีเพียงพลังเปลี่ยนแปลงใบหน้าและร่างกายเล็กน้อย
ดวงสอง ‘นักจิตบำบัด’ สามารถทำให้เป้าหมายบ้าคลั่ง สามารถฝังการชี้นำทางจิตอย่างลับ ๆ ใส่เป้าหมาย และสามารถปลดปล่อย ‘ฤทธิ์มังกร’ สำหรับข่มขู่กลุ่มคนหรือบุคคลให้เกิดความโกลาหลได้
ดวงสาม ‘นักสอบสวน’ ช่วยให้ผู้สวมถุงมือเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด ชำนาญการใช้ระเบิด มีจิตใจเข้มแข็ง และสามารถเสียดแทงใส่ดวงวิญญาณเป้าหมายได้โดยตรง
ดวงสี่ ‘ฝันร้าย’ มีพลังแค่ชนิดเดียว นั่นคือการดึงเป้าหมายให้ตกอยู่ในภวังค์ความฝันโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพลังมิได้ถูกใช้ผ่านร่างกายผู้สวม แต่เป็นการใช้ผ่านยุบพองหิวโหย ผู้สวมถุงมือจึงยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระขณะเหยื่อตกอยู่ในภวังค์
ดวงห้า ‘นักบวชแสง’ มีพลังในการสร้างแสงทรงกลดเพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดหรือชั่วร้ายภายในรัศมีรอบตัว รวมถึงมีทักษะด้านร้องเพลงปลุกใจของนักขับขาน ช่วยให้พวกพ้องแข็งแกร่งขึ้นจากปรกติเล็กน้อย และยังสามารถสร้างแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นรอง ‘ยันต์เพลิงสุริยัน’ เพียงไม่มาก
ยุบพองหิวโหยสามารถกักเก็บวิญญาณได้สูงสุดห้าดวง…
หลังจากกลืนดูดวิญญาณใหญ่เข้าไป การ ‘ปล่อยกินหญ้า’ ครั้งแรกจะสุ่มทักษะออกมาตั้งแต่หนึ่งถึงสามชนิดโดยไม่สามารถเลือกเองได้ และทักษะชุดดังกล่าวจะคงอยู่ถาวรจนกว่าจะปลดปล่อยดวงวิญญาณนั้นให้เป็นอิสระ…
ไคลน์พยักหน้าพลางครุ่นคิด ตามด้วยการถอนหายใจยาวและกล่าวกับดวงวิญญาณอันเจ็บปวดทรมานทั้งห้า
“เราไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเคยเป็นใครในอดีตมาก่อน เราจะค่อย ๆ มอบอิสระอันเป็นนิรันดรคืนกลับไปให้พวกเจ้าทุกคน และในอนาคต เราขอสัญญาว่าดวงวิญญาณใหม่ซึ่งจะนำมากักขังไว้ในถุงมือ ต้องเป็นดวงวิญญาณของคนชั่วช้าเกินกว่าจะได้รับการอภัยเท่านั้น หลังจากเราฆ่าผู้วิเศษและกักขังมันไว้ภายใน เราจะปล่อยหนึ่งในพวกเจ้าออกไปทีละคนโดยไม่สนว่าพลังนั้นจำเป็นหรือไม่”
เสียงอ่อนโยนแต่แฝงความขึงขังของชายหนุ่มกำลังก้องกังวานท่ามกลางราชวังโบราณ
เพียงพริบตา อารมณ์อาฆาตและเสียงโหยหวนเริ่มบรรเทาอย่างเห็นได้ชัด มิได้พยายามอาละวาดและต่อต้านเหมือนกับช่วงแรก
ฟู่ว!
ถอนหายใจโล่งอก ไคลน์ลืมตาขึ้นพลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาวและพึมพำกับตัวเอง
พลังผู้ไร้หน้าซ้อนทับกับเรา หมายความว่าดวงวิญญาณนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากเราหาดวงวิญญาณอื่นมาทดแทนได้เมื่อไร คงต้องปล่อยผู้ไร้หน้าออกไปเป็นลำดับแรก
ถ้าวันนั้นมาถึง เราคงต้องหาโอกาสสื่อวิญญาณเพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น บางทีอาจได้รับเบาะแสสำคัญของเส้นทางนักทำนาย หรือไม่ก็วิธีการค้นหานางเงือก…
ไม่สิ… เราไม่จำเป็นต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณใหม่มาทดแทน สามารถปล่อยออกไปได้ทันที…
ตกลงตามนี้… ในอีกสองสามวันข้างหน้า รอให้อาการหวัดหายขาด เราจะปลดปล่อยผู้ไร้หน้าและทำการสื่อวิญญาณ…
ขณะเดียวกัน ดวงวิญญาณของนักบวชแสงก็สามารถเติมเต็มสูตรโอสถนักบวชแสงอันไม่สมบูรณ์ในมือเราได้พอดิบพอดี… นอกจากนั้น เมื่อดวงวิญญาณสลายตัว เราจะได้รับตะกอนพลังของเส้นทางดังกล่าวมาครอบครอง…
หมายความว่า เดอะซันน้อยไม่ต้องกังวลกับการเลื่อนลำดับอีกต่อไป ดวงวิญญาณของนักบวชแสงจะถูกปล่อยเป็นลำดับสอง…
สำหรับเรา การต้องคอยป้อนเลือดเนื้อและวิญญาณของมนุษย์ให้ยุบพองหิวโหยภายในหนึ่งวันหากมีการนำพลังมาใช้ เรื่องนี้ไม่ค่อยน่ากังวลสักเท่าไร เพราะเราจะไม่ใช่มันในยามปรกติอยู่แล้ว การยืมพลังแต่ละครั้งจะต้องเข้าตาจนอย่างแท้จริง และในสงครามประเภทดังกล่าว ซากศพสังเวยคงมีจำนวนเกลื่อนกลาด…
หรือต่อให้ไม่มีเหยื่อเหมาะสม เราก็แค่โยนยุบพองหิวโหยกลับเข้าไปในมิติสายหมอกโดยไม่ต้องกังวลผลลัพธ์ตามมา มันไม่มีทางกินเราภายในมิติเหนือสายหมอกได้อยู่แล้ว อย่างมากก็คงใช้การไม่ได้ไปสักระยะ…
ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งพลางใช้สมบัติวิเศษสุดอันตราย ยุบพองหิวโหย เป็นสื่อกลางสำหรับทำนายถามโอสถเส้นทางคนเลี้ยงแกะ
แต่ผลลัพธ์กลับออกมาล้มเหลว
ชายหนุ่มไม่กล้าถามถึง ‘ต้นกำเนิด’ ของถุงมือหนังมนุษย์ข้างนี้ เนื่องจากเกรงว่าตนอาจได้ ‘เห็น’ บุคคลไม่พึงประสงค์เข้า
จริงอยู่ ไคลน์มั่นใจว่าตนไม่มีทางถึงแก่ความตายถ้ามีมิติสายหมอกช่วยแทรกแซงและขัดขวางพลังไว้บางส่วน แต่มันกังวลว่าการทำเช่นนั้นจะส่งผลให้ยุบพองหิวโหยเสียหายหรือถูกปนเปื้อน
ไว้ค่อยทดสอบหลังจากไม่ใช้งานมันแล้ว…
ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าพลางกดศอกเท้ากับพนักแขน
ไคลน์นั่งทบทวนทุกเหตุการณ์ก่อนหน้าอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้เบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ รอดพ้นสายตา
ไม่ผิดแน่… หลังจากผิวนอกของมาสเตอร์คีย์ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ตะกอนพลังของมันจะไม่ปรากฏทันที แต่ถือกำเนิดใหม่เป็นละอองแสงสีขาวระยิบระยับ จากนั้นจึงพยายามรวมตัวเป็นตะกอนพลังชนิดใหม่…
เราสามารถอนุมานได้ว่า ตะกอนพลังใหม่จะไม่มีคำสาปเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูแฝงอยู่…
หรือสรุปโดยสั้น วิธีนี้สามารถใช้แยกจิตปนเปื้อนออกจากตะกอนพลังได้เช่นกัน!
แต่ปัญหาคือ ในสถานการณ์ปรกติ ตะกอนพลังแทบไม่มีทางถูกทำลายได้เลย จำเป็นต้องผ่ากระบวนการพิเศษอย่างมาก…
สำหรับในตอนนั้น เราอาศัยความยิ่งใหญ่ของพิธีกรรมขณะมิสเตอร์ A พยายามส่งเทพลงมาจุติบนโลก ผนวกกับอิทธิพลของม่านแสงปริศนาและอารมณ์ด้านลบอันเข้มข้น…
เช่นเดียวกัน หากดวงตาดำล้วนของโรซาโก้แตกละเอียด จิตกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริงซึ่งฝังอยู่ภายในก็จะออกมาสัมผัสกับอากาศ แล้วแบบนั้นใครจะทนรับไหว?
หรือเราควรทำบนมิติเหนือสายหมอก?
ขณะคิดเรื่อยเปื่อย ไคลน์พลันเป็นกังวลถึงสถานการณ์ทางฝั่งเขตตะวันออก จึงรีบเสกปากกากับกระดาษและเริ่มทำนายด้วยคำถามสอดคล้อง
แต่เมื่อได้รับคำตอบ สีหน้าชายหนุ่มพลันดำมืดเจือความหดหู่ แผ่นหลังค่อย ๆ เอนพิงพนักอย่างเชื่องช้า
เบื้องล่างไคลน์ยังคงเป็นทุ่งสายหมอกสีเทากว้างไกลไม่แปรเปลี่ยน และคล้ายกับจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล
…
ออเดรย์กำลังยืนข้างหน้าต่าง จ้องมองหมอกหนาทึบปะปนกับสายฝนซึ่งโปรยปรายอย่างผิดธรรมชาติในฤดูหนาว
ปัจจุบัน บนท้องฟ้าแทบไม่เหลืองหมอกควันสีเหลืองซีดผสมดำเหล็กแล้ว สีหน้าแววตาเด็กสาวจึงเผยความโล่งใจอยู่หลายส่วน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เธอและซูซี่ได้รับการบอกให้เดินออกไปต้อนรับเอิร์ลฮอลล์ ผู้เพิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านพ่อ เป็นอย่างไรบ้างคะ?” ออเดรย์ซักถามอย่างกังวล
เอิร์ลฮอลล์ยิ้มให้บุตรสาวขณะถอดเสื้อคลุมส่งคนรับใช้ชายประจำตัว
“ปัญหาถูกสะสางแล้ว แต่รายละเอียดข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่างในหลายเรื่อง เจ้าหญิงน้อยของพ่อ คราวนี้เจ้าช่วยพ่อได้มากทีเดียว ควรค่าแก่การถูกประดับเหรียญกล้าหาญ!”
ดีจัง… ดีจังเลย…
ขอบคุณท่านเดอะฟูล ขอบคุณการเสี่ยงอันตรายของข้ารับใช้ของท่าน ชุมนุมทาโรต์ของพวกเราจึงขัดขวางการลงมาจุติของเทพมารสำเร็จได้อีกครั้ง พวกเราคือผู้กอบกู้โลก!
จิตใจออเดรย์กำลังชุ่มฉ่ำด้วยความภูมิใจ
เอิร์ลฮอลล์รับผ้าขนหนูจากสาวใช้ประจำคฤหาสน์และนำมาซับใบหน้า
“ตอนนี้ยังเหลือปัญหาตามมาอีกเป็นพรวน พ่อไม่อยากเชื่อเลยว่า หมอกหนาทึบเหนือท้องฟ้ากรุงเบ็คลันด์เมื่อครู่จะแฝงด้วยอันตรายถึงเพียงนี้… มีการคาดเดาเบื้องต้นไว้ว่า ประชาชนในเขตตะวันออก ย่านโรงงาน และย่านท่าเรือ เสียชีวิตทันทีไม่ต่ำกว่าหมื่นคน นอกจากนั้นยังหลงเหลือโรคระบาดรุนแรงแพร่กระจายเป็นวงกว้าง เจ้ายังไม่ควรออกไปไหน”
เสียชีวิตมากกว่าหนึ่งหมื่นคน…?
จำนวนคนเท่ากับตัวเลขดังกล่าว ออเดรย์อาจนึกภาพตามได้ไม่ยาก แต่เธอยังคงจินตนาการไม่ออกว่า คนจำนวนมหาศาลเหล่านั้นจะเสียชีวิตพร้อมกันในลักษณะใด
สำหรับหญิงสาว การจะได้เห็นผู้คนหลักหมื่นในคราวเดียวพร้อมกัน ต้องเป็นเทศกาลใหญ่อย่างขบวนแห่ของราชวงศ์ในวันครอบรอบการก่อตั้งอาณาจักรเท่านั้น
ทว่า ถึงจะนึกภาพไม่ออก แต่ก็มิได้ทำให้เธอเสียใจน้อยลงแต่อย่างใด
…
เดซีย์กำลังยืนเหม่อลอยหน้าบ้านของตน สายตาจ้องมองกลุ่มแพทย์และพยาบาลในชุดโค้ทสีขาวสวมหน้ากาก เดินเข้าไปในบ้านและเคลื่อนย้ายศพออกมา
เด็กหญิงทราบผลลัพธ์มานานแล้ว ดวงตากำลังว่างเปล่า สีหน้าด้านชาปราศจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง ขาสองข้างขยับเดินไปทางประตูบ้านโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น ตำรวจผู้คอยยืนกั้นจุดเกิดเหตุรีบเข้ามาขวางไว้
“ตรงนี้ห้ามผ่าน อยากติดเชื้อโรคหรือไง!”
เดซีย์ทำได้เพียงยืนนิ่ง จ้องมองศพมารดาของตน ไลฟ์ กำลังนอนกอดพี่สาว เฟรย่า อย่างแนบแน่นในวาระสุดท้าย ศพคนทั้งสองถูกยกขึ้นไปบนรถข้นสินค้าคลุมผ้าดำซึ่งถูกดัดแปลงเป็นรถขนศพชั่วคราว
เด็กหญิงจ้องมองศพคนในครอบครัวค่อย ๆ ถูกคลุมด้วยผ้าขาว และนำไปวางเรียงไว้ข้างศพอื่นอีกมากมาย
รถขนศพออกตัวแล่นไปอย่างมั่นคง
ทันใดนั้น คล้ายกับเดซีย์เพิ่งได้สติ เธอรีบวิ่งตามรถขนศพเต็มฝีเท้า หวังไล่หลังไปให้ทัน
ทว่า เนื่องจากบนพื้นเต็มไปด้วยคราบโคลนเพราะฝนตกหนัก เด็กหญิงจึงล้มลุกคลุกคลานหลายหนจนร่างกายสกปรกมอมแมม
แต่ไม่ว่าจะวิ่งสักเท่าไร เธอก็ไล่รถม้าคันดังกล่าวไม่ทันสักที จนกระทั่งมันหักเลี้ยวหายไปตรงหัวมุมถนน
เดซีย์ลดฝีเท้าลง ร่างกายเริ่มสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุม หัวสมองขาวโพลนล่องลอย
เด็กสาวเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาจ้องมองไปยังหัวมุมถนนซึ่งรถขนศพเคยแล่นผ่าน
เมื่อแข้งขาปราศจากเรี่ยวแรง เดซีย์คร่ำครวญด้วยหัวใจแตกสลาย
“คุณแม่… เฟรย่า…”
เสียงของเด็กหญิงทั้งแผ่วเบา อ่อนแรง และล่องลอย
ในวินาทีนี้ ทั่วทั้งเขตตะวันออก ย่านท่าเรือ และย่านโรงงาน กำลังระงมไปด้วยเสียงสะอื้นของครอบครัวผู้สูญเสียนับหมื่น
…
เขตราชินี บรมมหาราชวังโซเดอร์แล็ค
ในสภาพสวมมงกุฎเหนือศีรษะ ใบหน้าขึงขังเด็ดเดี่ยว หนวดถูกตัดแต่งจนเรียวงาม
กษัตริย์จอร์จที่สามกำลังนั่งบนบัลลังก์พลางจ้องมองเอิร์ลราชสำนักตรงหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน
“ฝ่าบาทขอรับ คนจากสามโบสถ์หลักกำลังรออยู่ด้านนอกและต้องการคำอธิบายจากท่าน” เอิร์ลราชสำนักกล่าวขณะเหงื่อเม็ดใหญ่กำลังไหลซึมบนหน้าผาก
“คำอธิบายอะไรอีก! องค์ชายเอ็ดซัคถูกแม่มดล่อลวงและสมคบคิดกับนิกายนอกรีตเพื่อก่อกบฏ นั่นคือคำอธิบายของเรื่องนี้! แผนการของมันถูกเปิดโปงอย่างไร้ข้อกังขาจากหน่วยสืบสวน และตัวการต้นเรื่องก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว พวกเขายังต้องการคำอธิบายใดอีก!” จอร์จที่สามแผดเสียงตวาดด้วยโทสะคุกรุ่น
ตามด้วยการสูดลมหายใจยาว พยายามเรียกคืนความเยือกเย็น
“ถ้าอย่างนั้น บอกกับพวกเขาไปว่า ขุนนางทั้งหมดในอาณาจักร ไม่ว่าจะได้รับตำแหน่งมาด้วยวิธีใด ทุกคนจะมีสิทธิ์เข้าร่วมสภาขุนนางนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป! ข้อกำหนดในการลงสมัครเลือกตั้งจะถูกผ่อนปรนลงจากเดิม และเขตเลือกตั้งไม่ผ่านเกณฑ์จะต้องถูกยกเลิก สิ่งเหล่านี้คงพอจะปลอบใจบรรดานายธนาคารและเจ้าของโรงงานได้บ้าง และเช่นเดียวกัน คณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติจะต้องสรุปผลลัพธ์การตรวจสอบโดยด่วน ร่างกฎหมายเกี่ยวข้องจะถูกเร่งรัดให้ผ่านเร็วขึ้น กฎหมายความปลอดภัยพื้นฐานของโรงงานและชั่วโมงทำงานจะต้องเป็นรูปเป็นร่างในอนาคตอันใกล้ กฎหมายคนจนจะถูกเขียนขึ้นใหม่โดยอิงจากความต้องการของพวกเขาเป็นหลัก… ไม่เพียงเท่านั้น สามโบสถ์หลักสามารถส่งคนของตนมาแฝงตัวทำงานในกองทัพได้!”
“ฝ…ฝ่าบาท…”
เอิร์ลราชสำนักพลันหน้าซีด
การยอมผ่อนปรนถึงระดับนี้ มันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าราชวงศ์จะกล้าเสนอ
โดยเฉพาะข้อสุดท้าย
จอร์จที่สามแผดเสียงขึงขัง
“จงนำเจตนารมณ์ของเราไปแจ้งให้คนของโบสถ์ด้านนอกทราบโดยทั่วกัน! ในเมื่อพวกเขาต้องการคำสั่ง! ก็จงน้อมรับคำสั่ง!”
“ขอรับ ฝ่าบาท!” เอิร์ลราชสำนักไม่กล้ายืนอยู่นาน รีบเดินออกจากวังหลวงทันที
จอร์จที่สามนั่งนิ่งบนบัลลังก์สักพักใหญ่ จนดูคล้ายกับรูปปั้นหินอ่อนไม่เคลื่อนไหว
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ
แววตาของมันเริ่มเผยความอ่อนโยน
……………………