Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1061 : ความฝันของใคร

วันศุกร์ยามเย็น ภายในห้องนอนของออเดรย์

หลังจากได้รับสัญญาณ โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่เปิดประตูออกไปนอกห้องด้วยตัวเองและนั่งเฝ้า ป้องกันมิให้ใครมารบกวน

ออเดรย์นำตะกอนพลังนักท่องฝัน วัตถุดิบเสริม และอุปกรณ์เสริมออกมาจากจุดที่ซ่อนไว้ วัตถุดิบเสริมและอุปกรณ์ในการผสมถูกส่งมาจากเมืองเงินพิสุทธิ์โดยแลกกับคะแนนผลงานไม่มากนัก สำหรับค่าตอบแทนของเดอะซัน ออเดรย์ยังไม่ได้จ่ายเพราะเดอะซันน้อยยังไม่มีสิ่งที่ต้องการ

หลังจากโอสถถูกปรุงขึ้นอย่างชำนาญ ออเดรย์มองไปยังของเหลวสีหม่นที่มีจุดแสงสีเทาอ่อนพร้อมกับก้าวถอยหลังและประสานมือใต้ปาก พึมพำเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณเสียงต่ำ

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

ทันทีที่คำสวดจบลง เงาดำจำนวนมากที่ยากจะอธิบายรูปลักษณ์ปรากฏขึ้น

พวกมันล่องลอยและถักทอตัวเองราวกับกำลังแหวกว่ายในทะเล และที่ด้านบนของท้องทะเลมีแสงเจ็ดสีที่แตกต่างซึ่งคล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความรู้อันไร้จุดสิ้นสุด

เหนือแสงบริสุทธิ์ทั้งเจ็ดเป็นสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต เหนือสายหมอกมีพระราชวังตั้งเด่นตระหง่านอย่างสง่างาม

ทันใดนั้นประตูของวังถูกเปิดออก ร่างสีทองปรากฏกายพร้อมกับสยายปีกเปลวเพลิงสิบสองคู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ร่อนลงมายังด้านหน้าออเดรย์

ปีกเพลิงทั้งสองสิบคู่ค่อยๆ โอบกอดหญิงสาวผมทองไว้ด้านในทีละชั้น

ฉากดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งถึงสองวินาทีก่อนจะหายไป ทุกสิ่งดูคล้ายกับเป็นเพียงภาพมายา แต่ออเดรย์ก็ยังคงดื่มด่ำความซาบซ่านที่เกิดขึ้นแม้จะเคยสัมผัสมาแล้วหลายหน

ผ่านไปสักพัก หญิงสาวสงบสติอารมณ์พร้อมกับกล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูล

ด้วยอ้อมกอดเทวทูตเมื่อครู่ เธอสามารถคงสติในความฝันได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าจะติดอยู่ด้านในและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

และนั่นเทียบเท่ากับการประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นนักท่องฝัน แถมประสิทธิภาพก็ยังยอดเยี่ยมกว่าต้นฉบับ

ไม่ใช่นักสะกดจิตทุกคนที่จะได้รับอ้อมกอดเทวทูตจากตัวตนลึกลับแบบเรา… ออเดรย์เธอทำได้แน่! หญิงสาวพึมพำสองสามคำพร้อมกับสลัดความลังเล หยิบขวดแก้วขึ้นมาและกรอกโอสถเข้าปากอึกอึก

รสชาติของโอสถมิได้เลวร้ายอย่างที่คิด เปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ และขมติดปลายลิ้น ผลของมันทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการตื่นเต้นและประสาทหลอน ราวกับเป็นความฝันที่สมจริงซึ่งชวนให้ไหลไปตามอารมณ์

ยังไม่ทันที่ออเดรย์จะได้สัมผัสถึงอิทธิพลจากโอสถ จิตของเธอตื่นขึ้นท่ามกลางภวังค์ล่องลอย

มองออกไปนอกหน้ากริด เธอเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าและแปรเปลี่ยนกลางคืนให้เป็นยามเช้า

ภายในสวน ดอกไม้กำลังผลิบานและมีหยดน้ำค้างไหลรินออกจากยอดหญ้าสีเขียว

คล้ายกับออเดรย์เป็นเจ้าของโลกใบนี้ ท่ามกลางสติที่ล่องลอย เธอมองเห็นฉากหนึ่งจากมุมสูง

พ่อและแม่ของเธอกำลังเดินจับมือกันเดินไปในทางเดินสวน อาบแดดยามเช้าพลางสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้

ฉากเปลี่ยนไป พี่ชายทั้งสองของเธออย่างอัลเฟรดและฮิบเบิร์ตต่างกำลังขี่ม้านำเหล่าคนรับใช้ตรงไปทางป่าเขตชานเมืองพลางหัวเราะร่วน ต่างฝ่ายต่างเกทับกันว่าใครจะล่าสัตว์ได้มากกว่า

ฉากเปลี่ยนไปอีกครั้ง ภายในบรมมหาราชวังโซเดอร์แล็คแห่งโลเอ็น เหล่าเอกอัครราชทูตและผู้แทนพิเศษของจักรวรรดิฟุซัค อินทิส และเฟเนพ็อตต่างลงนามในสัญญาเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้นอีก ในเวลาเดียวกันกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าก็เริ่มสลายตัว

สถานการณ์ด้านหมอกควันของกรุงเบ็คลันด์ดีขึ้นมาก โรงงานทุกแห่งผ่านการตรวจสอบมาตรฐานสองชั้นจากทั้งคณะกรรมการแอลคาไลน์และคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ นอกจากนั้นยังส่งเสริมมาตรฐานนี้ออกไปยังอาณาจักรข้างเคียง

รัฐบาลจะรับปากกับบรรดาแรงงานว่าจะกำหนดชั่วโมงทำงานสูงสุดและช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน ส่วนอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนคนไร้บ้านลดน้อยลงอย่างมาก นอกจากนั้นรัฐบาลยังมอบสวัสดิการจำนวนหนึ่งให้แก่พลเมือง

แรงงานจำนวนมากมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อจักรยาน บนท้องถนนจึงคลาคล่ำไปด้วยฝูงจักรยานที่ดูเหมือนกับกองทัพ ต่างคนต่างขี่ไปยังคนละทิศทางพลางกดกริ่งขอทาง

เด็กๆ ไม่ต้องทำงานในโรงงานอีกต่อไปแล้ว ทุกคนสามารถหัวเราะและวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานเข้าไปในห้องเรียนที่มีหน้าต่างสว่างๆ และเก้าอี้สะอาดสะอ้าน สามารถนั่งฟังครูสอนได้อย่างมีสมาธิ หรือหากเด็กคนใดไม่อยากเรียน นั่นก็เป็นความต้องการของเจ้าตัว ไม่ใช่เพราะขาดโอกาส

สตรีมิได้ถูกกีดกันทางเพศเหมือนสมัยก่อน แม้แต่สาวใช้ซักผ้าก็มีสิทธิ์ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนเพื่อมองหางานที่ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว ครูสอนหนังสือ ตำรวจ ทหาร คนงานเหมือง และข้าราชการ กล่าวอีกนัยหนึ่งสตรีจะถูกพบเห็นได้ทั่วไปในทุกสายงานที่เป็นทางการ

เครื่องจักรรุ่นใหม่ๆ ผุดขึ้นถามถนนและตรอกซอกซอยเพื่อนำพาความสะดวกสบายมายังประชาชน

ณ จัตุรัสหน้าวิหารแห่งรัตติกาล นกพิราบขาวบินขึ้นลงเป็นครั้งคราวโดยที่ด้านล่างมีผู้คนนั่งอย่างสงบหรือไม่ก็เล่นเครื่องดนตรี ดื่มด่ำไปกับความสงบสุขของชีวิต

สิ่งเหล่านี้คืออนาคตที่ออเดรย์ฝันถึง นอกจากนั้นผู้วิเศษไร้สังกัดก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ขอเพียงเข้ารับการตรวจร่างกายและสภาพจิตใจอย่างต่อเนื่อง ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผย รวมถึงใช้พลังหาเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

งดงามเหลือเกิน… ถ้าไม่ใช่เพราะสติยังกระจ่างชัด เราคงหลงมัวเมาไปกับฉากตรงหน้า เลิกสนใจที่จะควบคุมตัวเองและปล่อยร่างกายเดินไปกับพ่อและแม่ หรือไม่ก็ติดตามพี่ชายเข้าไปล่าสัตว์ในป่า หรือไม่ก็ไปสอนหนังสือเด็กๆ ในโรงเรียน มุ่งหน้าทำงานหนักเพื่อสร้างสันติภาพให้โลกใบนี้โดยไม่ได้ตระหนักถึงความจริง… ออเดรย์จ้องมองความฝันพลางถอนหายใจเงียบ

จากนั้นเธอส่งวิญญาณดาราของตนลอยสูงขึ้นจนทะลวงผ่านม่านหมอกสีเทา

หญิงสาวพบว่าความฝันของตนมีลักษณะคล้ายฟองสบู่ขนาดใหญ่ที่เติบโตขึ้นจากเกาะแห่งสติและปกคลุมมันไว้

ทุกด้านของ ‘ฟองสบู่’ ดังกล่าวถูกล้อมไว้ด้วยหมอกสีเทา หากมองจากระยะไกลจะเห็น ‘ฟองสบู่อื่นๆ’ อย่างเลือนรางโดยที่ด้านล่างของทุกฟองคือแต่ละเกาะแห่งจิตใต้สำนึก

ลึกเข้าไปภายในหมอกสีเทา ด้านล่างมีเพียง ‘คลื่นแสง’ ที่เงียบเชียบและไม่สั่นคลอน

ทะเลจิตใต้สำนึกรวม… นี่คือฉากของโลกแห่งจิตที่นักท่องฝันมองเห็น… มีเพียง ‘จอมบงการ’ ที่ทรงพลังเท่านั้นจึงจะมีพลังพอสำหรับการแทรกแซงทะเลจิตใต้สำนึกรวม… ออเดรย์ผงกศีรษะด้วยความกระจ่างพร้อมกับถอนสายตากลับ โดยไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติม เธอรีบบังคับตัวเองให้ออกจากความฝัน

ภาพการมองเห็นของหญิงสาวกลับมาเป็นปรกติในทันที ด้านนอกยังคงมืดและมีเพียงแสงไฟจากภายในสวน

ออเดรย์รีบมองกระจกบานใหญ่ภายในห้องนอนและไม่พบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากนัก จนกระทั่งสำรวจอย่างละเอียดจึงได้ทราบว่าดวงตาสีเขียวของตนทวีความลุ่มลึกและคมชัดกว่าเดิม ราวกับสามารถสะท้อนดวงวิญญาณของผู้อื่นได้

หลังจากหลับตาลงและจับประเด็นความรู้ที่โอสถมอบให้ ออเดรย์เริ่มเข้าใจหลักการของพลังนักท่องฝัน

เธอสามารถสืบข้อมูลหรือสร้างอิทธิพลกับศัตรูผ่านการชี้นำและดัดแปลงความฝัน

พลังชนิดนี้สามารถใช้งานได้สองรูปแบบ

แบบแรกคือการ ‘ชี้นำ’ ซึ่งคล้ายกับพลัง ‘ฝันร้าย’ ของเส้นทางรัตติกาล กระทำได้โดยการชักนำให้เจ้าของความฝันลงทำสิ่งสร้างๆ ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในความฝัน ส่วนใหญ่มักใช้ในการแอบดูความลับของเป้าหมาย จุดที่นักท่องฝันแตกต่างจากฝันร้ายก็คือ ฝันร้ายสามารถบังคับดึงศัตรูเข้าไปในความฝันทันที แต่นักท่องฝันจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับพลังสะกดจิต

แบบที่สองคือการ ‘ปรับแต่ง’ ความฝันของเป้าหมายเพื่อสร้างอิทธิพลใดอิทธิพลหนึ่งเป็นเวลานาน ส่งผลให้เหยื่อลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยทำได้โดยไม่รู้ตัว หลักการของการ ‘ปรับแต่ง’ ความฝันก็คือ ใช้ความฝันของเหยื่อเป็นจุดตั้งต้นและใช้วิญญาณดาราเป็นตัวกระตุ้น ค่อยๆ กัดกร่อนร่างวิญญาณของเป้าหมายเพื่อให้กระทบกระเทือนไปถึง ‘กายปัญญา’ จนกระทั่งประสบความสำเร็จในการฝังจิตใต้สำนึกใหม่ในที่สุด เมื่อเทียบกับวิธีสะกดจิต การควบคุมผ่านความฝันนั้นนุ่มนวลและมิดชิดมากกว่า ยากที่จะสังเกตเห็นและเหมาะกับเป้าหมายในระดับสูง

ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ารักแรกพบในหลายๆ กรณีอาจมีผลมาจากการถูกปรับแต่งความฝัน… อา… มีนิยายรักๆ ใครๆ หลายเรื่องที่ตัวเอกหญิงมักฝันถึงหนุ่มหล่อรูปงามและโรแมนติก และเมื่อพวกหล่อนได้พบเจอผู้ชายที่คล้ายคลึงกันในโลกความจริง จึงเกิดตกหลุมรักอย่างโงหัวไม่ขึ้นทันที… ออเดรย์นึกถึงนิยายที่เคยอ่านสมัยเด็กพลางมองเป็นเรื่องขบขัน

สำหรับหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นพลังชี้นำหรือปรับแต่งความฝัน นั่นยังไม่ใช้การยกระดับที่ชัดเจนจากนักสะกดจิต นอกจากนั้นเธอยังมีอีกหนึ่งพลังที่โปรดปรานมากกว่า นั่นก็คือ ‘ท่องฝัน’

พลังชนิดนี้จะทำให้ร่างกายของเธอเลือนรางลงประหนึ่งภูตในความฝันหรือนักท่องฝัน ด้วยร่างดังกล่าว ไม่เพียงจะช่วยให้ซ่อนตัวอยู่ในความฝันของผู้อื่น เธอยังสามารถกระโดดจากความฝันหนึ่งไปยังอีกหนึ่งความฝัน เรียกได้ว่าเป็นการ ‘แฟลช’ อย่างสมบูรณ์แบบในทางกายภาพ

ข้อจำกัดก็คือความฝันทั้งสองแห่งจะต้องอยู่ห่างกันไม่เกินห้าร้อยเมตร และต้องเป็นความฝันของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเท่านั้น

หากอยู่ในสถานการณ์พิเศษ พลังชนิดนี้จะช่วยให้เราซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน… อา… ว่าแต่ทำไมเฮอร์วิน·แรมบิสถึงไม่ใช้พลัง ‘ปรับแต่งความฝัน’ เพื่อสร้างอิทธิพลกับเรา? หรือเป็นเพราะเราได้รับความคุ้มครองจากศาสนจักร? เป็นไปได้… เส้นทางรัตติกาลเองก็มีอำนาจไม่น้อยในขอบเขตของความฝัน… ออเดรย์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเริ่มควบคุมพลังวิญญาณให้เสถียร

เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโบราณ

บนโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ ไคลน์นั่งห่างจากเลียวนาร์ดสองสามตำแหน่งในแนวเฉียง

“ทำไมจู่ๆ ถึงอยากพบผม?” เลียวนาร์ดเอนหลังพิงเก้าอี้พลางถามด้วยท่าทีค่อนข้างเกียจคร้าน

แต่ไม่ว่าจะไร้มารยาทสักเพียงใด มันก็ยังไม่ลืมว่าที่นี่คือดินแดนของมิสเตอร์ฟูล จึงไม่กล้าทำตัวตามสบายเกินไปนัก

ไคลน์ชำเลืองและพูด

“ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

“ความช่วยเหลือจากผม?” เลียวนาร์ดชี้ตัวเองพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “คุณกำลังหมายถึงพาลีส?”

มันเชื่อว่าตนคงไม่มีปัญญาไปช่วยอะไรครึ่งเทพอย่างไคลน์

“รู้จักจุดยืนของตัวเองเป็นอย่างดีสินะ…” ไคลน์ถอนหายใจ “แต่คราวนี้ผมกำลังขอความช่วยเหลือจากคุณจริงๆ เป็นปัญหาสองสามเรื่องที่เกี่ยวกับความฝัน”

ความฝัน… เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีกึ่งติดตลกปนฉงน “ไคลน์… คุณเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ… ผมหมายถึง คุณกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนมากขึ้น เลิกสวมหน้ากากหนาๆ ที่มืดมนนั่นแล้ว”

โดยไม่เปิดโอกาสให้ไคลน์พูด มันสางเส้นผมลวงตาพร้อมกับยิ้ม

“ถือเป็นข่าวดี เพราะผมเองก็ค่อนข้างชำนาญความฝัน… เป็นความฝันของใคร?”

ไคลน์ตอบหน้านิ่ง

“ทหารโลเอ็นจากหนึ่งร้อยปีก่อน… ขุนนางจากยุคสมัยที่สี่… นักบวชจากยุคสมัยที่สาม… เอลฟ์และคนยักษ์จากยุคสมัยที่สอง”

“อะไรนะ?” เลียวนาร์ดเจ้าของดวงตาสีเขียวอุทานด้วยความฉงน ในใจนึกสงสัยว่าตนอาจฟังผิดไป

ต่อให้ไม่นับคนยักษ์และเอลฟ์จากยุคสมัยที่สอง ลำพังขุนนางจากยุคสมัยที่สี่นั้นต้องอยู่ในเส้นทางที่เฉพาะเจาะจงและต้องเป็นเทวทูตจึงจะมีอายุยืนจวบจนปัจจุบัน!

อย่าบอกนะว่าทุกคนนอกจากทหารโลเอ็นล้วนเป็นเทวทูตทั้งหมด? ถ้าแบบนั้นให้ตาแก่ช่วยจะดีกว่า… เลียวนาร์ดปล่อยความคิดล่องลอยประหนึ่งกำลังท่องอยู่ในความฝัน

…………………….

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset