Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 455 : ขอความช่วยเหลือ

ราชันเร้นลับ 455 : ขอความช่วยเหลือ

ด้านในวิหารกึ่งซากปรักหักพังเต็มไปด้วยเสาหินซึ่งผุพังเกือบหมด เหลือเพียงไม่ถึงครึ่งสำหรับค้ำจุนโครงสร้างอาคารส่วนใหญ่

ด้านหน้าสุดของโถงหลักมีแท่นบูชาขนาดปานกลาง สภาพค่อนข้างเสื่อมโทรม ใจกลางแท่นบูชาคือไม้กางเขนใหญ่สีดำสนิท

กึ่งกลางไม้กางเขนมีรูปปั้นของชายเปลือยกายถูกแขวนในสภาพห้อยหัว บริเวณข้อเท้า ต้นขา และลำตัวมีบ่วงหนามโลหะ ทั้งขึ้นสนิมและแหลมคม กำลังรัดพันทิ่มแทง รอบบ่วงหนามมีคราบเลือดสีแดงแห้งกรัง

เดอร์ริคทราบทันทีว่านี่คือเทวรูปของพระผู้สร้างเสื่อมทราม แต่ก็ยังก้มลงไปมองใบหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

บนใบหน้าของเทวรูป ส่วนของใบหู จมูก และริมฝีปากล้วนไม่คมชัด เหลือเพียงส่วนดวงตายังคงคมชัด

คล้ายกับพระผู้สร้างเสื่อมทรามกำลังหลับตาเพราะต้องทนรับความเจ็บปวดเหนือพรรณนาแทนมนุษย์ทุกคน

“ห้ามมองเทวรูปของเทพมาร!” นักล่าปีศาจ โคลิน รีบตักเตือนเสียงขรึม

“ขอรับ ท่านผู้นำ” สมาชิกทีมสำรวจรีบเบือนหน้าไปทางอื่น

จนถึงวันนี้ แม้ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จะรวบรวมข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก จนถึงขั้นสามารถบ่งชี้ว่า มีเมืองหลายแห่งโดยรอบนับถือเทพมารชั่วร้าย แต่ชาวเมืองส่วนใหญ่กลับยังไม่เคยเห็นเทวรูปของเทพมารด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง

เป็นเพราะส่วนอื่นของวิหารมีขนาดไม่กว้างมาก ทีมสำรวจจึงจับกลุ่มสองถึงสามคน กระจายตัวเก็บรายละเอียดทุกซอกมุมจนเสร็จเรียบร้อยภายในเวลาไม่นาน และผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีใครพบความผิดปรกติใดเลย

มาถึงตรงนี้ โคลิน·อีเลียด ผู้นำสูงสุดของเมืองและหัวหน้าสภาอาวุโส ก้มศีรษะตรึกตรองสักพักก่อนออกคำสั่ง

“สำรวจชั้นใต้ดิน”

ขณะกล่าว มันชักดาบออกจากหลังหนึ่งเล่มพร้อมกับทาขี้ผึ้งสีเงินฉาบผิวดาบ

ถัดมา โคลินหยิบขวดแก้วออกจากช่องเข็มขัด ดึงจุกฝา และกลืนของเหลวด้านในเข้าไปหนึ่งคำ

ทันใดนั้น เดอร์ริคพบว่าดวงตาของนักล่าปีศาจมากประสบการณ์ ได้เปลี่ยนจากสีฟ้าหม่นลุ่มลึก กลายเป็นสีฟ้าสว่างแวววาว

ขณะเดียวกัน สมาชิกคนอื่นต่างก็รีบเตรียมความพร้อมสำหรับต่อสู้ในแบบของตัวเอง

ภายใต้แสงตะเกียงหนังสัตว์จำนวนสี่ดวง ทีมสำรวจค่อยๆ ย่องลงบันไดหินซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของแท่นบูชา

เป็นเวรของเดอร์ริคต้องถือตะเกียงบ้าง เด็กหนุ่มจึงยืนนำหน้าสุดของแถว บรรจงขยับเท้าลงขั้นบันไดไปทีละหนึ่งอย่างใจเย็น

ท่ามกลางความมืดมิด มันกำลังได้ยินเสียงฝีก้าวตัวเอง ดังผสมผสานกับฝีก้าวของพวกพ้องด้านหลังจนคล้ายกับเสียงสะท้อน

ฝีเท้าทุกคนดังแจ่มชัด เป็นการเน้นหนักว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบงันและปราศจากเสียงรบกวนอื่นโดยสิ้นเชิง ภายในใจทุกคนกำลังตึงเครียด เสียงกุกกักของขณะฝ่าเท้ากระทบพื้นหิน เป็นราวกับเสียงใครบางคนออกแรงเคาะประตูดังโครมคราม เมื่อคิดว่าพวกตนกำลังจะได้สำรวจอารยธรรมเก่าแก่ซึ่งเป็นปริศนามานานหลายปี หัวใจของแต่ละคนเริ่มบีบเกร็งในระดับผิดปรกติ

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ คล้ายกับกาลเวลารอบตัวไหลผ่านไม่เท่ากับด้านนอก เดอร์ริคเริ่มเห็นว่าพื้นหินตรงหน้ามีลักษณะเรียบตรง เป็นสัญญาณการเดินมาถึงสุดเขตขั้นบันไดยาว

เมื่อทุกคนลงมากันครบ แสงตะเกียงหนังในมือช่วยให้เดอร์ริคทราบว่า กำแพงรอบตัวล้วนเป็นจิตรกรรมฝาผนังซึ่ง ดาร์ก·รีเจนซ์ในสภาพถูกกัดกร่อนจิต เคยเล่าให้ฟัง

จิตรกรรมฝาผนังทอดยาวตลอดแนวผนังสองฝั่งของทางเดิน สีสันเรียบง่าย กลิ่นอายภาพหม่นหมองอึมครึม มอบความรู้สึกเก่าแก่คล้ายกับภาพวาดเหล่านี้เคยผ่านการเปลี่ยนผันของยุคสมัยมาแล้วนับไม่ถ้วน

เดอร์ริคชำเลืองผ่านจนกระทั่งสะดุดกับภาพหนึ่งเป็นพิเศษจนต้องหยุดมอง

บนกำแพงซ้ายมือ ภาพของไม้กางเขนยักษ์สีขาวตั้งเด่นตระหง่านอยู่กึ่งกลาง ล้อมรอบด้วยบางสิ่งคล้ายน้ำทะเลสีเข้มจนเกือบดำ ของเหลวสีดำกล่าวกำลังไหลท่วมมนุษย์จำนวนมากด้านล่างซึ่งพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด

ห้อยหัวลงจากกางเขนคือพระผู้สร้างเสื่อมทราม ตะปูและบ่วงหนามขึ้นสนิม คราบเลือดสีแดงแห้งกรัง ลักษณะยังคงเหมือนกับเทวรูปด้านนอกทุกประการ

แต่ในภาพนี้ กางเขนสีขาวโพลนบางส่วนถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำสนิท

ด้านบนกางเขนกำลังค้ำจุนดินแดนมายาอันเลือนรางไว้ บนดินแดนเป็นภาพของมนุษย์กลุ่มใหญ่กำลังคุกเข่าสวดภาวนาถึงพระผู้สร้างเสื่อมทราม

ณ สุดของจิตรกรรมฝาผนัง ในจุดลึกสุดอันมืดสนิทซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความชั่วร้าย ภาพของเทพมารจำนวนหกตนได้กระจัดกระจายไปตามแต่ละมุม

มุมซ้ายบนเป็นหญิงสาวสวมเสื้อคลุมยาวสีดำทรงโบราณ ลักษณะเรียบง่ายแต่ซับซ้อน ประกอบด้วยผ้าสีดำหลายชั้นแต่ไม่รุงรัง ลวดลายผ้าเป็นภาพของดวงดาวสุกสว่าง

ร่างกายของเธอโปร่งใสและไม่คมชัด ใบหน้าพร่ามัวคล้ายกับสวมหน้ากากสีเนื้อไร้ลวดลาย

ออร่าสีดำสนิทเข้มข้นกำลังพวยพุ่งออกมารอบตัวหญิงสาว บางส่วนก่อตัวเป็นรูปทรงของดวงตาประหลาดสีดำจำนวนมาก

ถัดลงมาเป็นชายสวมชุดคลุมยาวสีขาวสว่าง ใบหน้าถูกฉาบด้วยสีทองอร่าม ตามผิวหนังมีท่อแสงยืดยาวออกมาในลักษณะคล้ายกับหนวดของปีศาจ

มือข้างหนึ่งถือหนังสือสีเขียวน่าขยะแขยง ส่วนอีกข้างถือหอกแสงเจิดจรัส บริเวณหน้าอกและแผ่นหลังสลับด้านกัน

มุมขวาบนเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหัวปลาหมึกยักษ์ ดวงตากลมโตผิดมนุษย์ มือข้างหนึ่งถือสามง่าม รอบร่างกายมีสายฟ้าน่าเกรงขามรายล้อม

ด้านหลังเป็นผ้าคลุมอันเกิดจากการเรียงต่อกันของขนนกจำนวนมาก ใต้ฝ่าเท้ามีเกลียวคลื่นความมืดสีดำคอยค้ำจุนการทรงตัว

มุมขวากลางเป็นภาพของหญิงสาวใบหน้าเลอโฉมและอ่อนละมุน หน้าอกใหญ่เป็นพิเศษ ในอ้อมแขนมีซากทารกเน่าเปื่อย ใต้ฝ่าเท้าประกอบด้วยทุ่งข้าวสาลีสีดำเข้ม น้ำพุผุดเศษเนื้อน่ารังเกียจ สมุนไพรท่ามกลางบ่อน้ำเสีย และสัตว์ป่ากำลังผสมพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง

มุมขวาล่างเป็นภาพของชายชราสวมเสื้อคลุมยาวแบบมีผ้าคลุมหัว เผยให้เป็นเพียงใบหน้าบางส่วนและริมฝีปาก ใต้ดวงตามีริ้วรอยเหี่ยวย่น และหนวดเคราขาวโพลนอันเกิดจากความชรา

ชายแก่กำลังถือหนังสือในสภาพกางออก เหนือหนังสือมีดวงตาทรงปัญญาลอยอยู่

หากมองผิวเผิน ชายชราจะดูธรรมดากว่าใครทั้งหมด แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มชั่วร้ายกว่าใครทั้งหมดเช่นกัน

มุมซ้ายล่างเป็นภาพของนักรบคนยักษ์สวมชุดเกราะชำรุดทรุดโทรม สองมือถือดาบยาวใหญ่ กำลังนั่งบนบัลลังก์โดยมีฉากหลังเป็นยามตะวันตกดิน

ความหมายของจิตรกรรมฝาผนังชิ้นนี้คือ เมื่อมหาภัยพิบัติถือกำเนิด เทพมารชั่วร้ายหกตนได้ผุดขึ้นจากนรกเพื่อทำลายโลก ในการจะช่วยให้มวลมนุษย์รอดพ้น พระผู้สร้างเสื่อมทรามจำเป็นแบกรับบาปและความเจ็บปวดเอาไว้ตามลำพัง และผลลัพธ์ก็ทำให้พระองค์ถูกกัดกร่อนจนมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปจากเดิม…

ใครจะไปคิดว่า ‘พระองค์’ ต่างหากคือผู้ชั่วร้ายยิ่งกว่าใครทั้งหมด…

ขณะถือตะเกียงหนังสัตว์ เดอร์ริคเดินไปข้างหน้าพลางสำรวจภาพวาดอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มพบว่าเนื้อหาของจิตรกรรมฝาผนังค่อนข้างตรงตามคำบอกเล่าของดาร์ก·รีเจนซ์ แก่นสำคัญของความหมายในภาพคือ ดินแดนแห่งนี้มิได้ถูกเทพทอดทิ้ง กลับกัน พระองค์ต้องต่อสู้ตามลำพังเพื่อปกป้องมนุษย์ทุกคน

ผู้ยังเหลือรอดท่ามกลางความมืดมิดคือ ‘สาวก’ ซึ่งได้รับการอวยพรจากพระองค์เป็นพิเศษ มีภารกิจต้องดำรงไว้ซึ่งอารยธรรมของมนุษย์และฝ่าฟันผ่านหายนะไปให้ได้

แต่ดาร์ก·รีเจนซ์เล่าเพียงผิวเผิน มิได้ละเอียดเท่ากับการมาเห็นด้วยภาพจริง

ระหว่างทาง เดอร์ริคมิได้ลดการป้องกันลง เตรียมตัวรับมือการจู่โจมไม่คาดฝันอยู่เสมอ

ภายใต้ความช่วยเหลือจากแสงจางของเทียนไข ทีมสำรวจเดินผ่านทางเดิน โถง และห้องอีกเป็นจำนวนมาก พวกมันสำรวจลึกเข้าไปในชั้นใต้ดินอันมืดมิดของวิหารโดยไม่หยุดพักเหนื่อย

จนกระทั่งพบกับบานประตูสีเทา ลักษณะกำลังเปิดค้างไว้บางส่วน

หน้าประตูมีวัตถุคล้ายเห็ดงอกอยู่บนพื้นหนึ่งกลุ่มใหญ่ ขนาดของเห็ดเท่าฝ่ามือ ก้านสีขาวนมสด หมวกเห็ดสีแดงสด และมีประกายสีทองเข้มระยิบระยับ

เมื่อได้เห็น ‘เห็ด’ เต็มสองตา สมาชิกทุกคนต่างเกิดความหิวกระหายเหนือพรรณนา พวกมันอยากปรี่เข้าไปเด็ดเห็ดเหล่านี้มายัดใส่ปากจนกว่าจะอิ่มหนำ

อึก.

หลายคนเริ่มกลืนน้ำลายเสียงดัง

แต่สมาชิกทีมสำรวจส่วนใหญ่ล้วนถูกคัดกรองมาเป็นอย่างดี ประสบการณ์และลำดับของพวกมันจึงค่อนข้างสูง ผนวกกับมีบทเรียนมาจากทีมสำรวจชุดแรก ความระวังตัวย่อมอยู่ในระดับมืออาชีพ

ใครบางคนโพล่งขึ้นด้วยเสียงต่ำ

“พวกมันคือเนื้อเน่ากับหนังศีรษะมนุษย์!”

เดอร์ริคทราบชื่อของสมาชิกคนดังกล่าว มันมีนามว่าโจชัว เมื่อไม่นานมานี้ โจชัวเพิ่งนำคะแนนผลงานของตนไปแลกสมบัติวิเศษจากภารกิจสำรวจ

โจชัวยกแขนซ้ายซึ่งสวมถุงมือสีแดงสดขึ้น พลางเล็งไปทางประตูสีเทาตรงหน้าเดอร์ริค

บรรยากาศโดยรอบพลันสว่างวาบ ลูกบอลเพลิงพุ่งออกจากถุงมือและกระแทกใส่ ‘เห็ด’ สุดน่ารับประทานอย่างแม่นยำ

บึ้ม!

พื้นหินสะเทือนแผ่วเบา ทะเลเพลิงปกคลุมรอบเห็ดปริศนาภายในรัศมีสองเมตร

เมื่อทะเลเพลิงดับลง เห็ดน่ารับประทานได้อันตรธานหาย เหลือไว้เพียงเศษเนื้อน่าขยะแขยงเกลื่อนกลาด ส่งผลให้เหล่าผู้วิเศษซึ่งเกิดความอยากอาหารเมื่อครู่ ต่างพากันคลื่นไส้อาเจียนเป็นพัลวัน

นักล่าปีศาจโคลินไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เหล่าสมาชิกหนุ่มจัดการปัญหาเล็กน้อยกันเอาเอง ทำเพียงเฝ้ามองอย่างเงียบงัน

“ทำไมถึงมีเห็ดก้อนเนื้อและเส้นผมของมนุษย์งอกอยู่? แล้วก้อนเนื้อมาจากไหนกัน?” โจชัวลดแขนซ้ายลงพลางพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

สมาชิกคนอื่นลองคาดเดา

“อดีตชาวเมือง?”

เป็นไปได้… บางที ความตายอาจทำให้ศพพวกเขาเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นเนื้อเน่าและเส้นผมน่าขยะแขยง… เดอร์ริคเห็นพ้อง

หลังจากปรึกษาหารือสักพัก ทีมสำรวจตัดสินใจแบ่งกลุ่มสำรวจห้องโถงหน้าประตูสีเทาให้ทั่วทุกซอกมุม

เมื่อจัดการเสร็จ แต่ละคนกลับมารวมตัวหน้าบานประตูสีเทาอีกครั้ง และค่อยๆ ย่างกรายเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง สติเตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมทุกรูปแบบ

ด้านหลังประตูคืออีกหนึ่งแท่นบูชา แต่ความมืดภายในห้องกลับเข้มข้นผิดไปจากทุกที ลำพังตะเกียงเทียนไขเจือจางมิอาจขับไล่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กึ่งกลางแท่นบูชายังคงเป็นกางเขนใหญ่สีดำสนิทเหมือนวิหารด้านบน รวมถึงเทวรูปห้อยหัวของพระผู้สร้างเสื่อมทราม

ในฐานะผู้ถือตะเกียง เดอร์ริคเดินเข้าไปใกล้กว่าใครพลางสอดส่องสายตาสำรวจ

ทันใดนั้น ร่างกายเด็กหนุ่มพลันแข็งทื่อ เนื่องจากมันพบจุดแตกต่างระหว่างเทวรูปด้านในและด้านนอกวิหารเข้า

ดวงตากำลังเปิดอยู่!

ดวงตาสีแดงก่ำ เหลือแค่ตาดำยังเป็นสีดำสนิท กำลังจ้องมองผู้บุกรุกประหนึ่งมีชีวิตและความนึกคิดเป็นของตัวเอง

กึก กึก กึก

เดอร์ริคได้ยินเสียงฟันกระทบ

เดิมที มันคิดว่าเป็นเสียงของหนึ่งในสมาชิกร่วมทีมด้านหลัง แต่เพียงไม่นานก็ตระหนักว่า นี่เป็นเสียงฟันกระทบจากอาการสั่นกลัวของตัวมันเอง!

แม้จะไม่เคยทราบว่าเทพมารตนนี้อันตรายอย่างไร แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้านจนฟันกระทบกันเองโดยมิอาจควบคุม

กึก. กึก. กึก.

คราวนี้เป็นเสียงฟันจากเพื่อนร่วมทีม

แต่เพียงไม่นาน ประกายระยิบระยับของผงปริศนาได้ฟุ้งกระจายเบื้องหน้าทุกคนพร้อมกับการกำหมัดแน่นของโคลิน·อีเลียด

บึ้ม!

เมื่อสิ้นเสียงระเบิด เดอร์ริคและคนอื่นถูกดึงกลับจากภวังค์ ‘ฝันร้าย’ เมื่อครู่ทันที

แต่ก่อนจะได้ลงมือสำรวจรอบห้อง เสียงสะอื้นของเด็กเล็กดังมาจากด้านหลังแท่นบูชา

“ฮึก ฮึก ฮือ…”

“ฮึก ฮึก ฮือ…”

ท่ามกลางอาการลนลานของทุกคน นักล่าปีศาจโคลินรีบออกคำสั่ง

“เดอร์ริคกับโจชัวเข้าไปตรวจสอบ”

แม้ร่างกายกำลังเย็นวาบ แต่เดอร์ริคก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างฉับไว มือซ้ายถือตะเกียงหนังสัตว์ มือขวาถือขวานเฮอร์ริเคน สองขาย่างกรายเข้าไปหาต้นเสียงโดยมีโจชัวตามมาจากด้านหลัง

เมื่อความมืดถูกขจัดด้วยแสงไฟ ทั้งสองเริ่มมองเห็นเงารางกำลังขดตัวด้านหลังแท่น

เดินอีกสองก้าว เดอร์ริคมองเห็นร่างของอีกฝ่ายเต็มสองตา

เด็กเล็กอายุราวเจ็ดแปดขวบ เส้นผมสีเหลืองอ่อน

เด็กเล็กยังคงหลับตาปี๋ ประหนึ่งสายตายังไม่เคยชินกับแสงสว่าง แต่ริมฝีปากรีบขยับอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”

ตาดำเดอร์ริคพลันหดเกร็ง เมื่อมันมั่นใจว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากเหตุการณ์ ‘วูบ’ หน้าทางเข้าวิหาร ขวานเฮอร์ริเคนในมือขวาพลันถูกยกขึ้นตามสัญชาตญาณ

ทันใดนั้น นักล่าปีศาจโคลินปรากฏตัวข้างเดอร์ริคพร้อมกับซักถามเสียงขรึม

“เจ้าเป็นใคร”

เด็กเล็กรีบหยุดร้อง ก่อนจะทำหน้านึกและเอ่ยชื่อของตนอย่างตะกุกตะกัก

“ผ…ผมชื่อ…จ…แจ็ค”

หลังเสร็จอาหารมื้อค่ำ ไคลน์สวมโค้ทและหมวกทรงกึ่งสูงเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน

มันมีแผนไปหาชารอน เพื่อสะสางเรื่องการแอบขุดอุโมงค์ไปยังอาคารใต้ดินของบาโรเน็ตพาวน์ รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับเบาะแสของนางเงือก ชายหนุ่มต้องการจัดการทุกสิ่งให้เรียบร้อย ก่อนจะสร้างสถานการณ์ว่านักสืบเชอร์ล็อก ‘ลาพักร้อน’ ไปทางใต้หลายวัน

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset