Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 448 : คาดเดาตัวจริงอามุนด์

ราชันเร้นลับ 448 : คาดเดาตัวจริงอามุนด์

อามุนด์…! ไคลน์พึมพำ

เดิมที ชายหนุ่มเคยคิดว่าผู้เย้ยเทพในเมืองเงินพิสุทธิ์บนดินแดนเทพทอดทิ้ง คือหนึ่งในลูกหลานของตระกูลอามุนด์ผู้พัฒนาตัวเองทีละนิดจนไต่เต้าไปถึงระดับครึ่งเทพ แต่ข้อมูลล่าสุดทำให้ไคลน์ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ทั้งหมด บางที อามุนด์คนนั้นอาจอยู่มานานกว่าสองพันปีและเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่!

ตำนานผู้ยังมีลมหายใจ… แล้วทำไมถึงต้องสร้างหลุมศพให้ตัวเอง การทำเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นลางดีสักเท่าไร…แกล้งตายเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์บางอย่าง? หรือจะทำไปเพราะเหตุผลอื่น เช่นพิธีกรรมสำหรับหยุดเวลาร่างกายตัวเอง? มันมีอายุยืนยาวมาจากยุคสมัยที่สี่ก็เพราะช่วงชิงอายุขัยจากผู้อื่น?

เราเคยคาดเดาว่าอามุนด์อาจอยู่ในลำดับ 3 หรือ 2 แต่หลังจากทราบข้อมูลใหม่ในวันนี้ การจะสมมติให้อามุนด์เป็นลำดับ 1 ก็คงไม่เกินจริงสักเท่าไร…สำหรับสัตว์ประหลาดอายุกว่าสองพันปีโดยไม่สูญเสียความทรงจำแบบมิสเตอร์อะซิก การพัฒนาไปถึงจุดดังกล่าวนับเป็นเรื่องปรกติ…

ไคลน์ยืนครุ่นคิดสลับกับมึนงงเป็นระยะ สมองชายหนุ่มทำงานหนักจนคล้ายกับหม้อน้ำเดือดปุดโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

ขณะเดียวกัน หุ่นกลของฮารามิคใช้มือข้างหนึ่งกระชากเนื้อตรงคอออก เผยให้เห็นความซับซ้อนของกลไกภายใน

เสียงของมันดังจากช่องดังกล่าวโดยอาศัยหลักการสั่นสะเทือนของอากาศ

“ตรวจสอบศพ ห้ามเข้าใกล้ผม”

“ขอรับ เจ้าคุณท่าน!” ไอคานส์และสมาชิกคนอื่นขานรับพร้อมกับทำสีหน้าโล่งใจ

ปัจจุบัน ซากศพของคณะสำรวจได้กลายเป็นตะกอนพลังนานแล้ว บางส่วนผสานกับอวัยวะจนเกิดเป็นสมบัติวิเศษ

ไม่เพียงเท่านั้น คณะสำรวจยังพกพาสิ่งของราคาแพงติดตัวหลายชิ้น!

จิตแห่งจักรกลกำไรเอาเรื่อง…มีทั้งกรอบรูปวิญญาณและตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์อีกหลายชิ้น มากพอจะปกปิดค่าใช้จ่ายในยุทธการ ‘เก็บกวาด’ แสนสิ้นเปลืองนั่นได้…

ยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งกำไรมาก…

ไคลน์ก้มมองพื้นพลางครุ่นคิด

จนกระทั่ง ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วพลางเดินตามฮารามิคผู้ไม่ได้ถือตะเกียง ไปยังผนังอีกฝั่งของโลงศพ

ทันใดนั้น กระจกวิเศษอาโรเดสช่วยปรับแสงรอบตัว ทำให้บรรยากาศในจุดดังกล่าวสว่างพอจะมองเห็นรายละเอียด

ไคลน์สังเกตเห็นว่าผนังส่วนใหญ่เริ่มเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ ‘เร่งเวลา’ เมื่อครู่ จิตรกรรมฝาผนังหลายชิ้นถูกผุกร่อนจนไม่เหลือเค้าเดิม และไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก

เหลือไว้เพียงภาพเดียวซึ่งยังคมชัดราวกับของใหม่ เป็นภาพสีสันฉูดฉาด ถูกวาดไว้ในตำแหน่งเหนือสุดของกำแพง บางส่วนของภาพล้ำขึ้นไปในเขตโดมสูงด้านบน

องค์ประกอบหลักในภาพคือแนวเทือกเขาทอดยาว จุดสูงสุดของยอดเขามีกางเขนใหญ่ตั้งเด่นตระหง่าน

รอบกางเขนแผ่แสงทรงกลดเจิดจ้า มอบกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เหนือคำบรรยาย

ด้านหน้ากางเขนมีบุคคลร่างกายใหญ่มหึมายืนโดดเด่น ใบหน้าไม่คมชัด แต่ตัวใหญ่เสียจนแนวเทือกเขาเป็นราวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งกำลังหมอบกราบแทบเท้าบุคคลผู้นั้น

รอบตัวบุคคลปริศนาเต็มไปด้วยเทวทูตสองปีก สี่ปีก และ หกปีกจำนวนมาก เทวทูตแต่ละตนกำลังตั้งใจบรรเลงเครื่องดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแตร ฮาร์ป หรือฟรุต

ด้านล่าสุดของแนวเทือกเขายาว บริเวณตีนเขา เทวทูตสิบสองปีกสองตนกำลังบรรจงขึ้นเขาด้วยท่าทีนอบน้อม

แต่ละตนอุ้มทารกหนึ่งคนไว้ในอ้อมอก

ทารกคนซ้ายมีเส้นผมสีดำหยักศก

คนขวาสีทองอ่อน

คนซ้ายมีดวงตาสีดำสนิท

คนขวาทองอร่าม

ระหว่างแนวเทือกเขาทอดยาวยังมีภาพของยักษ์ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน และมังกรถูกมัดขาทั้งสองข้างจนไม่สามารถโบยบินได้อีก

ฮารามิคมองไปทางเด็กผมดำคนซ้ายมือ สีหน้าอ่อนโยนและใจดีของอาร์ชบิชอปพลันเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก

มันเปล่งเสียงแผ่วเบากับตัวเอง

“อามุนด์…”

ถัดมา ฮารามิคหันไปมองเด็กคนขวา มันเงียบงันสองสามวินาทีก่อนจะพึมพำ

“อาดัม…”

อามุนด์ อาดัม…

ขณะทวนชื่อทั้งสอง ไคลน์เริ่มตระหนักว่าม่านหมอกของยุคสมัยที่สี่และสามเริ่มทวีความดำมืดจนยากจะมองเห็นความจริง

มันพยายามนำข้อมูลทั้งหมดมาปะติดปะต่อและลองคาดเดา

ณ ยอดเขาสูงสุด บุคคลผู้ยืนหน้ากางเขนศักดิ์สิทธิ์ ถูกรายล้อมโดยเทวทูต และทำให้ยักษ์กับมังกรยอมจำนวน จะต้องเป็นเทพลำดับ 0 สักเส้นทางอย่างแน่นอน… หากจะถามว่าใครชอบใช้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ เรานึกออกแค่พระผู้สร้างแท้จริงตนเดียว… ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ตระกูลอามุนด์สืบเชื้อสายมาจากเทพสุริยันบรรพกาลโดยตรง แต่บุคคลบนยอดเขาไม่เหมือนกับเทพสุริยันสักเท่าไร…

หรือจะเป็น ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ ตามความเชื่อของเมืองเงินพิสุทธิ์?

ถ้าอย่างนั้นก็จะสอดคล้องกับตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์พอดี หลังจากพระผู้สร้างลืมตาตื่นขึ้น พระองค์ทำการริบอำนาจของราชาคนยักษ์ มังกรจินตภาพ และเทพบรรพกาลตนอื่นคืนทันที…

หมายความว่าเทพสุริยันบรรพกาลคือพระผู้สร้างในความหมายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์? พระองค์คงมีพลังในขอบเขตของ ‘สุริยัน’ และ ‘เวลา’ นอกจากนั้นยังแย่งชิงขอบเขตการปกครองมาจากราชาคนยักษ์ เออเมียร์ และมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวลด้วย…

นี่มันเหนือกว่าลำดับ 0 ไปแล้ว…

อาจหมายความได้ว่า อามุนด์คือทายาทผู้สืบทอดพลังด้าน ‘เวลา’ มาจาก ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ ของเมืองเงินพิสุทธิ์…

ถ้าอย่างนั้นก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมอามุนด์ถึงแฝงตัวอยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์โดยไม่ทำอะไรเลยนานกว่าสี่สิบปี…

นอกจากนั้นยังมีทายาทของ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ นามว่าอาดัมอีกตน…

แล้วอาดัมสืบทอดพลังชนิดใดไป? เขายังมีลูกหลานเหลืออยู่เหมือนกับอามุนด์ไหม และถ้ามี จะเป็นตระกูลใดกัน…

พระผู้สร้างแท้จริงกับบุคคลปริศนามีความสัมพันธ์ในลักษณะใด? เป็นแค่ผู้ลอกเลียนแบบโดยนำชื่อ ‘พระผู้สร้าง’ และสัญลักษณ์ ‘กางเขน’ ไปแอบอ้าง…? หรือจะเคยมีความสัมพันธ์กันจริง?

ไคลน์ไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก มันกังวลว่ากระจกวิเศษอาโรเดสอาจคอยจับตามองอยู่ และพบว่าตนไม่ใช่ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ตรงตามจินตนาการ

ฮารามิคยืนสำรวจจิตรกรรมฝาผนังสักพัก ก่อนจะขยับไปข้างหน้าสองก้าวและเหยียดฝ่ามือสัมผัสกับกำแพง

เพียงพริบตา จิตรกรรมฝาผนังโบราณอันประเมินค่ามิได้ พลันร่วงกราวลงบนพื้นโดยปราศจากสุ้มเสียง แม้กระทั่งสีสันฉูดฉาดก็ยังระเหิดหายไปกับอากาศอันว่างเปล่า

โบสถ์จักรกลไอน้ำมีนโยบายปกปิดและทำลายร่องรอยของยุคสมัยที่สามที่สี่ทั้งหมดทิ้งสินะ… โบสถ์อื่นจะเป็นแบบนี้ด้วยไหม?

ไคลน์ขมวดคิ้วพลางเดินตามหุ่นกลของฮารามิคไปยังอีกฝั่ง

หลังจากเดินวนครบครึ่งวงกลม พวกมันค้นพบเบาะแสใหม่

คราวนี้เป็นประตูหินจำลอง ใช้การจริงไม่ได้ในเชิงกายภาพ ถูกสร้างหลบตรงมุมห้อง

ทันใดนั้น เสียงข้อต่อในตัวหุ่นกลฮารามิคเริ่มเสียดสี แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหว อาร์ชบิชอปรีบเข้าประชิดประตูหินพร้อมกับยื่นแขนขวาออกไปเตรียมสัมผัส

แต่ก่อนจะได้แตะต้อง แสงกระเพื่อมคล้ายวารีพลันสว่างขึ้นเหนือบานประตูหิน ฉายเป็นภาพวิวทิวทัศน์สมจริงราวกับผู้จ้องมองถูกดึงเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์

ภายใน ‘จอภาพ’ คลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มกำลังล้อมรอบบางสิ่ง ถัดขึ้นไปเป็นทะเลหมอกสีดำลักษณะคล้ายกับของเหลวข้น

เหนือทะเลหมอกสีดำมียังผาหินสูงชันยื่นยาวเสียดฟ้า ตามซอกหลืบของหน้าผามีของเหลวข้นสีดำไหลซึม

ด้านหลังผาหินเป็นทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นเส้นบรรจบขอบฟ้า

ไม่เพียงความไกล แม้แต่ระดับความลึกก็ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ด้วยตาเปล่า ยิ่งมองก็ยิ่งมืดและพบความเงียบสงบ คล้ายกับหากตกลงไปจะไม่มีวันได้สัมผัสพื้นด้านล่าง

อยู่แถวไหนของโลก…?

ไคลน์พึมพำโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ฮารามิครีบชักมือกลับและแหงนมองฉากบนจอภาพจนกระทั่งเริ่มเลือนหายไป

อาร์ชบิชอปก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางพึมพำด้วยอารมณ์ซับซ้อน

“นรก…”

นรก…? ต้นกำเนิดการกัดกร่อนทั้งมวล? กล่าวกันว่าแม้แต่เทพตัวจริงก็ยังถูกกัดกร่อน!

ไคลน์กำลังตกตะลึง แต่ภายนอกได้ใช้พลังตัวตลกปั้นหน้านิ่ง

ชายหนุ่มหวนนึกถึงข้อความในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ทันที อีกฝ่ายเดินเรือออกนอกเส้นทางและทำการทิ้งประโยคสุดฉงนไว้ว่า :

“21 เมษายน เราได้เห็น… …นรก”

เมื่อลองพิจารณาคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มรอบทะเลหมอกสีดำ มันพยายามสร้างข้อสันนิษฐาน

…ทางเข้านรกอยู่แถวไหนสักแห่งภายในทะเลหมอก?

ถัดมา ชายหนุ่มจ้องมองบานประตูหินและเริ่มคาดเดาว่า หลังจากสร้างสุสานของตัวเองจนเสร็จ อามุนด์ได้สร้างอุโมงค์วิญญาณเพื่อเดินทางไปยังนรก โดยปล่อยให้ทุกคนคิดว่าตนตายไปแล้ว

ส่วนเมืองเงินพิสุทธิ์และดินแดนเทพทอดทิ้งจะอยู่ในนรกหรือไม่นั้น ไคลน์ยังไม่มีข้อสรุปเพราะขาดหลักฐานรองรับ สุสานแห่งนี้มีอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี อามุนด์อาจเดินทางไปยังนรกก่อน จากนั้นค่อยเดินทางต่อไปยังดินแดนเทพทอดทิ้งซึ่งอยู่คนละแห่ง

บางที มันอาจกลับมาดูดซับอายุขัยของเหยื่อในสุสานเป็นระยะ…

ชักอยากรู้แล้วว่า อามุนด์จะทำหน้าอย่างไรหลังจากทราบว่าหลุมศพของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนี้…

ไคลน์เกิดความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

ทันใดนั้น หุ่นกลของฮารามิคใช้ฝ่ามือขวาจับข้อมือซ้ายตัวเองแน่ถนัด

แกร่ก! ข้อมือซ้ายของมันบิดงอเข้าหาลำตัวในลักษณะผิดรูป แต่ปราศจากรอยเลือดหรือกระดูกน่าหวาดเสียว

ภายในข้อมือซ้ายมีท่อเหล็กขนาดใหญ่ถูกสอดอยู่!

ท่อนแขนทั้งท่อนของฮารามิค·ไฮเดินคือปืนใหญ่เวทมนตร์ขนาดย่อส่วน!

สมกับเป็นอาร์ชบิชอปประจำโบสถ์จักรกลไอน้ำ มีอาวุธล้ำยุคเช่นนี้ซ่อนเป็นไพ่ตาย… แต่การติดอาวุธหนักคงสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ทำให้ไม่สามารถกระจายออกไปในระดับกองทัพได้ แต่ก็เพียงพอจะสร้างเป็นอาวุธประจำกายของบุคคลสำคัญ…

เหตุการณ์ในวันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาไคลน์เป็นอย่างมาก มันได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเส้นทางผู้วิเศษซึ่งใช้คนละหลักการกับของตนโดยสิ้นเชิง

เนื่องจากกฎความถาวรของพลังพิเศษ โบสถ์จักรกลไอน้ำจึงมีตะกอนพลังและวัตถุดิบหลักโอสถไม่เพียงพอสำหรับสร้าง ‘ช่างฝีมือ’ เป็นจำนวนมาก ทำไม่สามารถผลิตอาวุธทรงประสิทธิภาพได้ล้ำหน้าโบสถ์อื่น

หุ่นกลฮารามิคทำการเหยียดแขนซ้ายไปยังประตูหินจำลอง

ทันใดนั้น เสียงเฟืองและกลไกภายในร่างกายอาร์ชบิชอปเริ่มร้องคำราม ตามด้วยการสะสมของละอองพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลไว้ในจุดเดียว

‘ปืนใหญ่’ ทำการยิงลำแสงอันเจิดจ้ายิ่งกว่ายามเที่ยงตรง ใส่บานประตูหินซึ่งถูกคาดหมายว่าเป็นประตูไปสู่นรกของอามุนด์

เพียงพริบตา ประตูหินจำลองถูกป่นจนแหลกเป็นผุยผงประหนึ่งไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

ข…เขาทำลายประตูทิ้ง?

คงน่าสนุกไม่น้อยถ้าอามุนด์ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและพยายามส่งตัวเองกลับมาด้วยประตูบานนี้…

และพบว่ามันไม่อยู่แล้ว… ฮะฮะ!

ไคลน์เกือบหลุดขำขณะจินตนาการ

วิดีโอบันทึกปฏิบัติการสำรวจสุสานอามุนด์จบลงตรงนี้ ภาพการมองเห็นไคลน์ ‘ซูมออก’ จนกลายเป็นเพียงจอขนาดเล็กท่ามกลางความมืดมิดรายล้อม

ทันใดนั้น กระจกโบราณลึกลับปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ดวงตาสองข้างซึ่งทำจากอัญมณีพลันส่องแสง

ข้อความสีขาวถูกเขียนขึ้นบนกระจก :

“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน อาโรเดส ขอจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้ กระหม่อมยินดีอำนวยความสะดวกให้ท่านทุกเมื่อ”

ไคลน์ยังคงหวาดระแวงกระจกนิสัยเสียและเทิดทูนตนอย่างไร้เหตุผล จึงเพียงพยักหน้ารับตามมารยาท

“ทำดีมาก กลับไปได้”

“ขอรับ ท่านผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกวิญญาณ” เมื่อข้อความของอาโรเดสถูกเขียนจบประโยค นิมิตความฝันไคลน์พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ

หลังจากยืนยันว่าอาโรเดสไปจากฝันของตนแล้ว ชายหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเอง

ผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกวิญญาณ? เจ้านั่นสัมผัสถึงออร่ามิติสายหมอกได้จริงด้วย…

กระจกวิเศษนิสัยเสียตนนั้นหวังรับใช้และพึ่งพาเราจากใจจริง หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่?

เราไม่ควรหลงดีใจ อีกฝ่ายยังอยู่ในการครอบครองของจิตแห่งจักรกล หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ทางนี้คงถูกปืนใหญ่กระหน่ำยิงจนเหลือเพียงเศษขี้เถ้า…

เมื่อจัดการความคิดตัวเองเสร็จ ไคลน์เฝ้ารอวันต่อไปด้วยใจจดจ่อ

ในเมื่อจิตแห่งจักรกลดำเนินภารกิจสำรวจสุสานเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาได้เลือกหนึ่งในของรางวัลตอบแทน!

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset