เมื่อเห็นฟองสีขาวในแก้วเบียร์นันวีลล์ตรงหน้าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ คาร์ลเซ่นพลันเข้าใจความนัยแฝง
ขณะบาร์เทนเดอร์กำลังเดินออกห่าง จิตแห่งจักรกลหนุ่มกระซิบถามเสียงแผ่ว
“คุณต้องการอะไร”
ไคลน์หยิบแก้วขึ้นมาจิบ ใช้เวลาราวสองสามวินาทีเพื่อหลับตาดื่มด่ำรสขมฝาดของมอลต์และรสหวานติดปลายลิ้น
“ชน!” ชายหนุ่มหันมามองคาร์ลเซ่นด้านข้างพร้อมกับยกแก้วขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้ม
โดยแทบไม่ต้องคิด คาร์ลเซ่นส่ายหัวและพึมพำในลำคอ
“ของคุณเป็นเบียร์ ส่วนของผมเป็นแอลกอฮอล์แรง คงไม่เหมาะจะชนกันสักเท่าไรกระมัง”
ไคลน์ทำได้เพียงชนแก้วกับอากาศ ก่อนจะชักมือกลับมาจิบต่อและมองตรงไปข้างหน้า
“ความต้องการของผมไม่ซับซ้อน ผมไม่ทราบแน่ชัดว่าในสุสานมีสิ่งใดบ้าง จึงอธิบายได้อย่างคร่าวเท่านั้น… ผมต้องการสิทธิ์ในการเลือกวัตถุวิเศษภายในสุสานจำนวนหนึ่งชิ้น แน่นอน ผมไม่ใช่คนโลภอะไร จึงไม่ขอเลือกวัตถุวิเศษลำดับสูงโดยเด็ดขาด และคงไม่กล้าเลือกแม้ทางคุณจะเสนอมาให้ หากทางคุณไม่พบสิ่งใดเลย หรือพบแต่วัตถุวิเศษลำดับสูงทั้งหมด ผมจะไม่ขอรับส่วนแบ่งจากการขุดค้น แต่ถึงผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างนั้น ผมชื่อว่าพวกคุณคงไม่ใจร้ายเกินไปนัก คงมีเงินสินน้ำใจเล็กน้อยตอบแทน”
เมื่อได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับสุสานของตระกูลอามุนด์จากปากชารอน ไคลน์วางแผนไว้อย่างคร่าวจำนวนสองตัวเลือก
ตัวเลือกแรก การเป่านกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิก และผนึกกำลังกันสำรวจสุสาน
อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวมีอุปสรรคสำคัญอยู่หลายข้อ หนึ่ง ไคลน์ยังไม่มั่นใจว่ามิสเตอร์อะซิก ผู้กำลังไล่ตามหาความทรงจำของตัวเอง มีพลังอยู่ในระดับใดกันแน่ สอง มิสเตอร์อะซิกกำลังถูก MI9 ตามล่าตัว การเรียกมาช่วยอาจทำให้ตนติดร่างแหไปด้วย สาม หากไคลน์ติดต่อกับมิสเตอร์อะซิกโดยตรง มีโอกาสสูงมากในการถูกดึงเข้าไปพัวพันกับอิทธิพลของ ‘0-08’ อีกครั้ง จริงอยู่ ไคลน์สามารถอาศัยพลังของมิติสายหมอกเพื่อขจัดการแทรกแซงได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า การเป่านกหวีดทองแดงบนห้วงมิติจะไม่ทำให้ผู้ส่งสารของมิสเตอร์อะซิกปรากฏตัว หมายความว่าแผนดังกล่าวล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
เหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์ยังไม่กล้าเปิดเผยความลับของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทากับมิสเตอร์อะซิก ผู้มีตัวตนเป็นปริศนาและจุดประสงค์ยังไม่ชัดเจน
ลงเอยด้วย มันตัดสินใจเลือกแผนสอง อาศัยการเป็นสายข่าวให้จิตแห่งจักรกล แจ้งข้อมูลสำคัญโดยแลกกับสิทธิ์การเลือกหยิบของรางวัลหนึ่งชิ้น
และเมื่อกล่าวถึงผู้วิเศษลำดับสูง คงไม่มีขั้วอำนาจฝ่ายใดเข้มแข็งและทรงพลังไปกว่าเจ็ดโบสถ์หลักอีกแล้ว
จากข้อมูลเก่าของไคลน์ โบสถ์รัตติกาลมีจำนวนผู้วิเศษลำดับสูงใกล้เคียงสิบ หรือกล่าวได้ว่า จากบรรดาสิบสามอาร์ชบิชอปและเก้าอาวุโสใหญ่ เกือบครึ่งหนึ่งคือผู้วิเศษลำดับสูงซึ่งมีลำดับตั้งแต่ 4 ขึ้นไป นี่ยังไม่รวมถึง ‘ผู้รับใช้’ ของเทพธิดาโดยตรงอย่างสันตะปาปา บุคคลทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของโบสถ์รัตติกาล ณ เวลานี้
จริงอยู่ โบสถ์จักรกลไอน้ำจะยังด้อยกว่าเนื่องจากเพิ่งก่อตั้ง แต่ไม่มีทางด้อยกว่ามากแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงมิอาจรักษาสถานภาพการเป็นโบสถ์หลักไว้ได้ และต้องไม่ลืมว่า อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ ฮารามิค·ไฮเดิน ก็เป็นผู้วิเศษลำดับสูงเช่นกัน
ในฐานะโบสถ์หลักอันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน พวกมันคงไม่ทำตัวตระหนี่กับวัตถุดิบหลักลำดับต่ำกว่า 4 เพียงหนึ่งชิ้นแน่ ไคลน์จึงเชื่อว่าข้อเสนอของตนเหมาะสมแล้ว
สรุปโดยสั้น ใจความสำคัญของตัวเลือกหมายเลขสองก็คือ :
ต้องนำข้อมูลไปบอกกับองค์กรลับใดก็ได้ ขอเพียงฝ่ายนั้นมีพลังมากพอจะเคลียร์สุสานอามุนด์ โดยไม่เกี่ยงว่าข้างในจะมีระดับความยากสูงแค่ไหน!
เมื่อได้ยินข้อเสนอของไคลน์ คาร์ลเซ่นเงียบงันหลายวินาทีก่อนจะหันมาถาม
“คุณเป็นสาวกของพระองค์ไม่ใช่หรือ”
ขอโทษด้วยสหาย แต่เทพธิดาจะอยู่ในใจฉันตลอดไป… ไคลน์รำพันพลางทำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมของโบสถ์จักรกลไอน้ำ
“เป็นเพราะผมศรัทธาในพระองค์ จึงไม่ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับเหยี่ยวราตรีผ่านมิสเตอร์สแตนธอนแทน พระองค์กล่าวว่า ใครใคร่แข็งแกร่ง เชิญแข็งแกร่งตามใจชอบ ฉะนั้น ถ้าผมแข็งแกร่งและร่ำรวยขึ้น การขยายแหล่งข้อมูลก็ไม่ใช่เรื่องยาก และนั่นจะทำให้ผมมีข้อมูลสำคัญมารายงานกับจิตแห่งจักรกลอย่างต่อเนื่อง”
เนื่องจากต้องการหลอกให้จิตแห่งจักรกลตายใจ ไคลน์จึงลงทุนสละเวลาช่วงเช้าเพื่ออ่าน ‘พระคัมภีร์แห่งจักรกลไอน้ำ’ ตลอดหลายวันผ่านมา เมื่อพบถ้อยคำน่าสนใจ มันจะจดบันทึกไว้ในความทรงจำใน เผื่อมีโอกาสได้ใช้เข้าสักวัน เฉกเช่นสถานการณ์ปัจจุบันเป็นต้น
คาร์ลเซ่นยังไม่มอบคำตอบ เพียงนั่งนิ่งด้วยสีหน้ามึนงง ลืมแม้แต่จะดื่มเหล้า
ภาพดังกล่าวทำให้ไคลน์ตัดสินใจรีบเสริม
“ยิ่งไปกว่านั้น ทางคุณจะได้ชื่อเสียงด้านบวกมากมาย เช่นการเป็นมิตรกับสายข่าวในสังกัด หากคุณเผยแพร่เรื่องราวของผมในคราวนี้ออกไป รับประกันได้เลยว่าสายข่าวของจิตแห่งจักรกลทั่วเบ็คลันด์ต้องขยันทำงานขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าแน่ ต…แต่ถ้าคิดจะทำแบบนั้น อย่าลืมสมมติตัวละครใหม่มาแทนชื่อผมก็แล้วกัน”
คาร์ลเซ่นนั่งฟังด้วยสีหน้าสุดทึ่ง ก่อนจะหยิบแก้วเหล้าขึ้นมากระดกหนึ่งอึกใหญ่จนติดคอสำลัก
“แค่ก! เชอร์ล็อก ตัวจริงของคุณช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์ก่อนหน้านี้มาก” มันถอนหายใจยาว
นักสืบเชอร์ล็อกในความทรงจำของคาร์ลเซ่นคือ ชายผู้เป็นเลิศด้านการวิเคราะห์และอนุมานหาผลลัพธ์ สุขุมเยือกเย็น สุภาพถ่อมตน เปี่ยมด้วยคุณธรรม โดยทุกคำแนะนำของเชอร์ล็อกจะสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่เสมอ นับเป็นสาวกของเทพจักรกลไอน้ำคนสำคัญ
แต่ปัจจุบัน อีกฝ่ายกลับ…
ไคลน์จิบเบียร์เย็นพลางหัวเราะ
“ทุกคนล้วนมีมุมลับของตัวเองเสมอ การใช้บุคลิกด้านเดียวเผชิญหน้ากับทุกเรื่องในชีวิตถือเป็นการตั้งอยู่บนความประมาท โดยเฉพาะการอนุมานหาข้อเท็จจริงจากมุมมองอันคับแคบเพียงหนึ่งมุม”
เมื่อเริ่มใจเย็นลง คาร์ลเซ่นลุกยืนและหันมากล่าว
“ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ จะรีบไปรายงานให้เบื้องบนทราบ ช่วยนั่งรอสักพัก”
“ตกลง” ไคลน์โบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อสั่งมันบดมากินเพิ่ม
เวลาล่วงเลยจนกระทั่งไคลน์ลิ้มรสอาหารและเบียร์จนอิ่มหนำ คาร์ลเซ่นเดินกลับเข้ามาในร้านพร้อมกับอาวุโสคนสำคัญของจิตแห่งจักรกล ไอคานส์·เบอร์นาร์ด
ไอคานส์มองไปรอบตัว เมื่อไม่พบคนนอกจึงหันมากล่าวกับไคลน์
“พวกเราไม่มีปัญหากับข้อเรียกร้องจากทางคุณ เพียงแต่ต้องเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีกเล็กน้อย คุณจะไม่มีสิทธิ์เลือกวัตถุวิเศษแฝงคำสาปหรือผลข้างเคียงร้ายแรงทุกชนิด”
เอ่อ ผมแค่จะเอาวัตถุดิบหลักโอสถ…
ชายหนุ่มยิ้มรับ
“ตกลง! ขอล่วงเกินถามสักนิดได้ไหม ผมอยากทราบว่าคุณมีอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือปรึกษาเบื้องบนก่อนมอบคำตอบ”
“ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ ผมมีอำนาจ” ไอคานส์กดหมวกลง เพื่อให้หมวกช่วงปิดบังเส้นผมแข็งกระด้างและไม่เป็นทรง
“แต่เนื่องจากรายละเอียดเกี่ยวพันกับสุสานของตระกูลจากยุคสมัยที่สี่ผมจึงตัดสินใจส่งโทรเลขไปปรึกษากับท่านอาร์ชบิชอปก่อน และท่านก็มิได้คัดค้าน”
“เข้าใจแล้ว” ไคลน์วาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนหน้าอกอีกครั้ง “ผมเริ่มเล่ารายละเอียดได้เลยใช่ไหม”
ไอคานส์ส่ายหัว
มันมองรอบตัวและชี้ไปทางห้องบิลเลียด
“คุยกันในนั้น”
หืม อาวุโสคนนี้ ถึงจะถูกกระจกวิเศษอาโรเดสกลั่นแกล้งให้อับอายบ่อยครั้ง แต่ความจริงแล้วมีประสบการณ์พอตัว…
ไคลน์พึมพำพลางเดินตามไอคานส์กับคาร์ลเซ่นเข้าไปในห้องบิลเลียด โดยก่อนอื่น ทั้งสามช่วยกันยืนยันจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องข้างเคียง
ไคลน์ก้มหน้าตรึกตรองสักพักเพื่อเรียบเรียงคำพูด
“เรื่องราวเริ่มมาจาก ผู้วิเศษกลุ่มหนึ่งบังเอิญพบสุสานลับตรงทางแยกปากแม่น้ำสตาร์ฟอร์ดในเมืองผาขาวเข้า จึงทำการสำรวจรอบนอกและพบวัตถุโบราณบางชนิด หลังจากนั้น พวกเขาได้รวบรวมกลุ่มผู้วิเศษแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งเพื่อเข้าไปสำรวจด้านในสุสาน แต่กลับไม่มีใครได้ออกมาแบบมีลมหายใจ หากพวกคุณเข้าไปสำรวจภายหลัง คงได้พบเบาะแสของเหตุการณ์ดังกล่าวแน่”
ไอคานส์ซักถาม
“แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่า สุสานดังกล่าวเป็นของตระกูลขุนนางจากยุคสมัยที่สี่”
“วัตถุโบราณจากการสำรวจรอบนอกสุสานได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นของตระกูลอามุนด์แห่งราชวงศ์ทูดอร์” ไคลน์เล่าทุกอย่างตามความจริง พร้อมด้วยคำเตือน “ผู้วิเศษทีมสำรวจไม่ใช่พวกไก่อ่อน มีหลายคนค่อนข้างแข็งแกร่ง ผมประเมินว่าสุสานดังกล่าวไม่ปลอดภัยนอกเสียจากจะมีผู้วิเศษลำดับสูงเข้าร่วมทีม”
“อามุนด์…” ไอคานส์ขมวดคิ้วพร้อมกับทวนคำในลำคอ
ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า บุคลากรระดับอาวุโสของโบสถ์จิตแห่งจักรกล มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์
โดยไม่รอให้ไคลน์เน้นย้ำ มันเงยหน้าขึ้น
“พวกเราจะรวบรวมข้อมูลก่อนลงมือ แล้วก็ สุสานตระกูลขุนนางจากยุคสมัยที่สี่นั้นเต็มไปด้วยอันตราย คุณห้ามบอกเรื่องนี้กับใครหรือเข้าไปสำรวจด้วยตัวเองเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะมีเพียงความตายรออยู่”
ถ้าผมกล้า คงไม่มานั่งบอกพวกคุณเช่นนี้…
ไคลน์ตัดพ้อติดตลก ก่อนจะกล่าว
“ไว้ใจผมได้”
เมื่อการเจรจาได้ข้อยุติ ไอคานส์กับคาร์ลเซ่นเดินออกจากผับดวงเฮงทันที ส่วนไคลน์หยิบหมวกขึ้นมาสวมและลุกยืนเตรียมเดินตามออกไป
ต่อหน้าสุสานขุนนางจากยุคสมัยที่สี่โดยเฉพาะตระกูลเย้ยเทพอย่างอามุนด์ จิตแห่งจักรกลไม่มีทางผลีผลามแน่ คงต้องตรวจสอบอีกหลายวันจึงค่อยเริ่มลงมือ…
ระมัดระวังตัวดีมาก…
ทันใดนั้น ไคลน์เริ่มเอะใจกับวลีของตัวเอง
มันย้อนนึกถึง ‘ความระมัดระวัง’ จนเกินพอดีได้อีกหนึ่งเรื่อง
หลังจากโรซายล์เข้าร่วมกับองค์กรลับเก่าแก่ซึ่งถูกสันนิษฐานว่าเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา มันไม่เคยเขียนชื่อขององค์กรดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่ในภาษาจีนกลางของไดอารี มีเพียงคำอธิบายอย่างกว้างถึงความลึกลับและเก่าแก่เท่านั้น
เป็นความระมัดระวังจนผิดวิสัย…!
ทำไมโรซายล์ถึงไม่กล้าเขียนชื่อองค์กรลับดังกล่าว? ไม่แม้แต่ในภาษาจีน แตกต่างจากอุปนิสัยนักระบายของเขามาก เพราะแต่ไหนแต่ไร โรซายล์ไม่เคยเกรงกลัวการเขียนสิ่งใดลงไดอารีมาก่อน… เขากำลังกลัวอะไร หรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องไหน?
หรือกำลังจะบอกว่า หากถ้อยคำ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อใด องค์กรดังกล่าวจะตระหนักถึงผู้เขียนได้ทันทีโดยไม่เกี่ยงภาษา? สุดยอดพลังเช่นนี้เป็นของสมาชิกชุมนุม หรือว่าเป็นของสมบัติปิดผนึกระดับสูง?
ไคลน์ผุดสมมติฐาน แต่ก็ไม่มีหลักฐานมากพอจะยืนยัน และไม่คิดเสี่ยงพิสูจน์ด้วยตัวเองเช่นกัน
คงต้องสมมติให้เป็นความจริงไปก่อน กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ เพราะจากเหตุการณ์สื่อวิญญาณกับผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย รวมถึงการเล่าให้มิสจัสติสฟัง ทั้งสองครั้งล้วนกระทำบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา… ใกล้จะถึงวันจันทร์พอดี ต้องรีบห้ามมิให้มิสจัสติสและสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่นเขียนชื่อสภานักสิทธิ์สนธยาส่งเดช ส่วนเหตุผล เธอคงคิดได้เองเพียงแค่เราจ้องมองอย่างเงียบงัน…
ไคลน์เริ่มวางแผนในใจขณะเดินออกจากผับดวงเฮง
เมื่อเห็นว่ายังเป็นช่วงสาย ชายหนุ่มโดยสารรถม้าไปยังสโมสรครักซ์ เจตนาเพื่อผลาญเวลาช่วงบ่ายอย่างผ่อนคลาย
หลังจากเข้าไปในห้องโถงหลัก ไคลน์ได้พบกับครูสอนขี่ม้าชนชั้นสูง ทาลิม·ดูมงต์
ทายาทอดีตขุนนางรายนี้กำลังถือแก้วไวน์บรรจุของเหลวสีแดงเลือด ใบหน้าเมามายพลางกระดกแอลกอฮอล์ถี่
“ทาลิม กำลังอารมณ์ดีอยู่หรือ” ไคลน์ยิ้มทักทาย
ทาลิมคิกคักในลำคอ
“เพราะปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว”
จากนั้น มันหันมาถามด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น
“เชอร์ล็อก คุณเคยตกหลุมรักใครสักคนจนโลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพูบ้างไหม”
“…” ไคลน์ยิ้มแห้ง
“ขอโทษด้วย แต่ผมยังโสด”
ทาลิมกระดกไวน์รวดเดียวหมดแก้วและลุกยืนโบกไม้โบกมือ
“น่าเสียดาย ช่างมันเถอะ ขอตัวก่อน”
“จริงสิ ต้องขอบคุณสำหรับการแนะนำมิสเตอร์ฟามี่·เคจให้ผมรู้จัก” ไคลน์หวนนึกถึงนักลงทุนหุ้นบริษัทจักรยานคนใหม่ และตระหนักว่าตนยังไม่ได้ขอบคุณทาลิม “คุณจะว่างตอนไหนบ้าง ผมอยากให้คุณพาไปชิมอาหารรสเด็ดประจำเบ็คลันด์สักร้าน”
“หลังปีใหม่” ทาลิมสวมหมวกและส่งยิ้มให้ไคลน์ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปทางโถงหลักของอาคาร
หมอนั่นคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้วงความรักของวัยรุ่นหรือไง?
ไคลน์พึมพำพลางส่ายหัว
แต่หลังจากหันหลังกลับและเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มพลันได้ยินเสียง ‘ตุ้บ’ อันหนักแน่น
ไคลน์รีบสะบัดหน้ากลับไปมองตามต้นเสียง และได้พบทาลิม·ดูมงต์กำลังนอนแผ่บนพื้นในสภาพหงายท้อง มือซ้ายบีบกำบริเวณหัวใจแน่น ร่างกายสั่นกระตุกตลอดเวลา
บ้าน่า…! ไคลน์เร่งฝีเท้า
ทันใดนั้น มุมปากทาลิมเริ่มผุดฟองน้ำลายสีขาวขุ่น ลมหายใจขาดห้วงกะทันหัน
ไม่กี่วินาทีถัดมา ทาลิม·ดูมงต์ได้กลายเป็นศพเย็นชืดโดยสมบูรณ์
……………………