เธอมีเบาะแส? ไคลน์แสดงสีหน้ายินดีโดยไม่ปิดบัง พร้อมกับรีบซักถาม
“หาได้จากไหน?”
ชายหนุ่มเตรียมจ่าย ‘ค่าปรึกษา’ โดยไม่เกี่ยงราคา
ขณะกำลังนั่งนิ่งในจุดเดิม ชารอนกล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์ประหนึ่งตุ๊กตาพูดได้
“ได้ยินมาจากหนึ่งในชุมนุมลับของมาริค ใครบางคนเล่าว่า พวกเขาบังเอิญพบสุสานของขุนนางเก่า จึงเริ่มทำการสำรวจรอบนอกอย่างละเอียด แต่ยังไม่กล้าเข้าไปข้างใน พวกเขาอธิบายว่า สุสานดังกล่าวมีร่องรอยของเงามืดหนังมนุษย์ จึงต้องการรวบรวมทีมผู้วิเศษเพื่อสำรวจด้านในด้วยกัน สมบัติจะถูกแบ่งกันอย่างเท่าเทียมเมื่อจบภารกิจ”
ขอความช่วยเหลือจากผู้วิเศษแปลกหน้าในชุมนุมลับเนี่ยนะ? สามารถไว้ใจคนอื่นได้ด้วยหรือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีสุสานดังกล่าวตั้งแต่แรก และทั้งหมดเป็นเพียงกับดัก…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก จึงค่อยถามต่อ
“แล้วพวกเขารวบรวมคนสำเร็จไหม”
“สำเร็จ” ชารอนตอบห้วน
บ้าน่า… ไคลน์ไม่กล้าลงลึกรายละเอียด เพียงซักถามต่อโดยบีบเสียงให้เบาลงเพราะกังวลว่าคนขับรถม้าจะได้ยิน
“แล้วหลังจากนั้น?”
“หลังจากนั้น พวกเขาก็มาไม่ปรากฏตัวในชุมนุมลับอีกเลย” ชารอนอธิบายอย่างใจเย็น “หนึ่งในเพื่อนของมาริคได้เข้าร่วมคณะสำรวจในคราวนี้ด้วย และหายตัวไปอย่างไรร่องรอย… ตลอดกาล”
โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม เธอเปล่งเสียงอันล่องลอยและเป็นเอกลักษณ์
“โชคยังดี มาริคพกของใช้ในชีวิตประจำวันของเพื่อนคนดังกล่าว จึงนำมาให้ฉันช่วยทำนายระบุพิกัด ผลลัพธ์นำทางพวกเราไปถึงเมืองผาขาว จนกระทั่งได้พบทางเข้าสุสานซ่อนอยู่ตรงทางแยกกลางแม่น้ำสตาร์ฟอร์ด และไม่ผิดคาด เพื่อนของมาริคอยู่ด้านในสุสานดังกล่าว แต่ในสภาพเป็นศพ”
“พวกคุณเข้าไปสำรวจ?” ไคลน์โพล่งถาม
“เปล่า ใช้วิธีอื่นยืนยัน” ชารอนอธิบายต่อ “กลิ่นอายของสุสานทำให้สัญชาตญาณของฉันร้องเตือน พวกเราจึงไม่กล้าเข้าไปสำรวจ”
เล่ามาถึงจุดนี้ หญิงสาวจ้องมองไคลน์ด้วยดวงตาสีฟ้าสว่าง
“ขอแนะนำว่า หากไม่มีความช่วยเหลือจากผู้วิเศษลำดับ 4 ขึ้นไป หรือสมบัติปิดผนึกในระดับใกล้เคียงกัน คุณไม่ควรเข้าไปสำรวจด้านในสุสาน”
ถ้าแม้แต่คุณยังมองว่าอันตราย ผมคงไม่ต้องเข้าห้วงมิติสายหมอกเพื่อทำนายยืนยัน…
ไคลน์ก้มหน้ามองพื้นและครุ่นคิด
“พอจะทราบไหมว่าเป็นขุนนางตระกูลใด”
ชารอนตอบฉะฉาน
“อามุนด์”
อามุนด์? ตระกูลเย้ยเทพผู้สิงร่างเดอะซันน้อยและเกือบลอบเข้ามาในห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาสำเร็จ?
ไคลน์รีบใช้พลังตัวตลกช่วยข่มอาการกระตุกของเปลือกตา พร้อมกับซักถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คุณทราบได้อย่างไร”
ขณะกล่าวออกไป สมองของไคลน์เริ่มผุดภาพบุคคลสวมชุดคลุมยาวสีดำ หมวกปลายแหลมสีเดียวกัน ใบหน้าผอมเพรียว ดวงตาและเส้นผมสีดำสนิท สวมแว่นตาหนึ่งขา
ปัจจุบัน เส้นผมสีทองของชารอนกำลังส่องประกายเงางามราวกับภาพวาดสีน้ำมันฝีมือปรมาจารย์เอกแห่งยุค เธอตอบเสียงเรียบ
“กลุ่มผู้ว่าจ้างเล่าให้ฟัง พวกเขาพบวัตถุโบราณหลายชิ้นจากการสำรวจรอบนอกสุสานหนแรก สมาชิกคนหนึ่งในทีมสำรวจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จึงนำรายละเอียดบางส่วนมาเปิดเผยในชุมนุมลับเพื่อจูงใจคนให้ไปเข้าร่วม มีการระบุว่าข้าวของเครื่องใช้บางชิ้นเป็นของตระกูลเก่าแก่แห่งราชวงศ์ทูดอร์จากยุคสมัยที่สี่ ตระกูลอามุนด์”
เป็นพวกเย้ยเทพจากยุคสมัยที่สี่จริงด้วย… ไม่ผิดแน่ พวกมันมิได้ต้องคำสาปเหมือนตระกูลอับราฮัม มิได้ถูกเจาะจงทำลายโดยโบสถ์เทพธิดาเหมือนตระกูลอันทีโกนัส…
จากความพิเศษและพลังอันน่าทึ่งซึ่งแสดงให้เห็นในเมืองเงินพิสุทธิ์ สถานการณ์ปัจจุบันของอามุนด์น่าจะไม่ต่างกับตระกูลซาราธสักเท่าไร พวกมันยังคงส่งต่อพลังจากรุ่นสู่รุ่นอย่างลับๆ มีผู้วิเศษลำดับสูงคอยปกป้องตระกูล และบางทีอาจเป็นถึงระดับเทวทูต พวกมันกุมความลับสำคัญของโลกไว้บางส่วน เช่น ‘พิกัด’ ของดินแดนเทพทอดทิ้ง…
อันตรายจากสุสานของตระกูลดังกล่าว แม้แต่เราก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยาก บางที อามุนด์อาจกำลังใช้พลังสักชนิดในการตรวจสอบความเป็นไปของทวีปเหนือ แม้ตัวจะอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้งแสนห่างไกลก็ตาม เราไม่ควรใช้สามัญสำนึกของผู้วิเศษลำดับกลางถึงล่างประเมินเหล่าครึ่งเทพ…
ไคลน์ไม่ต้องคิดนานก็ได้ข้อสรุปว่าตนไม่ควรเข้าไปข้องแวะกับสุสานตระกูลอามุนด์
มันเงยศีรษะจ้องชารอนด้วยสีหน้ากึ่งผิดหวังเจือจาง
“นอกจากสุสานแห่งนั้น คุณก็ไม่มีแหล่งรวบรวมเงามืดหนังมนุษย์ทางอื่นแล้วใช่ไหม”
ชารอนส่ายหัว
“ยังมี”
“หือ?” ดวงตาไคลน์เริ่มเปล่งปลั่งอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบขยับตัวนั่งในท่าตั้งใจฟัง
ชารอนตอบเสียงเรียบ
“ในชุมนุมลับของฉัน ผู้วิเศษคนหนึ่งรับปากว่า หากใครทำภารกิจของเธอสำเร็จ จะสามารถเลือกรางวัลเป็นวัตถุดิบหลักชิ้นใดก็ได้ในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ”
“หรือก็คือ เธอมีวัตถุดิบหลักทุกชนิดในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพไว้ในครอบครอง…?”
คำถามแรกในใจไคลน์คือ : ขี้โม้!
หากจะมีใครถือครองวัตถุดิบหลักไว้ในมือมากขนาดนั้น ก็คงต้องเป็นขั้วอำนาจใหญ่อย่างเช่นโบสถ์รัตติกาล และต้องมีห้องกักเก็บระดับเดียวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือมหาวิหารสุขสงบ เท่านั้น!
โบสถ์รัตติกาลอาจมีวัตถุดิบหลักของเส้นทางอื่นเก็บไว้เป็นจำนวนมากเนื่องจากไม่เคยถูกนำมาใช้งาน…
เมื่อได้ยินคำถามไคลน์ ชารอนตอบสุขุม
“เธอเป็นผู้วิเศษลำดับสูง”
ลำดับสูง? นึกแล้วเชียว… ตัวตนระดับนี้คงเป็นสมาชิกคนสำคัญของโบสถ์ หรือไม่ก็องค์กรลับใหญ่สักแห่ง หรือถ้าไม่ใช่สองอย่างข้างต้น เธอก็ต้องเป็นผู้นำองค์กรลับเสียเอง! แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง การโอ้อวดว่ามีวัตถุดิบหลักทุกชนิดในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ คงออกจะเกินจริงไปสักหน่อย…
ไคลน์วิเคราะห์ในใจ ชารอนเสริม
“เธอระบุว่า วัตถุดิบหลักบางชนิดอาจต้องใช้เวลาในการรวบรวมนานกว่าปรกติ”
นั่นปะไร… ไคลน์รีบซักถามอย่างสนใจ
“แล้วภารกิจของเธอคือ?”
ชารอนนั่งหลังตรงด้วยกิริยาสง่างาม
“สืบหาตัวตนแท้จริงของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด”
“…”
ไคลน์เชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า หากตอนนี้ตนกำลังดื่มน้ำ รับรองได้เลยว่าต้องพรวดของเหลวออกจากปากแน่นอน
เราไปเหยียบตาปลาใครเข้า? ทำไมถึงถูกผู้วิเศษลำดับสูงตามล่าตัวเอาได้?
ชายหนุ่มรำพันเป็นสำนวนจีนกลางอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะสงบสติและกลับมาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
สภานักสิทธิ์สนธยา? เป็นเพราะจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดลงมือสังหารผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย บีเลียล?
สมาชิกชุมนุมแสงเหนือ? พวกมันเชื่อมโยงเดอะฟูลกับไพ่ทาโรต์บนตัวศพคาพิน จึงเริ่มสืบสวนเกี่ยวกับจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด?
สมาชิกของสามโบสถ์หลักหรือ MI9? พวกมันเริ่มทราบความจริงเกี่ยวกับคดีคาพิน?
ทุกตัวเลือกฟังดูเป็นไปได้ทั้งหมด ไม่สามารถกาใครออกได้แม้แต่ชื่อเดียว!
ไคลน์ไม่เผยความผิดปรกติทางสีหน้า เพียงเรียบเรียงคำพูดและซักถามต่อ
“ทำไมเธอคนนั้นถึงต้องการทราบตัวจริงของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด?”
“ไม่มีใครรู้เหตุผล” ชารอนตอบกระชับ
ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิดราวสองวินาที จึงค่อยตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม
“มีรายละเอียดของผู้ว่าจ้างไหม?”
ชารอนเงียบงันสักพัก คล้ายกับกำลังใช้จินตนาการ ก่อนจะอธิบาย :
“เพศหญิง สูงเกิน 1.7 เมตรเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลเกาลัด เข้าชุมนุมแบบปกปิดหน้าตา ชอบสวมรองเท้าบูตหนังสีดำ นานครั้งจึงจะเข้าร่วมชุมนุมสักหน ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อราวสองเดือนก่อน”
ชอบสวมรองเท้าบูตหนังสีดำ เพศหญิง และยังเป็นผู้วิเศษลำดับสูง…
เมื่อสามปัจจัยถูกรวมเข้าด้วยกัน ความทรงจำเก่าของไคลน์พลันถูกกระตุ้น
ย้อนกลับไปขณะมันลอบเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเพื่อขโมยไพ่จักรพรรดิมืด ไคลน์ได้พบกับผู้วิเศษลำดับสูงคนหนึ่งภายในห้องอ่านหนังสือจำลองของโรซายล์ หญิงสาวเผยให้เห็นเพียงรองเท้าบูตหนังสีดำ หลังจากไคลน์หนีรอดมาได้ด้วยพลังของมิติสายหมอก ชายหนุ่มนำมาสเตอร์คีย์มาไขประตูออกจากบ้านเพื่อหลบหนี และดันโชคร้าย โผล่ออกไปเจอสุนัขปีศาจเข้าพอดี จึงรีบเผ่นหนีพลางแหกปากตะโกนขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็หาโอกาสขึ้นรถม้าได้สำเร็จ แต่ระหว่างทาง นักสืบโมเรียตี้ได้ถูกหญิงสาวปริศนาคนเดิมเรียกตัวไป ‘สัมภาษณ์’ เป็นกรณีพิเศษ
เป็นเธอเองหรือ? ทำไมถึงคิดตามหาจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด? หรือเพราะเธอเห็นว่าผู้ขโมยไพ่เป็นร่างวิญญาณ และทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าให้ร่างวิญญาณ ‘พก’ ไพ่จักรพรรดิมืดไว้กับตัว? จากนั้นจึงตามหาเบาะแสของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดซึ่งมีรูปลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงกัน?
สมองไคลน์เริ่มปั่นป่วน
มันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงมั่นใจนักว่าตนถือครองไพ่จักรพรรดิมืด ไม่ใช่ไพ่เย้ยเทพใบอื่นของโรซายล์ เช่นไพ่นรก ไพ่สุริยัน
นอกเสียจาก เธอกำลังตามล่าไพ่เย้ยเทพอยู่พอดี และมั่นใจว่าแผ่นคั่นหนังสือในพิพิธภัณฑ์คือไพ่จักรพรรดิมืด… มาดามชารอนระบุว่าเธอเริ่มเข้าร่วมชุมนุมครั้งแรกเมื่อสอนเดือนก่อน ตรงกับช่วงนิทรรศการหวนรำลึกโรซายล์พอดี… โดยหลังจากนั้น เธออาจอาศัยอยู่ในเบ็คลันด์ต่อเพื่อสืบข่าวจากชุมนุมลับเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็ออกจากเบ็คลันด์และกลับไปทำงานตามปรกติ แต่ยังแวะกลับมาสืบหาเบาะแสของผู้แย่งชิงไพ่จักรพรรดิมืดอย่างสม่ำเสมอ?
ขณะสมองกำลังร้อนจี๋ ไคลน์เผยรอยยิ้มจืดชืดตรงมุมปาก
“ผมจะช่วยสืบหาเบาะแสให้อีกแรง หากมีความคืบหน้าจะรีบแจ้งให้ทราบทันที”
เธอจะไม่มีวันได้อะไรไปจากฉัน!
ชายหนุ่มสาบานกับตัวเองหนักแน่น
ชารอนพยักหน้ารับแผ่วเบาจนยากจะสังเกตเห็น และไม่กล่าวสิ่งใดเกี่ยวกับเบาะแสของเงามืดหนังมนุษย์อีก
น่าทึ่งมาก แม้จะมีเธอกับมาริคแค่สองคน แต่กลับมอบข้อมูลให้เราได้มหาศาล มากกว่าเครือข่ายแวมไพร์ของเอ็มลิน และมากกว่าชุมนุมของเนตรแห่งปัญญา มิสเตอร์ไอเซนการ์ด·สแตนธอน…
ไคลน์ถอนหายใจเชื่องช้า พยายามปกปิดอารมณ์ผิดหวังพร้อมกับกล่าวอย่างระมัดระวัง
“คุณกับมาริคไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปคืนจันทร์เต็มดวงแล้วใช่ไหม”
“มงกุฎจันทร์ชาดมีแค่อันเดียว” ชารอนตอบเสียงเรียบ
หากใครสวมมงกุฎจันทร์ชาดขณะพระจันทร์กำลังเต็มดวง คำสาปจะไม่ส่งผลกับคนผู้นั้น เรียกได้ว่าเป็นสมบัติวิเศษในฝันของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์เลยทีเดียว
หรือก็คือ จะมีคนหนึ่งรอด และอีกหนึ่งคนตกอยู่ในสถานการณ์เดิม… หืม ถ้าจำไม่ผิด คำสาปของมาริคจะทำให้บ้าคลั่ง ส่วนคำสาปของชารอนจะทำให้หมดแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครสวม มาริคแน่นอน…
ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อ
“คุณพบวิธีขจัดการปนเปื้อนทางจิตออกจากตะกอนพลังของสตีฟหรือยัง?”
มันถามพอเป็นพิธี เพราะคาดหวังกับเดอะซันน้อยไว้มากกว่า
“ยัง” ชารอนตอบโดยไม่มองหน้า ประหนึ่งกำลังคุยกับคนอื่น
ถ้าอย่างนั้น หากเราทราบวิธีเมื่อไร จะนำมาแบ่งปันให้ฟังก็แล้วกัน อย่าลืมเตรียมเงินไว้ให้พอด้วย หึหึ…
ไคลน์เพียงผงกศีรษะรับ ไม่ทราบว่าตนควรสานต่อสนทนาเช่นไร
ชายหนุ่มเว้นวรรคไปสักพัก
“แล้วเมืองผาขาวอยู่แถวไหน”
“ชานเมืองเบ็คลันด์ ถัดไปจากย่านทิศใต้ของสะพาน” ชารอนตอบห้วน
จากนั้น เธอจ้องไคลน์ด้วยดวงตาสีฟ้า
“หมดหรือยัง”
“หมดแล้ว” ชายหนุ่มส่ายหัว ก่อนจะนึกขึ้นได้และรีบถาม “ผมสามารถบอกพิกัดของสุสานให้คนอื่นทราบได้ไหม”
“เชิญ”
เมื่อสิ้นเสียง ร่างของชารอนเริ่มจางลง ก่อนจะหายไปจากห้องโดยสารอย่างสมบูรณ์
อาจเป็นเพราะต้องการปกปิดร่องรอย หญิงสาวจึงไม่เคยใช้น้ำหอมแม้แต่ครั้งเดียว
ภายในรถม้าไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่กลิ่น
……………………