กรุงเบ็คลันด์ ภายในห้องใต้ดินซึ่งมีสภาพโอ่โถงคล้ายวิหาร
มิสเตอร์ A ผู้สวมชุดคลุมยาวสีดำ กำลังนั่งคุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นยักษ์ห้อยหัวโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน
ทันใดนั้น ใบหูของมันพลันกระดิกราวกับกำลังได้ยินบางสิ่ง
มิสเตอร์ A ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือซ้ายกระชากนิ้วชี้ขวาออกมาทั้งลำ
มันยัดนิ้วโชกเลือดใส่ปากและเคี้ยวเสียงดัง
อึก!
ลำคอมิสเตอร์ A กระเพื่อมเล็กน้อยขณะฝืนกลืนเศษนิ้วบดลงกระเพาะอาหาร
ทันใดนั้น ร่างกายมันชักกระตุกรุนแรงราวกับถูกจับเขย่าโดยฝ่ามือล่องหน
ในสภาพดังกล่าว มิสเตอร์ A เหยียดแขนขวาตรงไปข้างหน้าและใช้เลือดจากบาดแผลเขียนตัวอักษรลงบนพื้นห้อง
อักษรดังกล่าวมิได้เป็นของภาษาคนยักษ์หรือมังกรซึ่งเปี่ยมด้วยพลังธรรมชาติ และไม่ใช่เฮอร์มิสซึ่งนิยมใช้ในพิธีกรรม หากแต่เป็นภาษาท้องถิ่นแสนธรรมดาอย่างอักษรโลเอ็น
ของเหลวสีแดงถูกปัดป้ายจนกลายเป็นประโยคยาวใจความว่า
“พบแล้ว : เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ ผู้รับใช้และสาวกของมัน… …อยู่ในเบ็คลันด์”
หลังจาก ‘คำชี้นำจากเทพ’ จบลง ร่างกายมิสเตอร์ A พลันหยุดสั่น นิ้วใหม่งอกเงยขึ้นมาแทนตำแหน่งเดิมอย่างไร้รอยต่อ
มันก้มหน้าลงไปอ่านข้อความเลือดของตัวเองซ้ำหลายหน จนกระทั่ง มุมปากเริ่มยกโค้งอย่างมีเลศนัยท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิท
“ข้าน้อยน้อมรับบัญชาจากพระองค์!”
มิสเตอร์ A หมอบกราบราบไปกับพื้นอย่างมีความสุข ประหนึ่งได้ค้นพบความหมายการมีชีวิตของตัวเองอีกครั้ง
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ เหนือสุดยอดหอคอย
โลเฟียร์เดินมายืนข้างหน้าต่างพลางก้มมองแสงเทียนสลัวท่ามกลางความมืดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เธอได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูห้อง
“ท่านผู้นำ?” โลเฟียร์รีบหันไปมองอย่างกระตือรือร้นและทักทายผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม
ประตูห้องเปิดเข้ามาเองโดยอัตโนมัติ
อีกฝ่ายไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำสูงสุดของเมืองเงินพิสุทธิ์ นักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด มันยังคงแต่งกายด้วยโค้ทสีน้ำตาล เข็มขัดหนังเต็มไปด้วยขวดบรรจุของเหลวลึกลับ
“โลเฟียร์ ความผิดปรกติของทีมสำรวจได้รับการยืนยันแล้ว” โคลินอธิบายเสียงเรียบ “ในฐานะหัวหน้าทีม แม้ว่าคุณจะไม่ปรากฏสัญญาณความผิดวิสัย แต่ตามระเบียบขั้นตอนแล้ว คุณต้องถูกกักกันในห้องใต้หอคอยเป็นเวลาสามวันเต็ม รวมถึงต้องได้รับการบำบัดจากมงกุฎรุ่งโรจน์ของไอโฟลว์ ได้โปรดเข้าใจด้วยว่านี่คือกฎระเบียบเก่าแก่”
โลเฟียร์มิได้เผยท่าทีโกรธเคืองแม้แต่เศษเสี้ยว หญิงสาวเพียงยิ้ม
“ดิฉันทราบดี และเตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิตในห้องกักกันเป็นเวลานานไว้แล้ว หรือต่อให้เรื่องนี้จบลง ดิฉันก็ยินดีรับการตรวจสอบจนกว่าท่านจะพึงพอใจ”
ขณะกล่าว โลเฟียร์เดินสวนกับโคลินและนำหน้าออกจากห้องไป
โคลินไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินตามหลังและก้าวขาลงบันไดวนไปยังชั้นล่าง
ระหว่างทาง ทั้งสองได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกสลับกับเสียงร่ำไห้อย่างสะเทือนขวัญเป็นระยะ
“ถึงเวลาแล้วหรือ?”
โลเฟียร์ทำหน้าฉงนเล็กน้อย
โคลินผงกศีรษะรับ
“ถูกต้อง นี่คือชะตากรรมอันโหดร้ายซึ่งพวกเราทุกคนมิอาจหนีพ้น…”
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องโถงใหญ่กึ่งกลางหอคอย
สมาชิกทีมสำรวจและชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ผู้ตกเป็นเหยื่อการกัดกร่อนจิต กำลังถูกกดร่างกายให้หมอบติดพื้นด้วยบางสิ่งคล้ายพลังศักดิ์สิทธิ์ ราวกับมีขุนเขาลูกยักษ์กดทับจนแบนราบ
คู่รักผิวคล้ำอายุราวสี่สิบ พวกมันกำลังถือตามเงินฉาบอักขระซับซ้อน พลางย่างกรายเข้าหาเด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่า
ส่วนลำตัวของเด็กหนุ่มกลายเป็นก้อนเนื้อเน่าเฟะโดยสมบูรณ์ แต่ศีรษะยังคงครบถ้วนเหมือนมนุษย์ มีท่อสีแดงยาวเชื่อมติดระหว่างก้อนเนื้อและต้นคอ
เมื่อเห็นสองสามีภรรยาย่างกรายเข้าใกล้ เด็กหนุ่มรีบตะโกนโหวกแหวกด้วยเสียงประหวั่น
“พ่อ! แม่! คิดจะทำอะไรกับผม? ไหนบอกว่าคืนนี้พวกเราจะมีงานเลี้ยงแมงป่องเหล็กย่าง? พ่อครับ แม่ครับ ผมอุตส่าห์จับแมงป่องเหล็กย่างมาให้ตั้งหลายตัว…”
สองสามีภรรยามิอาจทนเห็นภาพตรงหน้าต่อไปได้อีก พวกมันเบือนศีรษะไปทางอื่น แต่ปลายดาบยังคงยกค้างขึ้นฟ้า
ฉึก! ฉึก!
เสียงเสียดแทงดังสองครั้งซ้อน เสียงโหยหวนของเด็กหนุ่มพลันหยุดลงในพริบตา มันชักกระตุกแผ่วเบาในตอนต้น หลังจากนั้นก็ปราศจากสัญญาณชีพโดยสิ้นเชิง
ในจุดอื่นของลานกว้าง เด็กหญิงอายุราวสิบขวบคนหนึ่ง กำลังเงื้อดาบเงินสลักลวดลายซับซ้อน ตั้งท่าเตรียมแทงใส่พี่สาวร่วมสายเลือดด้วยน้ำตานองหน้า
คนพี่นอนแผ่นราบไปบนพื้นพลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จากนี้ไป เธอจะต้องใช้ชีวิตตามลำพัง อย่าปล่อยให้ใครเขาหลอกเชียวนะ…”
เด็กหญิงคนน้องเอาแต่คุกเข่าร่ำไห้จนดวงตาพร่ามัว ดาบในมือชะงักค้างไว้กลางอากาศ
จนกระทั่งเธอกัดฟันทุ่มแรงแทงลงไป
ฉึก!
ดวงตาเด็กหญิงพลันเหม่อลอย ราวกับประสาทสัมผัสทั้งหมดหยุดทำงานกะทันหัน
นี่คือคำสาปแสนหดหู่ซึ่งชาวเมืองพิสุทธิ์ทุกคนต้องเผชิญ พวกมันมีชะตากรรมต้องลงมือปลิดชีพญาติพี่น้องร่วมสายเลือดด้วยน้ำมือตัวเอง ไม่อย่างนั้น ศพคนตายจะกลายเป็นวิญญาณมารและสร้างความฉิบหายให้แก่เมืองเงินพิสุทธิ์
ดังนั้น ถึงแม้ดาร์ก·รีเจนซ์จะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยสมบูรณ์เนื่องจากถูกกัดกร่อนโดยตัวตนลึกลับ แถมยังไม่มีมูลค่าในเชิงการสอบสวน แต่ ‘เงาดำ’ ก็ไม่กล้าสังหารดาร์กในทันที มันเลือกจะพาตัวกลับมายังหอคอยและปล่อยให้ญาติมิตรลงมือปลิดชีพแทน ไม่อย่างนั้น สถานการณ์คงยากลำบากมากขึ้นหลายเท่า
ชะตากรรมของทีมสำรวจในคราวนี้ไม่ถือเป็นกรณีพิเศษแต่อย่างใด บรรพชนเคยถูกปฏิบัติตัวเช่นไร พวกมันก็ถูกกระทำเช่นนั้นอย่างเท่าเทียมมานานกว่าสองพันปี ถึงแม้ชนรุ่นหลังจะไม่เคยเห็นกับตาว่า หากตายโดยฝีมือบุคคลอื่นนอกจากญาติ ศพจะกลายเป็นวิญญาณมารและลุกขึ้นมาทำลายเมืองจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพิสูจน์ในเรื่องนี้
โชคยังดี เมืองเงินพิสุทธิ์มีจำนวนประชากรไม่มาก แถมยังมีระบบบริหารสายเลือดค่อนข้างเข้มงวด ประชากรแต่ละคนจึงมีจำนวนเครือญาติมาก และเกือบทั้งหมดจะอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่พร้อมกันไม่เกินสามรุ่น แต่ก็สามารถตามตัวญาติมาปลิดชีพได้ไม่ยากเย็น
ด้วยเหตุนี้ เงื่อนไขพื้นฐานของการจัดทีมลาดตระเวนรอบเมือง จึงต้องคำนึงด้านสายเลือดเป็นหลัก เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินหากมีใครเสียชีวิต
แต่ในกรณีของทีมสำรวจนั้นไม่เคร่งครัดเท่า เนื่องจากเป็นภารกิจเดินทางไกล ถึงจะมีใครเสียชีวิต แต่วิญญาณมารก็จะอยู่ห่างจากเมืองเงินพิสุทธิ์มาก ไม่ส่งผลกระทบต่อเมืองแต่อย่างใด
ในกรณีของคนไร้เครือญาติโดยสิ้นเชิง เขาหรือเธอเหล่านั้นจะถูกจับตามองเป็นกรณีพิเศษจากสภาเมือง และถ้าแสดงอาการป่วยรุนแรงหรือแก่ชรามากแล้ว ชะตากรรมเดียวคือการถูกเนรเทศให้เดินเข้าไปในความมืดมิดภายนอกเมืองเงินพิสุทธิ์และจบชีวิตลง
เฉกเช่นอดีตหัวหน้าทีมสำรวจจากสี่สิบสองปีก่อน อเดล ผู้ถูกขังไว้ในห้องใต้หอคอย ในตอนนั้น มีอาวุโสจำนวนสามคนกำลังเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ภายในหอ แต่ผู้ลงมือกลับเป็นโคลิน·อีเลียดด้วยตัวเอง เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น อาวุโสคนอื่นจะทำได้แค่พยายามผนึกอเดลไว้โดยมิอาจฆ่าทิ้ง
สืบเนื่องมาจาก อเดลคือพี่ชายสืบสายเลือดเดียวกับโคลิน
คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ และนักล่าปีศาจโคลิน เดินลงมายังเขตห้องใต้หอคอยโดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใด ถัดมา ด้วยการนำทางของอัศวินรุ่งอรุณ ทั้งสองจึงถูกพามายังส่วนลึกสุดของห้องคุมขัง
เพียงไม่นาน โลเฟียร์และโคลินหยุดยืนหน้าประตูห้องขัง ส่วนอัศวินรุ่งอรุณแยกย้ายกลับไปประจำตำแหน่งตัวเอง
หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องขังโดยปราศจากความผิดแผกทุกรูปแบบ
เครื่องเรือนภายในห้องประกอบด้วยหนึ่งฟูกนอน หนึ่งโต๊ะ หนึ่งเก้าอี้ และหนึ่งเทียนไข
ก่อนประตูโลหะจะปิดสนิท โลเฟียร์ใช้ดวงตาสีเทาซีดจ้องมองนักล่าปีศาจโคลิน
“ท่านเคยบอกกับดิฉันว่า ถ้าชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เสียชีวิตท่ามกลางความมืดนิดด้านนอก พวกเขาจะไม่กลายเป็นวิญญาณมารในทันที แต่ต้องใช้เวลาหลายวันจึงจะเกิดกระบวนการเปลี่ยนสภาพ ส่งผลให้ทีมสำรวจมีเวลามากพอในการทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัย”
โคลินพยักหน้ารับ
โลเฟียร์หลับตาลง พลางกล่าวต่อด้วยรอยยื้มขื่นขม
“ในภารกิจสำรวจเมื่อสองเดือนก่อน สมาชิกคนหนึ่งเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาดิฉัน ในภายหลัง ดิฉันแสร้งบอกกับคนอื่นในทีมว่าขอแยกตัวเดินทางคนเดียวสักพัก แต่ความจริงแล้ว ดิฉันย้อนกลับไปเฝ้าศพของสมาชิกผู้เสียชีวิต …อย่างไรก็ตาม แม้จะรอนานถึงห้าวันเต็ม แต่เขาก็ยังไม่กลายเป็นวิญญาณมาร”
นักล่าปีศาจโคลินไม่กล่าวสิ่งใดต่อ สายตามจ้องมองโลเฟียร์อย่างเงียบงันจนกระทั่งประตูเหล็กปิดสนิท และผนึกใต้หอคอยเริ่มทำงานของมันอย่างสมบูรณ์
…
เหนือสายหมอกสีเทา ท่ามกลางพระราชวังโบราณอันเงียบสงัด
หลังจากเพ่งสมาธิรอผลลัพธ์สักพัก ไคลน์ค่อนข้างผ่อนคลายเมื่อพบว่าดาวแดงของเดอะซันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
คงทำสำเร็จแล้วกระมัง…
ชายหนุ่มบีบคลึงขมับพลางห่อหุ้มร่างจิตด้วยพลังวิญญาณเพื่อกลับมายังโลกจริง
ในวินาทีได้รับประสาทสัมผัสของมนุษย์กลับคืน ร่างกายไคลน์พลันหนาวเย็นจับใจ
มันจามเสียงดังหนึ่งครั้ง ก่อนจะรีบสลายกำแพงวิญญาณและคลานกลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม
ช่างน่าเศร้า เตียงนอนกำลังเย็นเฉียบยิ่งกว่าแผ่นน้ำแข็งเสียอีก
โชคยังดีว่า ร่างกายเราได้รับการคุ้มครองจากห้วงมิติเหนือสายหมอก ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้คงได้ป่วยเป็นหวัดแน่…
ไคลน์รำพันขณะนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มเย็น
สภาพในปัจจุบันทำให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงมุกตลกสมัยโลกเก่า :
การเสียดสีจะทำให้เกิดความอบอุ่น…
กว่าจะนอนหลับก็ต้องรอให้เตียงกลับมาเย็นอีกครั้ง ระหว่างนั้น ไคลน์ปลดปล่อยความคิดล่องลอยและวิเคราะห์เรื่องราวรอบตัว
ใช่แล้ว… ช่วงนี้เราไม่มีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบสะสาง กฎของนักมายากลก็ได้ข้อสรุปแล้วเช่นกัน ต่อให้ไม่ ‘รนหาความตาย’ ลำพังการสวมบทบาทในชีวิตประจำวัน ก็มาพอจะช่วยให้โอสถย่อยสมบูรณ์ได้ในช่วงปีใหม่ งานของเราช่วงนี้จึงเป็นการรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถผู้ไร้หน้าให้ครบ หนึ่งในวิธีครอบครองคือการออมเงินก้อนใหญ่ แต่รีบร้อนจนเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน…
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ความตึงเครียดในใจไคลน์ผ่อนคลายลงมาก มันวางแผนจะพักผ่อนสักสองสามวันโดยไม่ต้องการกระทำสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน
เมื่อเตียงนอนเริ่มกลับมาอบอุ่น ชายหนุ่มจึงเผลอหลับโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งลืมตาตื่นอีกทีเมื่อระฆังวิหารดังกังวานแปดครั้ง
ไคลน์เหยียดแขนบิดขี้เกียจ แต่เมื่อสัมผัสกับอากาศเย็นจัด ชายหนุ่มพลันหดกลับเข้าผ้าห่มอย่างลนลาน
วันนี้ก็หนาวขึ้นอีกแล้วหรือ… ในเมื่อช่วงนี้ไม่มีอะไรสำคัญให้ต้องทำ เราควรทิ้งตัวนอนสันหลังยาวไปอีกราวสองชั่วโมง….
ชายหนุ่มปิดเปลือกตาด้วยความขี้เกียจ
แต่เพียงไม่นาน เสียงท้องร้องเริ่มดังโครกคราก พร้อมกับความปั่นป่วนมวนท้องจากด้านล่าง
ทำไมการใช้ชีวิตถึงได้ยากแบบนี้…
ไคลน์รำพันหัวเสีย
หลังจากการต่อสู้ของสองอารมณ์ขัดแย้งผ่านไปราวสิบนาที ชายหนุ่มตัดสินใจลุกตื่น และเดินตรงไปทางห้องน้ำซึ่งมีประตูติดกับห้องนอน
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับล้างหน้าล้างตา ไคลน์เดินลงมายังชั้นล่างและหยิบเครื่องปรุงสำหรับบะหมี่เฟเนพ็อตออกมาเตรียม
ในคราวนี้ มันไม่คิดใช้ซอสเนื้อซึ่งซื้อมาติดบ้านไว้เป็นประจำ ตรงกันข้าม มันจะใช้เนื้อสับทำเอง สิ่งนี้ถูกเตรียมไว้ตั้งแต่สองวันก่อน เกิดจากเครื่องปรุงในความทรงจำอันเลือนรางสมัยโลกเก่า ถึงแม้วัตถุดิบของโลกสองใบ้จะแทบไม่เหมือนกันเลย แต่ไคลน์ก็พยายามดัดแปลงให้ออกมาใกล้เคียง
เพียงไม่นาน บะหมี่เฟเนพ็อตราดเนื้อสับก็เป็นอันเสร็จสิ้น ไคลน์พบว่าวันนี้ก็เป็นช่วงเช้าอันยอดเยี่ยมอีกหนึ่งวัน
มันยังคงเลียนแบบกิจวัตรของชาวโลกใหม่ นั่นคือการอ่านหนังสือพิมพ์พลางกินอาหารอย่างสำราญใจ อันดับแรกคือการตรวจสอบโฆษณาเพื่อให้ทราบว่า เนตรแห่งปัญญาได้จัดการชุมนุมในวันถัดไปหรือไม่
สืบเนื่องจากความคิดกลางดึกเมื่อคืน วันนี้ไคลน์จึงเตรียมผ่อนคลายตัวเองอย่างเต็มพิกัด ถ้าไม่ไปชมละคร ก็คงเป็นโอเปร่า หรือไม่ก็การแสดงดนตรี
บัตรเข้าชมหอดนตรีในเขตตะวันตก เขตเชอร์วู้ด และเขตฮิลสตัน ล้วนมีราคาไม่ต่ำกว่าหกซูล ยิ่งถ้าเป็นนักดนตรีมีชื่อเสียง ราคาจะพุ่งสูงถึงหนึ่งปอนด์เลยทีเดียว ทางด้านหอดนตรีสำหรับชนชั้นกลางจะมีราคาลงลดเหลือหกถึงเก้าเพนนี ส่วนหอดนตรีของชนชั้นล่างซึ่งมักเปิดให้บริการในเขตตะวันออก จะราคาเพียงหนึ่งเพนนีเท่านั้น…
ไคลน์พลิกอ่านข้อมูลประกอบ พลางตัดสินใจว่าวันนี้ตนควรพักผ่อนหย่อนใจอย่างไรดี
ทันใดนั้น เสียงกริ่งบ้านพลันก้องกังวาน
กริ๊ง~
……………………