เหนือหมอกสีเทา ภายในวังที่งดงาม
อาศัยแสงสว่างแห่งการสวดวิงวอนของเอ็นยูน ไคลน์มองเห็นเหตุการณ์ในห้องบุรุษรับใช้ของตน
ภาพฉายถูกเลื่อนขึ้นและค่อยๆ ขยายออก ฉากทั้งหมดของถนนเบิร์คลุนค่อยๆ ปรากฏในสายตา ด้านล่างเป็นอาคารขนาดเล็กมากมายรายล้อมด้วยดอกไม้และสวนเขียว มีต้นเมเปิ้ลอินทิสคอยบดบังแสงแดด ผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างไม่รีบร้อน หลายหลังมีรถม้าที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา มีคนหนุ่มสาวกำลังขี่จักรยานอย่างมีความสุข
จนกระทั่ง ไคลน์ให้ความสนใจไปที่บ้านเลขที่ 39 บ้านพักของส.ส. มัคท์ จากนั้นก็เลื่อนภาพลงไป เพ่งมองคนและสัตว์ภายใน เผื่อว่าอาจจะพบชายผมดำ ดวงตาสีดำ และสวมแว่นตาขาเดียว
ฟู่ว… ตอนนี้ยังไม่มองไม่เห็นการปลูกถ่ายชะตากรรม… ราวสิบนาทีถัดมา ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก
ทันใดนั้น รถม้าแล่นเข้าไปในบ้านของมัคท์ หยุดอยู่หน้าประตู
เด็กสาวผมสีเขียวยาวสลวย หยักศกตอนปลาย ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เดินลงจากรถม้า ไม่ใช่ใครนอกจากเฮเซลที่กลับถึงบ้าน
เธอสวมชุดสีเขียวเข้มปิดไหล่ มุมปากกดลงเล็กน้อย เผยให้เห็นกลิ่นอายความสุขเล็กๆ น้อยๆ
ได้เช่นเฮเซลในสภาพนี้ หัวในไคลน์พลันเต้นแรง
นี่คือเรื่องผิดปรกติอย่างไร้ข้อกังขา!
จากมุมมองของไคลน์ หลังจากหนูครึ่งเทพเผชิญหน้ากับร่างโคลนของอามุนด์ ผลลัพธ์สามารถออกมาได้เพียงสองหน้าเท่านั้น หนึ่ง หนูตัวนั้นยังเหลือไพ่ตาย สามารถหลบหนีสำเร็จโดยต้องแลกมากับหลายสิ่ง และสอง หนูตัวนั้นถูกเปลี่ยนให้เป็นตะกอนพลัง ช่วยให้ร่างโคลนของอามุนด์พัฒนา โดยไม่ว่าจะออกหน้าไหน เฮเซลไม่มีทางหาอาจารย์พบ เธอต้องเศร้า ดำดิ่ง เจ็บปวด ไม่มีทางผ่อนคลายและมีความสุข!
เป็นที่แน่ชัดว่า เฮเซลเดินทางไปที่คฤหาสน์เพื่อแจ้งข่าวกับอาจารย์ เธอไม่ใช่คนใจดำ… คำอธิบายเดียวในตอนนี้ก็คือ เฮเซลได้พบกับอาจารย์ที่สบายดี แถมยังได้รับรางวัลบางอย่าง หรือไม่ก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับเพิ่มเติม… ขัดแย้งกับข้อสันนิษฐานของเราที่เชื่อว่าหนูครึ่งเทพตัวนั้นจะตาย… ไม่สิ… เรากำลังคิดไปเองว่าขัดแย้ง… ถ้าลองตัดความเป็นไปไม่ได้ออกทั้งหมด สิ่งที่เหลืออยู่คือความจริง… ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ ภายในใจครุ่นคิดบางสิ่ง:
ไม่เพียงอามุนด์จะดูดซับตะกอนพลังของหนูครึ่งเทพ แต่ยังขโมยชะตากรรมมาด้วย และสวมรอยแทนที่หนูตัวนั้น!
ส่งผลให้ ในสายตาเฮเซล อาจารย์ของเธอยังคงสบายดี แค่ต้องซ่อนตัวไปสักพัก… เมื่อยืนยันได้ ไคลน์ถอนหายใจเงียบ สบายใจขึ้นเล็กน้อย
สำหรับมัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับอามุนด์ก็คือ ไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวอย่างไรหรือในลักษณะใด อยู่ดีคืนดี ส.ส. มัคท์อาจหยิบแว่นตาขาเดียวออกมาสวม หรือไม่ก็พวกยุงในสวนต่างหันกลับมามองโดยมีแว่นตาขาเดียวประดับอยู่ ดังนั้น เมื่อเข้าใจเบื้องต้นว่าอามุนด์จะปรากฏตัวในลักษณะใด ไคลน์ย่อมสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
สำหรับเรื่องที่ว่า เฮเซลจะพบความผิดปรกติในตัวอามุนด์หรือไม่ ไคลน์เชื่อว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุด ราชาเทวทูตตนนี้เก่งกาจในด้านการหลอกลวง ต่อให้พูดในสิ่งที่หนูครึ่งเทพไม่เคยพูด หรือพูดผิดไปจากที่เคยพูด แต่ก็สามารถอ้างได้ว่า ‘นั่นเป็นบททดสอบ’ และปัจจุบันคือการมอบความรู้ที่แท้จริง หรือในทำนองเดียวกัน
แน่นอน เมื่อพิจารณาจากคำอธิบายของ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ อามุนด์อาจไม่ปรากฏตัวในร่างหนูครึ่งเทพเสมอไป เราห้ามประมาทเด็ดขาด… ไคลน์เฝ้าจับตามองสักพัก ถอนสายตากลับและส่งตัวเองออกจากมิติเหนือสายหมอก
ณ ห้องกึ่งเปิดโล่งที่มีเตียงขนาดใหญ่ ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้เอนหลัง ดื่มชาดำกับมะนาวฝาน หลับตาลงครึ่งหนึ่ง ครุ่นคิดหาวิธีสานสัมพันธ์กับโจนาส·โคลเกอร์ให้แนบแน่นกว่าเดิม
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ลืมตาขึ้นพร้อมกับเปิดเนตรวิญญาณ
หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ มันสามารถเปิดเนตรวิญญาณได้ตามใจนึกคิด
แทบจะในเวลาเดียวกัน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เจ้าของสี่หัวทองตาสีแดง เดินออกจากความว่างเปล่า ปากข้างหนึ่งงับจดหมาย
“จากใคร?” ไคลน์เหยียดมือขวาออกพลางถาม
“ชารอน…” ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ตอบด้วยหนึ่งในศีรษะ
ชารอน? เธอควรจะกำลังเตรียมตัวขั้นสุดท้ายสำหรับเลื่อนลำดับ แล้วทำไมถึงยังว่างเขียนถึงเรา? ไคลน์รับจดหมายจากมิสผู้ส่งสารด้วยความฉงน
หลังจากคลี่กระดาษจดหมาย มันพบว่าเนื้อหาด้านในค่อนข้างสั้น:
“เอ็มลิน·ไวท์กำลังมองหาใครสักคนจากโรงเรียนกุหลาบ”
เอ็มลินกำลังตามหาคนของโรงเรียนกุหลาบ? ไคลน์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
ตามความเห็นของมัน เอ็มลินเป็นผีดูดเลือดที่กลัวปัญหา หากไม่จำเป็นก็แทบจะไม่ออกจากบ้าน แล้วทำไมถึงคิดตามหาคนของโรงเรียนกุหลาบ?
นี่ต้องไม่ใช่ความตั้งใจของเอ็มลินแน่นอน… อา… เอ็มลินเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คนใหญ่คนโตของตระกูลต้องการเข้าพบหน้าเขา… ภารกิจใหม่จากผีดูดเลือด? ต้องใช่แน่! แต่ทำไมถึงไม่เล่าให้ชุมนุมทาโรต์ฟัง? อา… อาจเป็นเพราะกำลังวุ่นอยู่กับปฏิบัติการสั่งสอน หรือไม่ก็ยังขาดข้อมูล ทำให้ตัดสินใจไม่นำเรื่องนี้มาปรึกษา? ไคลน์ครุ่นคิด โน้มตัวไปข้างหน้า ท่ามกลางสายตาทั้งแปดของมิสผู้ส่งสาร มันวางกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะกาแฟ จับปากกามาเขียน
มันไม่สงสัยว่าทำไมชารอนถึงเขียนมาเล่าเรื่องเอ็มลิน เพราะเนื้อหาชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว:
ปัจจุบัน เมื่อชารอนทราบว่าเอ็มลินกำลังตามหาคนของโรงเรียนกุหลาบ เธอตัดสินใจปรึกษาพวกพ้องอย่างเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เรื่องนี้ทำให้ยืนยันได้ว่า ผีดูดเลือดตนดังกล่าวจะต้องติดต่อมาทางเอียน พ่อค้าอาวุธเถื่อนในผับวีรบุรุษ
และนั่นยังมีความหมายทางอ้อมว่า ในการจ้างงานครั้งก่อน เอ็มลินสัมผัสถึงตัวตนของชารอนหรือมาริค ไม่อย่างนั้นคงไม่เอ่ยชื่อของโรงเรียนกุหลาบต่อหน้าคนธรรมดา
เรายังไม่ค่อยมีข้อมูลของเส้นทางนักปรุงยา ยังไม่ทราบว่าทำไมเอ็มลินถึงสามารถตรวจจับวิญญาณอาฆาตหรือซอมบี้… ไคลน์ไขว่ห้างขวาทับซ้าย วางกระดาษจดหมายบนตัก ตวัดปากกาเขียน:
“คงเป็นภารกิจที่เบื้องบนของผีดูดเลือดมอบให้ พวกเขาเกลียดชังสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลที่แฝงตัวอยู่ในโรงเรียนกุหลาบ จึงต้องการร่วมมือกับอีกฝ่ายหนึ่งของโรงเรียน…”
เขียนถึงตรงนี้ ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเสริม
“สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ ทั้งที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายต้องการยึดครองเส้นทางดวงจันทร์ แล้วทำไมสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลถึงยังเข้าร่วมโรงเรียนกุหลาบ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันกับมารดาพฤกษาแรงกระหายฟังดูซับซ้อนมาก แม้จะเกลียดชัง แต่ก็ยังให้ความร่วมมือ เป็นการยากที่จะคาดเดา”
วางปากกาลงและพับกระดาษ ไคลน์จ้องมิสผู้ส่งสารตรงหน้า ยิ้มและถาม
“คุณทราบได้ยังไงว่าผมจะตอบทันที?”
หนังในศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ตอบห้วน
“ความรู้สึก…”
ทันทีหลังจากนั้น ทั้งสี่หัวของไรเน็ตต์พูดเรียงกัน
“พักหลัง…” “เจ้าดู…” “มีชีวิตชีวา…” “ขึ้นเล็กน้อย…”
“อารมณ์ก็ยัง…” “เข้มข้นขึ้น…” “จากเดิม…” “มาก…”
ไคลน์หยิบกล่องที่เชื่อมกับนาฬิกาพกสีทอง เหรียญทองออกจากมัน จากนั้นก็หัวเราะเจือยิ้ม
“การสวมหน้ากากหนาๆ ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องดีกับสุภาพกายและจิตใจ หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ ผมใส่ใจกับเรื่องนี้มากขึ้น”
ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ มันจะไม่ปิดบังสีหน้าของตัวเอง แถมยังลดจำนวนครั้งที่ใช้พลังตัวตลกเพื่อควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไม่กล่าวสิ่งใด งับเหรียญทองและจดหมายตอบกลับ หายตัวไปกับความว่างเปล่า
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์เอนหลัง พึมพำสองสามคำในใจ
ชักน่าสนใจว่าชารอนกับมาริค จะร่วมมือกับผีดูดเลือดเพื่อกวาดล้างคนของโรงเรียนกุหลาบในกรุงเบ็คลันด์หรือไม่…
ปัจจุบัน ชารอนคงกำลังทุ่มสมาธิให้กับการเลื่อนลำดับ เธออาจไม่เข้าร่วม แต่กับมาริคแล้วไม่แน่…
…
เอ็มลินถอดชุดนักบวชของโบสถ์พระแม่ธรณี สวมสูททางการสีดำ หมวกผ้าไหม เดินออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว ขึ้นรถม้าเช่าที่จอดริมถนน
หลังจากแจ้งปลายทาง มันมองออกนอกหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจ
ทันใดนั้น เอ็มลินรู้สึกได้ว่า ร่างกายของมันเคลื่อนไหวกะทันหัน ขยับออกจากจุดเดิมจนเกิดเป็นภาพตกค้าง ฉากหลบไปด้านข้าง
ทันใดนั้น มันเห็นอีกร่างขึ้นปรากฏขึ้นในฝั่งตรงข้าม
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อนอกไม่ติดกระดุม เผยให้เห็นเชิ้ตสีขาวและกั๊กสีดำด้านใน ผมสีดำยุ่งเหยิงเล็กน้อย คล้ายกับขาดการจัดทรง ดวงตาสีน้ำตาลเปี่ยมไปด้วยความยับยั้ง คล้ายกับกำลังหักห้ามแรงปรารถนาภายในใจ
เอ็มลินจ้องหน้าขาวซีดราวกับศพของอีกฝ่าย เชิดคางเล็กน้อย ยิ้มอย่างไม่ประหม่า
“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาหาข้า”
“ไม่คิดว่าหรือว่าผมอาจจะเป็นคนของโรงเรียนกุหลาบ และมาที่นี่เพื่อเก็บคุณ?” ชายหนุ่มกล่าวด้วยร่างกายที่ค่อนข้างโปร่งใส
เอ็มลินพ่นลมหายใจ
“เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยศึกษาประวัติของโรงเรียนกุหลาบหรือไง? รวมไปถึงฝ่ายที่ฝักใฝ่การระงับแรงปรารถนาซึ่งทรยศและหลบหนีออกมา… อา… เจ้าชื่ออะไร?”
“มาริค” ชายหนุ่มตอบ “นั่นคือข้อมูลที่รู้มาจากเบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือด?”
เอ็มลินชะงักเล็กน้อย
“เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิด”
มันใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันคำพูดอีกฝ่ายทางอ้อม
มาริคสูดลมหายใจเชื่องช้า โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยและกล่าว
“รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเอียนได้ยังไง?”
เอ็มลินเอนหลังพิงกำแพง กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มนุษย์มีกลิ่นของมนุษย์ วิญญาณอาฆาตก็มีกลิ่นของตัวเอง”
มาริคเงียบงันสักพัก
“ตระกูลผีดูดเลือดของคุณต้องการกวาดล้างคนของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์จริงหรือ?”
“แค่สมาชิกคนสำคัญ” เอ็มลินตอบเน้นเสียง
“หากเป็นเช่นนั้น ผมสามารถใช้ตัวเองเพื่อล่อให้คนของโรงเรียนกุหลาบโผล่หัวได้ แต่ผมอยากได้คำยืนยันที่ชัดเจนกว่านี้” มาริคลูบตาเล็กน้อย “ผมทราบดีว่าคุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ กลับไปถามเบื้องบนของตระกูล ให้ทางรับตกปากรับคำ จากนั้นค่อยติดต่อกลับมาหาเรา คุณรู้วิธีอยู่แล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ มันยื่นแฟ้มเอกสารในมือให้
“จากเอียน การสืบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับเออร์เนส·โบยาร์เกิดผลลัพธ์แล้ว นักล่าเงินรางวัลหลายคนช่วยกันทำงานจนสำเร็จ”
เอ็มลินหยิบแฟ้มเอกสาร พยักหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม
“ตกลง”
…………………………