Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 397 : คำทำนายวันพิพากษา

ราชันเร้นลับ 397 : คำทำนายวันพิพากษา

อาศัยความช่วยเหลือจากห้วงมิติสายหมอกเทา ไคลน์คืนสติตัวเองกลับมาได้ไวและเริ่มอ่านบทที่สองของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณต่อทันที

นักท่องเที่ยวของตระกูลอับราฮัม ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ อ้างตัวว่าขณะตนท่องเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ เขาได้พบกับชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองเปลือกเลมอน

ร่างกายของชายชราคนดังกล่าวมีลักษณะโปร่งแสงเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเขากลับเป็นมิตรจนน่าเหลือเชื่อ

นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมสนทนากับอาวุโสสักพัก โดยในภายหลังมีอันต้องประหลาดใจเมื่อทราบว่า ชายชราคนดังกล่าวคือหนึ่งในเจ็ดริ้วแสงพิสุทธิ์ผู้ปกคลุมน่านฟ้าของโลกวิญญาณมาช้านาน

‘แสงเหลือง’ เวนิธาน

เวนิธานยังเล่าให้บรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัมฟังด้วยว่า คุณลักษณะพิเศษของตนคือ ‘ตรรกะ’ และ ‘การปรับตัว’ พลังในขอบเขตคือโหราศาสตร์ และอัญมณีประจำตัวคือมรกต

ชายชรายังเล่าถึงผลการทำนายอนาคตของตนอย่างคร่าว :

“จงระวังดวงดาวจากอวกาศให้ดี มันจะพุ่งชนโลกจนทำให้ผืนดินถูกทำลาย ทุกสิ่งจะเข้าสู่ภาวะแตกดับ”

เวนิธานเชื่อว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นในอีกสองร้อยปีข้างหน้า และจะไม่มีสิ่งใดเหลือรอด

นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมมิได้แยแสคำทำนายดังกล่าวมากนัก เพียงเพ่งความสนใจไปยังวิธีรักษาคำสาปของสายเลือด

‘แสงเหลือง’ เวนิธาน ตอบกลับอย่างคลุมเครือว่า :

“เจ้าจะมองว่าเป็นคำสาปก็ไม่ผิด แต่สิ่งนี้ไม่ใช่คำสาปในทางศาสตร์เร้นลับ ส่วนวิธีหลุดพ้นจากหายนะดังกล่าว คือการพึ่งพาผู้ฝึกหัดคนหนึ่งซึ่งถูกช่วยไว้โดยบุคคลลึกลับ”

อย่างไรก็ตาม เวนิธานได้เตือนทิ้งท้ายไว้อย่างน่าขนลุกว่า หากคำสาปตระกูลอับราฮัมถูกขจัดเมื่อใด วินาทีดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของขุมนรกอันแท้จริงของตระกูลอับราฮัม

แต่ขุมนรกดังกล่าวมีลักษณะหรือหน้าตาเป็นเช่นไร เวนิธานเองก็ไม่มั่นใจนัก ระบุเพียงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลยิ่งใหญ่ระดับทวยเทพ

ผู้เขียนหนังสือยังกล่าวอีกว่า เวนิธานได้เล่าเรื่องน่าสนใจให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้นำแห่งภราดรภาพแสงพิสุทธิ์—เหล่าริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดเส้น พวกเขามักแฝงตัวเข้าไปในโลกมนุษย์ด้วยหลากหลายวิธีการ จำแลงกายเป็นมนุษย์และคอยถ่ายทอดความรู้ตามแต่ความถนัดของตน

นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้าเป็นต้นมา บุคลากรระดับปรมาจารย์ของโลกในหลายสาขาอาชีพ มักเป็นร่างจำแลงของริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น สุดยอดนักโหราศาสตร์ของโลก ดิ·ฟอสมันน์ ผู้สร้างทฤษฎีโลกกลมและเชื่อว่าเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แท้จริงแล้วคือร่างจำแลงของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนหนังสือจึงเริ่มตั้งประเด็นสงสัยว่า โรซายล์·กุสตาฟ คือร่างจำแลงของริ้วแสงพิสุทธิ์เส้นใดกัน เนื่องจากชายคนนั้นเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนงเสียเหลือเกิน

ต้องขอโทษด้วยคุณอับราฮัม แต่เขาไม่ใช่… หรือหากคิดแบบนั้นแล้วมีความสุข ผมก็ขอตอบว่าชายคนนั้นคือแสงเขียว…

ไคลน์ครุ่นคิดพลางเลื่อนมือขึ้นมาลูบขมับ

จากข้อมูลเมื่อครู่ มันได้ทราบว่าผู้เขียนหนังสือมิใช่ตัวตนเก่าแก่โบราณ ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินว่าอีกฝ่ายมิได้เรียกโรซายล์ว่า ‘จักรพรรดิ’ หมายความว่าการท่องโลกวิญญาณในบันทึกเล่มนี้ อาจเกิดขึ้นขณะโรซายล์ยังเป็นเพียงกงสุล หรือไม่ก็เพิ่งเริ่มเรียกตัวเองว่าเป็นจักรพรรดิได้ไม่นาน จึงยังไม่แพร่หลายสู่สาธารณชนสักเท่าไร

แต่บางที อาจเป็นเพราะตระกูลอับราฮัมจะไม่เรียกราชวงศ์อื่นนอกจากทูดอร์ว่าจักรพรรดิก็เป็นได้…

นักท่องโลกวิญญาณ… คงเป็นผู้วิเศษระดับค่อนไปทางสูง แต่ต้องไม่สูงจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคงช่วยเหลือมิสเตอร์ประตูออกมานานแล้ว และคำสาปตระกูลอับราฮัมก็จะไม่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน… ฉะนั้น ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คงมีลำดับประมาณ 5 หรือไม่ก็ลำดับ 6 ผู้ครอบครองสมบัติวิเศษ… ถึงแม้ว่าตระกูลอับราฮัมจะเสื่อมถอยลงในช่วงหลัง แต่พวกเขาก็มิได้อ่อนแอ…

หืม… แล้วทำไมคำทำนายด้านวันสิ้นโลกของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน ถึงได้คล้ายคลึงกับคำทำนายของนิกายแม่มดและชุมนุมแสงเหนือนัก?

หรือวันพิพากษาจะมีอยู่จริง?

ถ้าอย่างนั้น หากคำนวณตามวันเวลาในบันทึกอย่างคราว วันพิพากษาจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า…

ไคลน์ขมวดคิ้วขบคิด

โรซายล์ขึ้นเป็นกงสุลในช่วงปี 1173… โดยปัจจุบันคือปี 1349 หมายความว่าเขาเป็นกงสุลเมื่อประมาณ 179 ปีก่อน… ในช่วงเวลาดังกล่าว เวนิธานได้ทำนายว่าอีกสองร้อยปี โลกจะถึงวันพิพากษา…

เมื่อนำหลายข้อมูลประกอบกัน ไคลน์กลั่นกรองได้ตัวเลขออกมาเป็น : วันพิพากษาจะเกิดขึ้นในอีกประมาณยี่สิบสี่ถึงห้าสิบปีข้างหน้าถ้านับจากเวลาปัจจุบัน (โรซายล์ตั้งตนเป็นจักรพรรดิในปี 1192 และถูกลอบสังหารในปี 1198)

แม้ว่าสองบทแรกในหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณจะไม่มีเขียนถึงพิธีกรรมซับซ้อนหรือความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับมากนัก แต่ข้อมูลดังกล่าวได้เปิดโลกทัศน์ไคลน์พอสมควร

อย่างน้อยก็ช่วยให้ทราบสถานการณ์ของโลกวิญญาณได้ดีระดับหนึ่ง รวมถึงความเข้าใจในตัวตนของริ้วแสงพิสุทธิ์ และองค์กรลับภราดรภาพแสงพิสุทธิ์

เข้าใจแล้ว… ริ้วแสงด้านบนสุดขณะประกอบพิธีกรรม หรือขณะอยู่ในสภาพร่างวิญญาณหลังจากเลื่อนลำดับ ความจริงแล้วคือแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณนี่เอง… เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาล้วนมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง… มหัศจรรย์ชะมัด…

อีกอย่าง สองบทแรกของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณ มิได้ปราศจากข้อมูลทางศาสตร์เร้นลับโดยสิ้นเชิง อย่างน้อย เราก็ได้ทราบว่าแสงเหลืองชื่อเวนิธาน และอัญมณีประจำตัวคือมรกต ข้อมูลในคราวนี้อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียด จนมากพอจะทำไปประกอบพิธีกรรมระบุตัวถึงตัวตนของแสงเหลืองได้แม่นยำ… แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ข้อมูลข้างต้นคงไม่มีประโยชน์สักเท่าไร…

ไคลน์นั่งไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะปิดปึกกระดาษฉบับคัดลอกและส่งตัวเองกลับโลก

ปัจจุบัน มันมีสิ่งสำคัญให้ต้องสนใจมากกว่าการติดต่อกับ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน

ไคลน์หยิบแผ่นกระดาษออกมาวาง ตามด้วยการจับปากกาเขียนจดหมายหานักประดิษฐ์อัจฉริยะ เลพเพิร์ด เพื่อสอบถามว่าสิทธิบัตรจักรยานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ทำไมถึงยังไม่เสร็จเสียที และต้องการให้ช่วยหาทนายหรือไม่

หลังจากตั้งกฎเหล็กของนักมายากลสำเร็จ ความเร็วในการย่อยโอสถไคลน์ก็คืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด อีกไม่เกินสองเดือนก็คงย่อยเสร็จสมบูรณ์ ถึงตอนนั้น มันต้องรีบออมเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’

สำหรับหนึ่งในวัตถุดิบหลัก เดอะซันคงตอบแทนเดอะเวิร์ลหลังจากยืมใช้งานดวงตาดำล้วนเสร็จ แต่ไคลน์ก็ยังเหลือวัตถุดิบหลักอีกหนึ่งชนิดให้ต้องควักเงินซื้อด้วยตัวเอง

หากอ้างอิงตามราคาตลาด วัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 6 จะมีราคาสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ต่อชิ้น แถมยังค่อนข้างผันผวนขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการ

นอกเหนือจากวัตถุดิบหลัก วัตถุดิบรองยังประกอบด้วยเลือดของนักล่าพันหน้า และเส้นผมของนากาทะเลลึก วัตถุทั้งสองชนิดนับว่ามีพลังวิญญาณเจือปนในปริมาณเข้มข้น ราคาจึงไม่เล็กน้อยเลยสักนิด

การออมเงินช่างยากลำบาก แต่การใช้จ่ายกลับง่ายดายเหมือนเททิ้ง… ต่อให้เราขายตะกอนพลังของมนุษย์หมาป่าและนักสอบสวนได้หลังจากนี้ ก็คงมิอาจใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้อยู่ดี…

ไคลน์รำพันพลางผนึกซองจดหมายและติดตราไปรษณียากร

มันทราบจำนวนทรัพย์สินในปัจจุบันของตนโดยไม่ต้องเสียเวลานั่งนับ

624 ปอนด์ในรูปแบบธนบัตร เหรียญหนึ่งทองปอนด์อีกห้าเหรียญ ธนบัตรเจ็ดซูลและเศษเหรียญเพนนีอีกจำนวนหนึ่ง

ใช่แล้ว เรายังจะมีรายได้อีกหกร้อยปอนด์จากมิสเมจิกเชี่ยนในการขายตะกอนพลังเจ้าพนักงานให้มิสซิล หวังว่าทั้งสองสาวจะหาเงินมาจ่ายได้ในเร็ววัน…

ไคลน์ให้กำลังใจพวกเธอจากก้นบึ้ง

“เธอกำลังจะบอกว่า ชุมนุมผู้วิเศษใหม่ล่าสุดมีวัตถุดิบหลักโอสถของเจ้าพนักงานทั้งสองชนิดขาย แถมราคายังสมเหตุสมผล โดยสองชิ้นรวมกันเพียงหกร้อยปอนด์?”

ดวงตาซิลพลันลุกวาวขณะรัวยิงคำถามใส่เพื่อนสนิทไม่หยุดพัก

เธอเพิ่งกลับจากเขตตะวันออกหลังจากพยายามหาว่ามีใครปองร้ายกับคาพินในระยะหลังบ้าง

“ถูกต้อง และเขายังเป็นคนดัง รับประกันเรื่องความถูกต้องได้แน่นอน ติดปัญหาตรง ชุมนุมนี้มีกฎระเบียบการเข้าร่วมเข้มงวดมาก ฉันคงยังพาเธอไปด้วยในได้ในช่วงนี้”

ฟอร์สเล่าความจริงทุกประการ

“เจ๋งเป้ง!” ซิลไม่เคลือบแคลงถ้อยคำเพื่อนสนิท เพียงเดินเข้าหาอีกฝ่ายสองก้าวพร้อมกับทำสีหน้าตื่นเต้น

ทว่า เพียงไม่นานก็กลับไปหดหู่

“แค่ฉันมีเงินไม่พอ…”

มุมปากฟอร์สเริ่มกระตุกเล็กๆ :

“แล้วตอนนี้เธอมีเท่าไร?”

“เมื่อรวมกับค่าจ้างของงานล่าสุดจำนวนสามสิบปอนด์ ฉันจะมีเงินออมทั้งหมดสามร้อยสิบปอนด์ ขาดอีกตั้งครึ่ง!” ซิลสางผมสีทองสั้นอันยุ่งเหยิง “ฉันขอคิดก่อน… อีกสามร้อยปอนด์สามารถหยิบยืมจากใครได้บ้าง… ธนาคารไม่มีวันปล่อยกู้ให้นักล่าค่าหัวอยู่แล้ว และเงินกู้นอกระบบก็มีดอกเบี้ยสูงเกินไป…

“หรือว่า… มิสออเดรย์?”

ซิลได้ยินว่าเพื่อนสนิทของตนเพิ่งซื้อสูตรโอสถนักตุกติกมาในราคาสี่ร้อยห้าสิบปอนด์ จึงไม่คิดจะยืมเงินจากหล่อน

“ทำไมพวกเราถึงได้ขัดสนนักนะ…” ฟอร์สรำพันห่อเหี่ยว “ช่วงนี้มิสออรเดย์แทบไม่ออกจากคฤหาสน์ คล้ายกับกำลังสนุกอยู่กับบางสิ่ง และการยืมเงินเธอก็ยังไม่ค่อยเหมาะสมนัก… บางที พวกเราควรเริ่มจากไวเคาต์กายลินก่อน แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ฉันจะช่วยออกเงินให้เธอซื้อวัตถุดิบหลักไปก่อน เพราะในปัจจุบัน ฉันยังเหลือเงินออมอยู่สี่ร้อยสิบปอนด์ นั่นคงพอจะช่วยเธอจ่ายได้”

ซิลกะพริบตาถี่พลางเปล่งเสียงตื่นเต้น

“ฟอร์ส ฉันคงหาเพื่อนสนิทคนใดดีกว่าเธอไม่ได้อีกแล้ว! ถ้าได้เป็นเจ้าพนักงานเมื่อไร ฉันจะทำเงินได้มากกว่าเดิมแน่!”

ฟอร์สอมยิ้มพลางส่ายหัว

“ถ้าซาบซึ้งขนาดนั้น วันนี้ช่วยทำความสะอาดแทนเวรของฉันได้ไหม? หืม?”

เมืองเงินพิสุทธิ์

เดอร์ริคตรงกลับบ้านทันทีหลังจากแวะไปเยี่ยมลานฝึกของเมือง

มันได้ถามผู้คุมแล้วว่า ทีมสำรวจชุดนี้จะถูกปล่อยจากการกักกันตอนไหน และคำตอบออกมาเป็น :

“เมื่อสายฟ้าสงบรอบถัดไป”

บนเก้าอี้หลังโต๊ะไม้โบราณ เดอร์ริคกำลังนั่งไตร่ตรองแผนการของตัวเองอย่างถี่ถ้วน มันยังจดจำคำของแฮงแมนได้แม่นยำ :

“ถ้าไม่มีชาวเมืองช่วยเป็นพยานให้ จงใช้คนของสภาอาวุโส ผู้ได้รับมอบหมายให้คอยสะกดรอยตามคุณทุกฝีก้าว ช่วยเป็นพยานในเหตุการณ์ดังกล่าวแทน”

แต่เราจะทราบได้ว่า ปัจจุบันกำลังถูกคนของสภาอาวุโสจับตามองอยู่… มิสเตอร์แฮงแมนอธิบายแผนการให้เราฟังอย่างฉะฉานก็จริง แต่เขาไม่ได้ระบุว่าต้องใช้วิธีใดตรวจสอบ…

คำถามมากมายกำลังถาโถมใส่เด็กหนุ่ม และมันก็ไม่สามารถหาคำตอบเองได้

แม้จะรู้สึกอับอาย ถ้าต้องรบกวนให้ตัวตนอย่างมิสเตอร์ฟูลช่วยตอบคำถามโง่เขลาเช่นนี้ แต่เพื่อความอยู่รอดของเมืองเงินพิสุทธิ์ เด็กหนุ่มกัดฟันบากหน้าซักถามตัวตนระดับเทพ

มันสวดภาวนาถึงเดอะฟูลด้วยเสียงแผ่ว พร้อมกับอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันอย่างคร่าว

เพียงไม่นาน เดอร์ริคได้เห็นภาพของเดอะฟูลท่ามกลางสายหมอกไร้จุดสิ้นสุด ตามด้วยคำตอบสั้นกระชับ :

“จงสัมผัสกับวัตถุในกล่องเหล็กโดยตรง แต่ห้ามนานกว่าสามวินาทีเด็ดขาด ก่อนจะสัมผัสให้เตรียมใจอย่างมั่นคง สิ่งสำคัญก็คือ พยายามมองหาเส้นด้ายสีดำให้พบ”

ง่ายแค่นี้เองหรือ?

เดอร์ริคแสดงความขอบคุณเดอะฟูลด้วยท่าทีนอบน้อมแกมคาดหวัง

เด็กหนุ่มรีบปรับท่าทางร่างกายเล็กน้อย พลางเลื่อนมือเข้าไปยังช่องลับของกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวนอก

หลังจากกำแพงวิญญาณสลายไป เดอร์ริคใช้ปลายนิ้วบรรจงเปิดกล่องและลูบคลำหาตำแหน่งวัตถุข้างในอย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้น ปลายนิ้วชนเข้ากับวัตถุเย็นเฉียบและน่าขยะแขยง ภาพการมองเห็นของเด็กหนุ่มพลันดำมืดกะทันหัน

สมองเริ่มวิงเวียนประหนึ่งถูกค้อนเหล็กทุบใส่ท้ายทอยเต็มแรง โสตประสาทถูกทะลุทะลวงด้วยเสียงคำรามมายาแสบแก้วหู

ร่างกายเดอร์ริคเกิดอาการชักกระตุก น้ำหูน้ำตาไหลเต็มใบหน้าเนื่องด้วยความเจ็บปวดฉับพลันซึ่งกำลังแล่นไปทั่วร่าง

มันเกือบลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ของตนคือสิ่งใด แต่โชคยังดี ภายในขอบเขตของสายตาเบื้องหน้า เดอร์ริคได้พบกับเส้นด้ายสีดำจำนวนมากกำลังลอยเข้าไปในห้วงมิติอันว่างเปล่า

ตรงมุมห้อง คล้ายกับเงาดำบริเวณนั้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิต!

เด็กหนุ่มรีบชักมือกลับอย่างลนลานราวกับสัมผัสโดนเหล็กร้อนโดยไม่ได้สวมเครื่องป้องกัน

เดอร์ริคล้มฟุบลงกับพื้นห้องและนอนชักกระตุกเป็นเวลานาน อากัปกิริยาคล้ายกับคนถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ ริมฝีปากอ้ากว้าง น้ำลายสีใสไหลหยดย้อยเป็นทางยาว

ใช้เวลานานเกือบนาทีกว่าจะกลับสู่ภาพปรกติได้ หลังจากคืนสติกลับมา เดอร์ริครีบปิดฝากล่องโลหะในช่องลับและผนึกกำแพงวิญญาณทับอีกชั้น

มันรีบจิบน้ำเพื่อคลายความตึงเครียด สำหรับวินาทีนี้ เด็กหนุ่มไม่เคลือบแคลงอีกแล้วว่าตนกำลังถูกจับตามองหรือไม่

จนกระทั่ง ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ประตูบ้านของเดอร์ริคมีเสียงคนเคาะ

“ใคร?” เด็กหนุ่มซักถามอย่างไม่คาดหวัง

เสียงยินดีปรีดาดังมาจากหลังประตู

“ฉันเองเพื่อน ดาร์กไง ตอนนี้ทีมสำรวจถูกปล่อยตัวจากการกักกันแล้ว นายอยากฟังไหม ว่าฉันได้พบเรื่องสุดยอดแบบไหนมาบ้าง?”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset