Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 396 : ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์

ราชันเร้นลับ 396 : ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์

หลังจากกลับโลกจริง ฟอร์สนั่งลงบนโต๊ะอ่านหนังสือและปล่อยสมองให้ครุ่นคิดเรื่องตระกูลอับราฮัมอยู่พักใหญ่ ขณะเดียวกันก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำบางในหนังสือศาสตร์เร้นลับซึ่งตนเคยสับสนมานาน

แบบนี้นี่เอง… เป็นเหตุผลว่าทำไม มาดามอาริสาถึงไม่ยอมบอกให้มิสเตอร์ลอว์เรนซ์ทราบเรื่องการตายของสามี… เมื่อลองนึกภาพตาม ตระกูลอับราฮัมช่างน่าสงสารนัก…

ฟอร์สพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกเดินไปค้น ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ จากกองหนังสือจำนวนมาก เจตนาเตรียมคัดลอกสองบทแรกสังเวยให้แก่มิสเตอร์ฟูล

ขณะนั่งเขียน หญิงสาวต้องเข้าฌานและปรับลมหายใจให้สงบนิ่ง เพื่อมิให้จิตใจเกิดการสับสนว้าวุ่นหรือเข้าสู่ภาวะปั่นป่วนทางสมอง อิทธิพลจากประสบการณ์โลกวิญญาณรุนแรงและอันตรายถึงเพียงนั้น

ตัวอักษรมิได้แฝงพลังเวทมนตร์หรือพลังวิญญาณไว้เลย แต่เมื่ออ่านและจินตนาการตามเนื้อหา คล้ายกับอารมณ์ของเราถูกชักจูงอย่างรุนแรงจนสมองพร่ามัว… หลังจากเพ่งสมาธิเขียนห้านาทีเต็ม เราต้องนั่งพักนานถึงห้านาทีเต็มเช่นกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ เราไม่อยากเกิดคลุ้มคลั่งในสภาพเช่นนี้…

ฟอร์สนำนาฬิกาพกออกมาวางตรงมุมโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อจับเวลา

บ้านตระกูลเบเกอร์ เมืองเงินพิสุทธิ์

เดอร์ริคลืมตาขึ้นและได้พบกับแสงสายฟ้าแลบวิบวับด้านนอกหน้าต่าง

ในสภาพพยุงตัวนั่ง เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวหนึ่งหน และไม่พบว่ามีใครกำลังสอดส่องจับตามองตนอยู่

แต่จากการคาดเดาสถานการณ์อย่างแม่นยำของแฮงแมน รวมถึงการให้เหตุผลอย่างฉะฉานจนเถียงไม่ออก เดอร์ริคเห็นพ้องว่าตนคงกำลังถูกจับตามองโดยผู้วิเศษบางคนจากสภาเมือง

เหนือสิ่งอื่นใด มิสเตอร์ฟูลมิได้โต้แย้งคำพูดของแฮงแมน…

เดอร์ริคลุกจากเตียงพลางบิดขี้เกียจตามกิจวัตรปรกติ ขณะเดียวกันก็นึกทบทวนคำแนะนำจากแฮงแมนอย่างละเอียด

“จวบจนปัจจุบัน ในเมื่อคุณยังได้รับอิสระโดยไม่ถูกลากตัวไปขังไว้ใต้หอคอย ให้ประเมินไว้ก่อนว่า ทางสภายังเลือกใช้วิธีจับตามองคุณอย่างสันติ บางที พวกเขาอาจกำลังหาวิธีอพยพชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้งซึ่งต้องคำสาป ผ่านทางตัวตนลึกลับนามอามนุด์—ผู้มาเยือนลึกลับจากภายนอกคนแรกในรอบหลายพันปี ฉะนั้น ถ้าคุณไม่ล้ำเส้น พวกเขาก็จะไม่ทำตัวกระโตกกระตาก เพื่อให้อามุนด์ไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ ฉะนั้น ผู้วิเศษซึ่งคอยจับตามองคุณจะไม่เข้าใกล้คุณมากนักในทางกายภาพ อย่างน้อยก็ในยามคุณลืมตาตื่น ด้วยเหตุนี้ ทางสภาเมืองคงยังไม่เห็นว่าคุณอาเจียนหนอนกาลเวลาออกมาแล้ว เครื่องพิสูจน์ก็คือ ท่าทีเย็นชาของผู้นำสูงสุดขณะคุณรายงานเรื่องความผิดปรกติของทีมสำรวจ โดยในลักษณะเดียวกัน พวกเขาคงสังเกตเห็นว่าคุณแอบประกอบพิธีกรรมบางอย่าง เพียงแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคุณสวดภาวนาถึงใคร ถ้าเป็นผม คงเลือกสงสัยอามุนด์ไว้ก่อน ด้วยเหตุผลข้างต้น คุณสามารถประกอบพิธีกรรมได้อย่างเปิดเผยหลังจากนี้ เพราะพวกเขาจะพุ่งเป้าความสงสัยไปหาอามุนด์แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม คุณต้องแสร้งทำเป็นระวังตัวให้มากขณะประกอบพิธีกรรม เพื่อให้พวกเขาไม่เกิดความเคลือบแคลง และเหนือสิ่งอื่นใด หลังจากลงมือเสร็จ คุณต้องเตรียมเข้ารับการทดสอบจากนักจิตวิเคราะห์ของสภาเมือง ส่วนจะผ่านไปได้อย่างไรนั้น ผมขอแนะนำให้คุณรับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล…”

จากคำแนะนำของแฮงแมน เด็กหนุ่มเดินวนรอบโต๊ะกลมสองหนและเริ่มจุดเทียนสร้างแท่นบูชา เตรียมประกอบพิธีกรรมรับมอบ

ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ท่ามกลางพระราชวังโบราณโอ่อ่า

ไคลน์นั่งจ้องเสาหินต้นใหญ่อย่างเหม่อลอย ฉากตรงหน้ามอบความรู้สึกคล้ายกับสถาปัตยกรรมของวิหารเอเธนส์จากโลกเก่า

เสาหินเหล่านี้เกิดจากจิตใต้สำนึกของเราจากโลกเดิม? ชายหนุ่มครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย

ทันใดนั้น ดาวแดงแทนเดอะซันเริ่มยุบพองและส่องแสง ตามด้วยการก่อตัวเป็นประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อน สายหมอกสีเทาด้านล่างจำนวนหนึ่งเริ่มไหลเวียนคล้ายกับมีการใช้พลังงานภายในห้วงมิติ

ขณะนั่งฟังเสียงสวดภาวนามายาดังซ้อนทับหลายชั้น ไคลน์ก้มมองดวงตาดำล้วนซึ่งถูกเตรียมไว้บนโต๊ะทองแดงยาวเบื้องหน้า

หวังว่าเดอะซันน้อยจะไม่ทำมันหาย… ไม่อย่างนั้น ชุมนุมทาโรต์คงต้องบอกลาเดอะเวิร์ลเป็นการถาวร…

หากไม่เพราะดวงตาดำล้วน ไคลน์ ผู้ยังไม่มีพลังของนักเชิดหุ่น คงไม่สามารถควบคุมเดอะเวิร์ลให้เคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์จริง

หากสิ่งนี้สูญหาย ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้เดอะเวิร์ลตาย ดีกว่าปล่อยให้สมาชิกคนอื่นมอง ‘กล’ ของตนออก

ขณะถอนหายใจยาว ชายหนุ่มเพ่งพลังวิญญาณเพื่อบงการสายหมอกสีเทา ให้ไหลเข้าไปในบานประตูมายาด้านข้างและทำการเปิดมันออก พร้อมกับสร้างอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อระหว่างมิติปัจจุบันกับโลกความจริง

ถัดมา ชายหนุ่มนำดวงตาดำล้วนวางลงในกล่องโลหะและปิดฝาสนิท ตามด้วยการโยนเข้าไปในรอยแยกกึ่งกลางบานประตูและกล่าวเสียงขรึม

“ห้ามสัมผัสวัตถุด้านในเด็ดขาด”

เมื่อพูดจบ ไคลน์ไม่เสียเวลาอยู่ในห้วงมิติสายหมอกนานนัก มันมั่นใจว่าเดอะซันคงยังไม่ลงมือในเร็ววัน และมิสเมจิกเชี่ยนคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการคัดลอกเนื้อหาสองบทแรกของหนังสือ

ชายหนุ่มห่อหุ้มร่างจิตด้วยพลังวิญญาณและเลือนหายไปจากห้วงมิติเหนือสายหมอก

เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์

ขณะเดอร์ริคเหลือบเห็นกล่องโลหะบนแท่นบูชา เด็กหนุ่มได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังตามมาอย่างเลื่อนราง :

“ห้ามสัมผัสวัตถุด้านในเด็ดขาด”

ห้ามสัมผัส…

เดอร์ริคเตือนสติตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ละเมิดข้อห้ามดังกล่าวโดยเด็ดขาด

หลังจากขอบคุณเดอะฟูลและมิสเตอร์เวิร์ล เด็กหนุ่มสิ้นสุดพิธีกรรมและหยิบกล่องโลหะขึ้นมาเปิดฝาสำรวจ

วัตถุด้านในคือดวงตาสีดำล้วนซึ่งปราศจากตาดำ เพียงจ้องมองก็ทำให้สมองเกิดความปั่นป่วน ขาวโพลน โงนเงน อืดอาดยืดยาด และได้ยินเสียงเพรียกอย่างเลือนราง

เมื่อร่างกายตอบสนองในด้านลบ เด็กหนุ่มรีบปิดฝากล่องและใช้มีดเงินสร้างกำแพงวิญญาณผนึกไว้ทันที

ถัดมา เดอร์ริคนำกล่องซ่อนไว้ในช่องกระเป๋าลับของเสื้อตัวนอก ตามด้วยการจัดแจงขวานเฮอร์ริเคนให้เข้าตำแหน่ง และเดินออกจากบ้านและตรงไปยังลานฝึกของเมือง

ทีมสำรวจยังคงถูกกักกัน

อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคยังไม่มีแผนลงมือในวันนี้ เพียงต้องการสำรวจสถานการณ์ให้รอบคอบและแน่ใจเสียก่อน อย่างไรก็ตาม หากสบโอกาสเหมาะเจาะ เด็กหนุ่มก็เตรียมลงมือโดยไม่ลังเล

เมื่อย่างกรายเข้าเขตลานฝึก เดอร์ริคเดินวนเขตกักกันหนึ่งรอบและสังเกตเห็นว่า สมาชิกทีมสำรวจล้วนจับกลุ่มยืนสนทนาราวสองถึงสามคน แต่เมื่ออีกฝ่ายตระหนักถึงสายตาจ้องมองจากบุคคลแปลกหน้า ทุกคนจะหยุดการกระทำทั้งหมดและยืนแน่นิ่งทันที บางกลุ่มเดินวนเวียนไปมาอย่างไรชีวิตชีวาราวกับซอมบี้

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราปลดผนึกกล่องโลหะและให้พวกเขาสัมผัสถึงออร่าของวัตถุจากมิสเตอร์เวิร์ลเดี๋ยวนี้?

พวกเขาจะหันมามองเราด้วยสายตาเย็นชาอย่างพร้อมเพรียง?

เพื่อเดอร์ริคจินตนาการภาพทุกคนพลันหันขวับมาจ้องตนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์และปราศจากประกายดวงตา เด็กหนุ่มพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเข้าไปถึงก้นบึ้ง

มันถอนหายใจยาวสุดปอด พลางเตือนสติตัวเองให้ใจเย็นและไม่ตื่นตูมจนเกินไป

เมืองเงินพิสุทธิ์

ณ ยอดหอคอย ห้องผู้นำสูงสุด

น่าล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด ผู้กำลังนั่งหลับตาเพื่อพักผ่อนสมอง พลันหันขวับไปมองเงาดำตรงมุมห้อง

จุดดังกล่าว เงาดำค่อยๆ ยืดตัวออกจากพื้นในลักษณะบิดเป็นเกลียว จนกระทั่งก่อตัวเป็นรูปทรงคล้ายมนุษย์สีดำสนิท

เงาดำพูดด้วยน้ำเสียงหวีดแหลมคล้ายโลหะเสียดสี

“ท่านผู้นำ เดอร์ริค·เบเกอร์ประกอบพิธีกรรมอีกแล้วขอรับ จากการสำรวจของผม คราวนี้เป็นพิธีกรรมรับมอบวัตถุบางชนิด หากเข้าใจไม่ผิด พิธีกรรมมีลักษณะคล้ายกับพิธีกรรมรับมอบซึ่งพวกเราทำกันเป็นประจำ เพียงแต่ว่า เดอร์ริคได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายเป็นกล่องโลหะสีดำ ผมมองไม่เห็นว่าวัตถุด้านในกล่องมีลักษณะเป็นเช่นไร แต่ออร่าของสิ่งนั้นได้มอบความรู้สึกอันตรายและชั่วร้ายสุดขีด”

เล่าถึงตรงนี้ เงาดำแสดงความเห็น

“ท่านผู้นำ ปลายทางพิธีกรรมต้องเป็นชายปริศนาคนนั้นแน่ พวกเราต้องรีบลงมือก่อนเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้! มิฉะนั้น เดอร์ริค·เบเกอร์อาจอัญเชิญเทพมารหรือตัวตนระดับเดียวกัน ลงมาทำลายเมืองเงินพิสุทธิ์จากภายใน!”

สีหน้าโคลินพลันอึมครึม มันลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินวนไปมาด้วยย่างก้าวเชื่องช้า

“รอดูไปก่อน… สำหรับปัจจุบัน พวกเรายังไม่ทราบจุดประสงค์แท้จริงของบุคคลปริศนานามอามุนด์คนนั้น ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเขาถึงส่งร่างแยกมาเพียงหนึ่งหลังจากค้นพบตำแหน่งเมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งแต่สี่สิบปีก่อน แล้วเหตุใดถึงต้องให้ร่างแยกรอนานกว่าสี่สิบปีจึงค่อยเคลื่อนไหว หากเขามีเจตนาทำลายพวกเราให้สิ้นซากจริง ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเฝ้ารออย่างสูญเปล่านานกว่าสี่สิบปี… จริงไหม? ช่วยอดทนไปอีกสักพัก เขาอาจเป็นความหวังเดียวของเรา ความหวังในการรอดชีวิตจากเหตุการณ์วันโลกาวินาศ!”

เมื่อสิ้นเสียง สายฟ้าเส้นใหญ่พลันผ่าลงมาด้านนอกหน้าต่าง ช่วงมอบแสงสว่างวาบให้กับห้องทำงานบรรยากาศมืดสลัว

จนกระทั่งใกล้ตกเย็น เมื่อไคลน์ได้ยินเสียงสวดภาวนาจากมิสเมจิกเชี่ยน มันส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอกเพื่อรับกระดาษเขียนเนื้อหาสองบทแรกของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณ

ขณะกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ชายหนุ่มบรรจงพลิกกระดาษฉบับคัดลอกอ่านด้วยท่าทีผ่อนคลาย

ผ่านไปบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า ยิ่งอ่านถลำลึกลงไปมากเท่าใด ไคลน์ก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อตระหนักว่าตนถูกรบกวนทางสมองหนักหน่วง

เกิดอะไรขึ้น…?

ตัวอักษรพวกนี้ปราศจากพลังวิญญาณแฝงโดยสิ้นเชิง และกระดาษก็เป็นกระดาษธรรมดา ไม่ใช่สมบัติวิเศษแน่ แล้วทำไมจิตใจของเราจึงถูกรบกวน? ยิ่งไปกว่านั้น เรากำลังอยู่บนมิติสายหมอก แม้แต่ทวยเทพยังไม่มีพลังมากพอจะแผ่อิทธิพลเข้ามาได้…

ไคลน์ขมวดคิ้ว เอนกายพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลายพลางครุ่นคิด จนกระทั่งเริ่มตระหนักว่า อาการวิงเวียนของตนคลับคล้ายคลับคลากับเหตุการณ์บางชนิด

มันเริ่มเข้าใจสาเหตุ

หากมีการเขียนอธิบายรูปลักษณ์ของตัวตนระดับสูงไว้อย่างละเอียด ต่อให้เป็นการเขียนลงบนกระดาษธรรมดาด้วยอักษรธรรมดา แต่จิตใจของผู้อ่านก็สามารถเกิดความรู้สึกระคายเคืองได้เช่นกัน!

จากบรรดาตัวตนระดับสูงทั้งหมด หากใครได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับทวยเทพ ผลข้างเคียงจะไม่ใช่แค่อาการวิงเวียนแน่นอน

และถ้าหนังสือเล่มใดอธิบายลงลึกในรายละเอียดของตัวตนระดับเทพ ผู้อ่านทุกคนมีสิทธิ์กลายเป็นบ้า บางคนอาจเปลี่ยนอุดมคติและการนับถือศาสนา ส่วนในกรณีของผู้วิเศษ มีโอกาสสูงว่าจะประสบภาวะคลุ้มคลั่งกะทันหัน

หนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ถูกเขียนขึ้นโดยหนึ่งในบรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัม ผู้เขียนได้บันทึกประสบการณ์แปลกประหลาดซึ่งตนได้เห็นและได้ยินในโลกวิญญาณอย่างละเอียด

บทแรกกล่าวถึง ‘แสง’ ภายในโลกวิญญาณ โดยผู้เขียนเชื่อว่า แสงพิสุทธิ์เจ็ดสีของโลกวิญญาณจะอุดมไปด้วยองค์ความรู้มหาศาลในแต่ละขอบเขตโดยไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน และไม่ว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางไปยังหนแห่งใดในโลกวิญญาณ พวกเขาก็จะเห็นริ้วแสงพิสุทธิ์เจ็ดสีอยู่ด้านบนสุดเสมอ

เรื่องน่าประหลาดใจกว่านั้นคือ แสงทั้งหมดมีชีวิตและความนึกคิดเป็นของตัวเอง! เป็นราวกับกายจิตซึ่งทอดยาวปกคลุมทั่วโลกวิญญาณทุกซอกมุม

ในทางศาสตร์เร้นลับ พิธีกรรมพันธสัญญาลับบางชนิดได้กำหนดเป้าหมายไปยังริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดโดยตรง และหากอีกฝ่ายยอมตอบสนองพันธสัญญา ผู้ประกอบพิธีกรรมจะได้รับความรู้ในขอบเขตดังกล่าวจำนวนหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับส่วนใหญ่มักเรียกเจ็ดแสงพิสุทธิ์ว่า ‘อาจารย์’ หรือไม่ก็ ‘ครู’

การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดมีความสุขอย่างมาก พวกเขาถึงกับรวบรวมสิ่งมีชีวิตภายในโลกวิญญาณจำนวนหนึ่ง เพื่อก่อตั้งเป็นองค์กรลับสำหรับสอนสั่งมนุษย์นามว่า :

ภราดรภาพแสงพิสุทธิ์!

สำหรับบทที่สองของหนังสือ นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมซึ่งเป็นผู้เขียน ได้บันทึกความทรงจำและประสบการณ์เมื่อครั้งได้พบกับ ‘แสงเหลือง’ ซึ่งมีนามว่า :

เวนิธาน

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset