“ค…คนไหนคือกรอซาย?” ภายในความฝัน เลียวนาร์ดมองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
มีกองไฟขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลออกไป และมียักษ์ตาเดียวผิวสีเทาอมฟ้าอีกนับสิบที่ยากจะจำแนก
ว่ากันตามตรง ถ้าไม่ได้พลังของผู้ไร้หน้าช่วยไว้ เราเองก็คงแยกไม่ออก… สำหรับเรา ถ้าอายุ ส่วนสูง ทรงผม แผลเป็น และเสื้อผ้าไม่ต่างกันเกินไป คนยักษ์ทั้งหมดก็แทบจะแยกกันไม่ออก… ไคลน์รำพันเงียบพลางมองไปทางมิสจัสติส สื่อเป็นนัยว่าด้วยพลังของเส้นทางผู้ชม สิ่งนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ
ออเดรย์ยกมือขึ้นและชี้ไปทางคนยักษ์ที่กำลังกระดกเหล้าไม่ขาดสาย มีหยุดมาตะโกนคุยกับคนยักษ์ตนอื่นเป็นครั้งคราว
“นั่นคือกรอซาย… ดูเหมือนว่าในสังคมของคนยักษ์ สัญญาณของคำชมและการยืนยันไม่ใช่ปรบมือ หากแต่เป็นการคำราม ยิ่งคำรามดังก็ยิ่งเป็นการชมเชยระดับสูง”
มิสจัสติสทำตัวเหมือนกับพวกนักวิจัยวัฒนธรรมท้องถิ่น… โชคดีที่หมอนั่นกำลังตะโกน ไม่ใช่ร้องเพลง ไม่อย่างนั้นมลพิษทางเสียงคงเลวร้ายกว่านี้มาก รวมกับคนยักษ์นั่นหูดับและไม่ได้ยินเสียตัวเองเวลาอ้าปาก… เสียงคำรามเมื่อครู่เองก็ไม่เป็นจังหวะ… ไคลน์พยักหน้าและกล่าวกับออเดรย์
“เริ่มชี้นำได้”
เมื่อออเดรย์ก้าวออกไป เลียวนาร์ดก้าวถอยหลังกลับมายืนลูบคาง
“ผมอยากรู้ว่าในยุคสมัยที่สอง เผ่าพันธุ์ทรงอำนาจใดที่ครอบครองตะกอนพลังของเส้นทางรัตติกาลไว้มากที่สุด?”
“ไม่ใช่หมาป่าอสูรหรือไง?” ไคลน์หันไปมองเลียวนาร์ดด้วยสีหน้าคลางแคลง กังวลว่านักกวีรายนี้จะเป็นโรคยอดนิยมของเหยี่ยวราตรี – ความจำเสื่อม
“ก็ใช่…” เลียวนาร์ดที่ยังคงรักษามาดเดิมกล่าวหน้านิ่ง “ถ้าอย่างนั้นพวกมันสวมบทบาทเป็นนักกวีเที่ยงคืนด้วยวิธีใด? หรือจะบอกว่าชื่อโบราณของโอสถคือ ‘นักเห่าหอนยามเที่ยงคืน’ ?”
“ตอนนั้นยังไม่มีการตั้งชื่อโอสถ…” โดยไม่ได้ตั้งใจ ไคลน์เผลอจินตนาการตามคำพูดของเลียวนาร์ด เป็นฉากของหมาป่ากำลังหมอบอยู่บนพื้นและเห่าหอนภายใต้พระจันทร์เต็มดวง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่พึมพำ “ผมว่าคุณเหมาะจะเล่นมุกแบบนี้มากกว่าการเป็นกวี… เข้ากับนิสัยของคุณดี”
มุมปากเลียวนาร์ดกระตุกแผ่วเบา
“นักกวีมีหลายสาย… ผมเป็นสายขับร้อง”
ขณะทั้งสองกำลังสนทนาเรื่อยเปื่อย การชักนำของออเดรย์เริ่มเห็นผล ความฝันของกรอซายแปรเปลี่ยนเป็นฉากต่างๆ เช่นป่าเสื่อมโทรม อุโมงค์รกร้าง มุมหนึ่งของวังราชาคนยักษ์ เมืองรุ่งอรุณ แคว้นทองคำ และอีกมากมาย
กรอซายมิได้เป็นข้าราชบริพารของเทพอย่าง ‘ราชาคนยักษ์’ โดยตรง จึงมีโอกาสได้เห็นเป็นครั้งคราวจากการเข้าเวรในป่าเสื่อมโทรมหรือบางจุดภายในวังราชาคนยักษ์เท่านั้น แถมยังไม่กล้าจ้องมองตรงๆ การเข้าเฝ้าแต่ละหนต้องก้มศีรษะต่ำ ส่งผลให้มิอาจสร้างรูปลักษณ์ของราชาคนยักษ์เออเมียร์ได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับราชินีคนยักษ์โอมีเบล่าและบุตรชายคนโตอย่าง ‘เทพแห่งรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์ ทุกคนปรากฏบนความฝันของกรอซายในฐานะภาพวาดเสมือน
ในทำนองเดียวกัน กรอซายแทบไม่รู้ความลับใด ความเข้าใจโลกและประวัติศาสตร์เทียบไม่ได้เลยกับ ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ ในภาษายักษ์ คำว่า ‘ซอนญาธริม’ มีความหมายว่า ‘ผู้ทรยศ’ โดยคนยักษ์เชื่อว่าเทพบรรพกาลตนนี้คือต้นเหตุที่ทำให้ต้นตระกูลผีดูดเลือดอย่างลิลิธต้องร่วงหล่น
ไคลน์ทำใจเชื่อไม่ลง เพราะอุปนิสัยของราชาเอลฟ์นั้นหุนหันพลันแล่น ไม่ใช่พวกที่ชอบวางแผนซับซ้อน
คนที่มีโอกาสจะทำได้คือราชินีแห่งภัยธรรมชาติ แต่ปัญหาคือเธอไม่น่าจะเก็บซ่อนแผนการได้มิดชิดจนแม้แต่สามีซึ่งเป็นเทพบรรพกาลอย่างซอนญาธริมไม่ทันสังเกตเห็น… และในทางตรงกันข้าม การสมมติให้ราชาคนยักษ์เออเมียร์เป็นผู้ทรยศนั้นฟังดูเหมาะสมกว่า… ขณะไคลน์กำลังวิเคราะห์ ออเดรย์เปลี่ยนแนวทางการชักนำให้เป็นสิ่งที่กรอซายเคยเห็นหรือได้ยินภายในวังราชาคนยักษ์
แต่น่าเสียดายที่หลังจากกรอซายออกจากวังราชาคนยักษ์ได้ไม่นาน มันเดินทางผ่านเมืองรุ่นอรุณและแคว้นทองคำจนกระทั่งได้พบสมุดบันทึกที่นั่น ส่งผลให้ไม่เคยเห็นรูปลักษณ์และวัฒนธรรมของคนยักษ์ในต่างดินแดน
“ข้อมูลที่มีค่าที่สุดในปัจจุบันคือวิธีเลี่ยงการเข้าวังราชาคนยักษ์จากทางด้านหน้า… หลังจากผ่านหมู่บ้านยามบ่ายให้เลี้ยวเข้าป่าเสื่อมโทรมและอุโมงค์รกร้าง” ออเดรย์ที่เสร็จการชี้นำเดินกลับมาหาไคลน์และเลียวนาร์ด “สิ่งนี้มีประโยชน์สำหรับภารกิจสำรวจของเดอะซันในอนาคต”
“อา… ไว้พวกเราค่อยบอกเขาในการชุมนุมครั้งถัดไป” ไคลน์พยักหน้า
ขณะชายหนุ่มเตรียมบอกให้ออกจากความฝันกรอซายและเข้าสู่ทะเลห้วงจิตรวมของหนังสือ ออเดรย์พลันหันหลังกลับและกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“มีเรื่องหนึ่งที่ไม่สมเหตุสมผล”
“เรื่องใด?” เลียวนาร์ดพยายามนึกทบทวนในสิ่งที่ได้เห็นและได้ฟัง แต่กลับไม่พบความน่าสงสัย
‘จัสติส’ ออเดรย์มองหน้า ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และกล่าว
“เรื่องที่ศพของพ่อแม่ราชาคนยักษ์เออเมียร์ถูกฝังอยู่ในป่าเสื่อมโทรม… การออกกฎให้มีเพียงเทพบรรพกาลเท่านั้นที่เข้าไปเยี่ยมได้ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
ในตอนแรกไคลน์เองก็ไม่พบความผิดปรกติในเรื่องดังกล่าว แต่หลังจากมิสจัสติสหยิบยกขึ้นมาพูด มันฉุกคิดบางสิ่งได้ทันที
“พ่อและแม่ของราชาคนยักษ์นั้นมีสถานะเทียบเท่าบรรพบุรุษของคนยักษ์ทั้งปวง… ในทางสามัญสำนึก บุคคลสำคัญเช่นนี้ควรจะถูกกราบไหว้บูชาโดยคนยักษ์ทั้งเผ่าพันธุ์…”
“ถูกต้อง ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใดก็ต้องเคารพนับถือบรรพบุรุษ คนยักษ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น ในความฝันของกรอซายก็มีการสังเวยถึงพ่อแม่ของราชาคนยักษ์จากด้านนอกป่าเสื่อมโทรม” ออเดรย์ผงกศีรษะในเชิงเห็นพ้อง “หากไม่มีปัจจัยภายนอกมารบกวน ราชาคนยักษ์ก็ควรจะเปิดให้มีการเข้ามากราบไหว้บูชาหลุมศพของบรรพชนเป็นระยะเพื่อเทิดทูน ไม่ใช่การออกกฎให้มีแต่ตัวเองที่เข้าไปได้”
“บางทีป่าเสื่อมโทรมอาจเต็มไปด้วยอันตรายก็ได้ ต้องไม่ลืมว่ายักษ์ต้นกำเนิดนั้นเป็นพวกเสียสติ บ้าคลั่ง และป่าเถื่อน หลังจากเสียชีวิตไป ศพของพวกเขาอาจจะกัดกร่อนสภาพแวดล้อมรวมถึงผืนป่าแห่งนี้ทั้งหมด เรื่องแบบนี้ฟังดูไม่เกินเลยไปนัก” เลียวนาร์ดแสดงความเห็น
ออเดรย์และไคลน์ส่ายหน้าพร้อมกับ เป็นนัยหักล้างแนวคิดดังกล่าว
“ถ้ามีแค่ปัจจัยด้านความอันตราย ‘ราชินีคนยักษ์’ โอมีเบล่าและ ‘เทพแห่งรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์ก็น่าจะทนการกัดกร่อนไหว และยิ่งถ้าได้รับความช่วยเหลือจากราชาคนยักษ์ โอกาสที่จะเกิดปัญหาก็แทบเป็นศูนย์ แต่ถึงกระทั่งคนใหญ่คนโตทั้งสองก็ยังถูกห้ามมิให้เข้าไปในป่าเสื่อมโทรม กระทั่งการให้ ‘เทพ’ พาเข้าไปก็ไม่ได้รับอนุญาต” ไคลน์อธิบายหลักการและเสนอแนวคิด “บางทีศพที่ถูกฝังอยู่ด้านใน… ศพของพ่อและแม่ราชาคนยักษ์อาจซ่อนความลับหรือปริศนาที่ยิ่งใหญ่เอาไว้”
“มีโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นมากทีเดียว” ออเดรย์พยักหน้าขึงขัง
ในสภาพสวมหน้ากากเงิน ดวงตาสีเขียวของเธอกลอกไปมาเล็กน้อยราวกับกำลังเผยความอยากรู้อยากเห็น
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ความลับใดกันที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ภรรยา ลูกหลาน เทพรับใช้ และพวกพ้องร่วมเผ่าพันธุ์รับรู้ได้? คำถามนี้น่าสนใจมากทีเดียว…” เลียวนาร์ดฉีกยิ้มขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย
หลังจากปรึกษาหารือเสร็จ ทั้งสามรีบผ่าน ‘อุโมงค์รกร้าง’ เข้าไปในเขตพระราชฐานของคนยักษ์จนกระทั่งมองเห็นวังที่แสงสนธยาถูกแช่แข็ง
จากประสบการณ์ส่วนตัวของไคลน์ นี่คือเส้นทางเดียวกับภายในความฝันของกรอซาย
แต่ในคราวนี้ ไคลน์ไม่ต้องพึ่งพาพลังจากยุบพองหิวโหยเพื่อยืมพละกำลังของซอมบี้มาเปิดประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นเขตห้องพักองครักษ์ เพียงออเดรย์บิดเบือนความฝัน บานประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดายราวกับแผ่นกระดาษ เนื่องจากไคลน์พกพาไม้กางเขนเจิดจรัสมาด้วย มันจึงหมดสิทธิ์พกพาสมบัติวิเศษอื่นๆ อย่างยุบพองหิวโหย
ด้านนอกประตูเป็นโลกที่พร่ามัว ฉากอีกฝั่งไม่ใช่ภายในวังราชาคนยักษ์หากแต่เป็นหน้าผา
หลังจากถกเถียงกันถึงวิธีที่จะเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวม ออเดรย์เริ่มด้วยการสร้างขั้นบันไดจากยอดหน้าผา
ขั้นบันไดวนเวียนลงไปเรื่อยๆ ท่ามกลางโลกแห่งจิตที่ดำมืด พร่ามัว เงียบเชียบ และไร้ก้นบึ้ง
ทั้งสามไม่มัวรีรออีกต่อไป รีบลงบันไดและก้าวเดิน
บรรยากาศที่เงียบเชียบและโดดเดี่ยวเช่นนี้รุนแรงพอจะทำให้ใครสักคนกลายเป็นบ้า เมื่อเดินไปถึงระยะหนึ่ง ออเดรย์จำต้องใช้พลังปลอบโยนกับทุกคน
เป้าหมายที่ออเดรย์ต้องปลอบโยนไม่ได้มีเพียงไคลน์ เลียวนาร์ด และตัวเธอเอง แต่ยังรวมถึงหน้าผาสีเทาอ่อนที่เป็นจิตใต้สำนึกของกรอซาย เพื่อป้องกันไม่ใช้คนยักษ์รายนี้สร้างความวุ่นวายจนวิญญาณดาราและกายปัญญาของพวกตนถูกปนเปื้อน
ท่อนแขนเน่าๆ ขนาดมหึมาที่ ‘เคย’ ไล่ล่าไคลน์ในความฝันกรอซายเมื่อนานมาแล้วกลับไม่โผล่ออกมาในครั้งนี้ แม้กระทั่งความรู้สึกอ้างว้าง เงียบเชียบ และไม่สิ้นสุดก็ไม่ได้น่าหวาดหวั่นเหมือนคราวก่อน เนื่องจากทั้งสามสามารถสนทนากันได้
“ที่นี่คือโลกแห่งจิต ขอบเขตแห่งจิตใต้สำนึกที่แตกต่างจากสถานที่อื่น” ‘เดอะสตาร์’ เลียวนาร์ดมองไปรอบตัวพลางต้องการจะเขียนกวีสักสองสามบทเพื่อสื่อความรู้สึก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมแพ้
หากเป็นภารกิจอื่น ไคลน์คงบอกให้นักกวีเพื่อนรักช่วยเงียบเสียง แต่ถ้าเป็นที่นี่ มันรู้สึกว่าคงเป็นการดีกว่าหากจะคุยอะไรเรื่อยเปื่อย
ออเดรย์ไม่ปฏิเสธการสื่อสาร กล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“แก่นสารของสภาพแวดล้อมเกิดจากความรู้สึกของตัวเรา โดยหน้าผาที่เห็น ผนังหินสีเทา และโลกที่พร่ามัว ทั้งหมดคือสิ่งสะท้อนจิตใต้สำนึกของตัวเราเอง… ถ้าเราเป็นเผ่าพันธุ์อื่น ภาพก็จะแตกต่างออกไป…”
“…ชักเริ่มสนใจจิตวิทยาขึ้นมาแล้วสิ” เลียวนาร์ดกล่าวหลังจากได้ฟัง
ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตาและเกิดอยากจะพูดออกไปว่า ด้วยนิสัยและบุคลิก เลียวนาร์ดไม่เหมาะกับเส้นทางผู้ชมในทุกประตู
ขณะพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งสามไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งฝ่าเท้าเหยียบลงบนพื้นสีเทาทึบแต่พร่ามัว
เมื่อแหงนมองขึ้นไป พวกมันเห็นแสงและเงาที่สอดประสานอยู่ร่วมกันและเรียงร้อยกลายเป็นทะเลมายา
ขณะไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์กำลังเดินตรงไปข้างหน้า ‘เสาน้ำวน’ พลันพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับเผยให้เห็นร่างที่ค่อนข้างพร่ามัว
เป็นคนยักษ์สีเทาอมฟ้าซึ่งสูงหกเจ็ดเมตร หน้าอกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรและลวดลายกับอักขระที่ยากจะอธิบาย ไม่มีใครเข้าใจความหมาย
ดวงตาหนึ่งเดียวแนวตั้งเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจนแดงก่ำ แผ่ออร่าที่ดุร้ายจนยากจะปกปิด ราวกับต้องการทำลายทุกสิ่ง ในปากของมันมีขามนุษย์ชุ่มเลือดคาอยู่
คนยักษ์ระดับครึ่งเทพ!
สิ่งนี้คือภาพฉายที่หลงเหลืออยู่ในทะเลจิตใต้สำนึกรวม บางทีอาจเกิดจากการที่เคยเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่น หรือไม่ก็เป็นประสบการณ์ที่กรอซายเคยได้ยินได้ฟังมา
ในวินาทีที่ปรากฏตัว ความบ้าคลั่งของมันพลันแพร่กระจายไปยังไคลน์และคนข้างเคียง ราวกับโรคระบาดทางจิต!
นี่คือโลกที่เกิดจากการสัมผัสกับจิตและจิตใต้สำนึกของใครสักคนโดยตรง!
………………………….