Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1067 : พงศาวดารเอลฟ์

นี่มัน… เทพรับใช้จากยุคสมัยที่สองล้วนเป็นเสือหมอบมังกรหลับ ไม่ว่าจะ ‘มังกรแห่งปัญญา’ เฮราเบอร์เก้นหรือ ‘เทพแห่งวิญญาณมรณะ’ ซาลินเจอร์ก็ล้วนเป็นตัวตนสำคัญที่ก้าวไปถึงลำดับ 0 ในภายหลัง แน่นอนว่าเรายังไม่มั่นใจกับมังกรแห่งปัญญา แต่ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว…

อา… นอกจากนั้นยังมี ‘เทพแห่งรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์และ ‘เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว’ โอมีเบล่า… มีโอกาสที่เทพเหล่านี้จะดำรงชีวิตมาจนถึงยุคสมัยที่ห้าเช่นกัน… ชักอยากรู้แล้วว่า ‘เทพแห่งสัตว์วิญญาณ’ ทอซน่าและ ‘เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม’ อมานีซิสจะรอดพ้นจากการถูก ‘ทวงคืนอำนาจ’ โดยฝีมือพระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์หลังจบยุคสมัยที่สองหรือไม่… และถ้าพวกท่านรอดมาได้ แต่ละคนมีบทบาทอย่างไรในยุคสมัยที่สามและสี่? หลังจากตกตะลึงไปเล็กน้อย ไคลน์เริ่มขบคิดพลางถอนหายใจ

และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์การทรยศของสามราชาเทวทูตในยุคสมัยที่สาม ไคลน์รำพัน

สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งคืออัคคีภัย โจรขึ้นบ้าน และเทพรับใช้!

ในเวลาเดียวกัน ออเดรย์ที่ไม่ค่อยรู้จักชื่อจริงและสมญานามของเทพรับใช้มากนัก แทบไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือแสดงอารมณ์ เพียงคอยจำแลงกายเป็นเอลฟ์สาวในความทรงจำของเซียธาสและชักนำคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ในยุคสมัยที่สอง

จากคำบอกเล่าของเซียธาส ในประวัติศาสตร์ของเอลฟ์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายุคสมัยที่หนึ่งหรือสอง ยุคสมัยเริ่มต้นผ่านไปโดยไม่รู้คืนวัน เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความมืด และความบ้าคลั่งโดยปราศจากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จนกระทั่งสัตว์วิเศษแต่ละเผ่าพันธุ์เริ่มพัฒนาสติปัญญาและสร้างภาษา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นขององค์ความรู้และประวัติศาสตร์

ภายในยุคสมัยดังกล่าว เทพบรรพกาลค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง ดินแดนอันประกอบไปด้วยท้องฟ้า ผืนพิภพ ทะเล และใต้ดินค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากความยุ่งเหยิงจนมีระเบียบเรียบร้อย ทว่านอกเสียจากเทพบรรพกาลที่เกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งเหล่านี้ ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าช่วงเวลาดังกล่าวผ่านไปทั้งสิ้นกี่ปี ทราบเพียงว่าเมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว เหล่าเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า ‘ยุคสมัยแห่งการงอกเงย’

หลังจากยุคสมัยแห่งการงอกเงยก็เป็น ‘ยุคสมัยแห่งการเริ่มใช้ไฟ’ ซึ่งเหล่าเทพบรรพกาลได้แบ่งออกเป็นฝักฝ่ายและต่อสู้กัน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นก่อนที่เซียธาสจะเกิดนานมาก เธอจึงทำได้เพียงศึกษาจากประวัติศาสตร์ของเอลฟ์และทราบว่าเผ่าพันธุ์ ‘กึ่งมนุษย์’ ได้เปิดศึกกับเผ่าพันธุ์ ‘อมนุษย์’ อย่างหนักหน่วง ขณะเดียวกันก็ต้องต้านทานการกัดกร่อนและรุกรานจากปีศาจและหมาป่าอสูร ในสมัยนั้นมนุษย์ยังอาศัยอยู่ในฐานะคนรับใช้และทาสของเผ่าคนยักษ์ เอลฟ์ และผีดูดเลือด

ในยุคเริ่มต้นใช้ไฟนั้นมีระยะเวลานานไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแต่ละตำนาน แต่จุดร่วมที่เหมือนกันก็คือ ไม่มีตำนานใดยาวนานเกินกว่าหนึ่งพันปี เนื่องจากธรรมชาติของเทพบรรพกาลในสมัยนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เกรี้ยวกราด ป่าเถื่อน และเย็นชา แทบทุกการกระทำจะเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ

หลังจาก ‘ต้นตระกูลผีดูดเลือด’ ลิลิธ ‘ราชามนุษย์กลายพันธุ์’ เควาสทูนและ ‘ราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง’ เฟรเกียถึงคราวร่วงหล่นเพราะถูกหักหลัง ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้นใช้ไฟก็สิ้นสุดลงและเกิดเป็นสงครามโกลาหล โลกถูกทำลายอย่างต่อเนื่องโดยไม่สงบสุขนานหลายร้อยปี

เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว คนยักษ์และมังกรแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จึงถูกเรียกขานว่า ‘ยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจ’

จนกระทั่งเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังทั้งห้าสร้างสมดุลขึ้นมาใหม่ ทั้งทวีปเหนือ ทวีปใต้ ทวีปตะวันออก และหาห้วงสมุทรเริ่มอยู่ในความสงบสุข นั่นคือช่วงเวลาที่เซียธาสเกิดและเติบโตจนกระทั่งเข้ามาอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’

จากประวัติศาสตร์ที่เธอเล่า มีสองจุดใหญ่ที่สำคัญ หนึ่งคือการดำรงอยู่ของทวีปตะวันออกซึ่งเป็นสถานที่ตั้งวังราชาคนยักษ์ และสองคือหลังจากยุคสมัยแห่งการงอกเงย เผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างก่อร่างสร้างอารยธรรมของตัวเองขึ้นมาโดยที่มิได้เสียสติเหมือนกับที่บรรพบุรุษเคยเป็น แต่แน่นอนว่ายังหลงเหลือเศษเสี้ยวความเกรี้ยวกราด ป่าเถื่อน เย็นชา และกระหายเลือดอยู่ลึกๆ เรียกได้ว่าเป็นภาวะกึ่งคลุ้มคลั่ง จนกระทั่งยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจจบลง เอลฟ์และคนยักษ์จึงเริ่มพัฒนาสติปัญญาอย่างก้าวกระโดดจนมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับกรอซายและเซียธาส

ดูเหมือนว่าทวีปตะวันออกจะเป็นดินแดนเทพทอดทิ้งในปัจจุบัน… ถูกทิ้งหลังจากมหาภัยพิบัติ? ความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในใจไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์

ทุกคนต่างสนใจในหัวข้อดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่เซียธาสมักอยู่แต่ในวังราชาเอลฟ์เป็นส่วนใหญ่ หรือนานๆ ครั้งจะได้ออกไปข้างนอกก็ยังหนีไม่พ้นการล่องทะเล ไม่เคยไปเหยียบทวีปตะวันออก จึงขาดความทรงจำและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ภายใต้การชักนำของออเดรย์ ความฝันของเซียธาสเริ่มดำเนินไปสู่ภาษาและวัฒนธรรมของเอลฟ์

จากตำนานที่เอลฟ์รับใช้มีสิทธิ์เข้าถึง ภาษาเอลฟ์ถูกสร้างขึ้นโดยราชาเอลฟ์ในยุคสมัยแห่งการงอกเงย แต่ละคำถือกำเนิดพร้อมกับเอลฟ์รุ่นแรกแต่ละตน หรือกล่าวได้ว่าจำนวนคำในภาษาเอลฟ์นั้นมีเท่ากับจำนวนเอลฟ์รุ่นแรก

ทว่าวัฒนธรรมของเอลฟ์นั้นไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก เอลฟ์ในป่าและในทะเลนั้นมีขนมธรรมเนียมที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก

จุดร่วมของเผ่าพันธุ์เอลฟ์คือเรื่องที่พวกมันศรัทธาในราชาเอลฟ์ซึ่งเป็นเทพบรรพกาล และราชินีของพระองค์ เอลฟ์ชื่นชอบที่จะนำเลือดของเหยื่อมาปรุงเป็นอาหาร และมีเอลฟ์จำนวนไม่น้อยที่นิยมการปรุงอาหารแบบย่าง แม้กระทั่งเอลฟ์ในทะเลก็ยังหาโอกาสมารวมตัวกันบนแนวปะการังและจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างมากและชำนาญการใช้เครื่องเทศทุกชนิด นอกจากนั้นพวกมันบูชาความแข็งแกร่งและภาคภูมิในใจความคิดไวทำไวโดยไม่สนผลลัพธ์ที่จะตามมา

มีทั้งตำนานและความจริงผสมปนเป เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าสิ่งใดจริงและสิ่งใดปลอม… แต่วัฒนธรรมของพวกเขาทำลายข้อสันนิษฐานในอดีตของเราจนป่นปี้… ไคลน์ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจวิเคราะห์ทุกคำพูดของเซียธาสอย่างละเอียด

หลังจากได้รับข้อมูลที่น่าสนใจ ออเดรย์ชักนำความฝันของเซียธาสให้ดำเนินไปยังทิศทางของทวีปตะวันตก ส่งผลให้ฉากในความฝันเริ่มเปลี่ยนผันและสะท้อนจิตใจสำนึกในส่วนลึกของเธอ

พระราชวังปะการังปรากฏเบื้องหน้าไคลน์และคนที่เหลืออีกครั้ง คราวนี้เซียธาสกำลังเดินตาม ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็มไปยังหน้าต่างใสบานหนึ่ง

เซียธาสชำเลืองเครื่องแต่งกายอันหรูหราและประณีตของราชินีก่อนจะมองหน้า ‘เทพ’ ที่มีพลังควบคุมภัยธรรมชาติพร้อมกับถาม

“ฝ่าบาท… กำลังมองไปทางตะวันตกหรือเพคะ?”

สำหรับเอลฟ์ หากไม่สัมผัสถึงแรงกดดันที่เกรี้ยวกราดจากอีกฝ่าย พวกมันมีสิทธิ์ตั้งคำถามตามที่สงสัย

“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?” โคฮีเน็มไม่หันกลับมามอง เพียงย้อนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ดิฉันเพิ่งได้อ่านบันทึกตำนานที่กล่าวว่า เผ่าเอลฟ์ของเรามีต้นกำเนิดจากทวีปตะวันตก” เซียธาสมอบคำตอบ “ฝ่าบาท ทวีปตะวันตกมีอยู่จริงหรือไม่? และเป็นความจริงไหมที่เอลฟ์รุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นที่นั่น?”

มุมปากโคฮีเน็มยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอย

“ทวีปตะวันตกนั้นอาจจะมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้ ทุกเผ่าพันธุ์มักสร้างต้นกำเนิดปลอมๆ ขึ้นมาเป็นบ้านเกิดของดวงวิญญาณ… เซียธาส… สำหรับเจ้า ที่ใดคือบ้าน?”

“บ้าน?” เซียธาสทวนคำก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย “บ้านของข้าคือพระราชวังแห่งนี้ที่องค์ราชาและราชินีพำนักอยู่ รวมถึงป่าที่พ่อและแม่ของข้าอาศัย”

กล่าวถึงตรงนี้ อารมณ์ของเซียธาสเริ่มดำดิ่ง โหยหา และโศกเศร้า

เธอกำลังได้รับอิทธิพลจากความทรงจำภายในจิตใต้สำนึก

ต้องไม่ลืมว่า เซียธาสได้เข้ามาอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ และต้องจากบ้านมานานกว่าสองถึงสามพันปี

“นั่นก็หมายความว่าสำหรับเอลฟ์อย่างเจ้า ทวีปตะวันตกไม่มีอยู่จริง แต่สำหรับเอลฟ์บางตน สถานที่แห่งนั้นมีอยู่จริง” ราชินีแห่งภัยธรรมชาติมอบคำตอบสุดท้ายอย่างสุขุม

เซียธาสมิได้ถามสิ่งใดต่อ เนื่องจากเพิ่งตระหนักได้ว่าราชินีไม่ใช่เอลฟ์รุ่นแรก

คำตอบเช่นนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับไคลน์ แต่โชคยังดีที่ทวีปตะวันตกนั้นไม่มีตัวตนอยู่เลยในช่วงยุคสมัยที่สองถึงห้า สถานที่ดังกล่าวจึงมิได้เก็บซ่อนความลับใดที่เกี่ยวข้องกับตนเอาไว้ ชายหนุ่มแค่ต้องการลองตรวจสอบโดยไม่คาดหวังมากนัก

หลังจากชักนำความฝันของเซียธาสเสร็จในเวลาใกล้เที่ยง เมื่อไม่มีความฝันของคนอื่นในละแวกใกล้เคียงให้กระโจนเข้าไป ออเดรย์พาไคลน์และเลียวนาร์ดออกมาพร้อมกัน ปรากฏตัวอีกครั้งภายในห้องนอนของโมเบธและเซียธาส

ยืนมองร่างของไวเคาต์แห่งยุคสมัยที่สี่ถูกภรรยากอดก่ายบนเตียงนอนสักพัก ออเดรย์หัวเราะในลำคอพลางทำสีหน้าผ่อนคลาย

“ดูมเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาในตอนนี้จะราบรื่นดี…”

“ไม่ไม่ไม่! การมีภรรยาบ้าพลังและพูดจาขวานผ่าซาก แถมยังชอบลงไม้ลงมือเช่นนี้ คงมีแต่โมเบธที่มีความสุข…” เลียวนาร์ดซึ่งไม่มีพรสวรรค์ทางด้านแต่งกลอน แต่ยังคงรักอิสระเหมือนนักกวี ส่ายหน้าพลางสอดมือเข้าไปในกระเป๋า

จากนั้นก็รำพัน

แต่ในทางกลับกัน หากต้องการสยบหัวขโมยมากประสบการณ์ให้อยู่หมัด คู่ชีวิตก็ต้องเป็นผู้หญิงแบบเซียธาส… อา… ชักอยากรู้แล้วว่าผู้หญิงในตระกูลของตาแก่จะมีนิสัยเป็นยังไง…

“เฮ้อ… ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องอิจฉาหรือสงสารพวกเขาเลยสักนิด ก็แค่สองคนนี้เกิดมาคู่กัน… จักรพรรดิโรซายล์เคยเขียนกวีไว้ว่า ‘จริงอยู่ที่ชีวิตนั้นมีค่า แต่ความรักมีค่ามากกว่าเสมอ’ …”

ขณะได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ไคลน์อ้าปากเล็กน้อยก่อนจะปิดสนิทอีกครั้ง มันไม่ได้บอกทั้งสองคนว่าปัจจุบันเซียธาสและโมเบธได้ตายไปแล้ว และความรักก่อตัวขึ้นในลมหายใจสุดท้ายของชีวิตทั้งคู่ ส่วนตัวตนที่อยู่ในหนังสือเป็นเพียงร่างโคลนที่ถูกสร้างขึ้น

หลังออกจากบ้านของคู่รัก สามสหายมุ่งหน้าไปยังโรงตีเหล็กของกรอซาย

บนถนนระหว่างทาง ไคลน์มองเห็นรอนเซลที่ถูกคนแถวนี้เรียกว่านักปราชญ์ และออเดรย์สามารถยืนยันได้ทันทีว่าชายคนนี้คือชาวโลเอ็น

“นั่นคือทหารจากหนึ่งร้อยปีก่อนใช่ไหม?” ออเดรย์ลดความเร็วลงและเอ่ยปากถาม

เมื่อนึกทบทวนเรื่องที่รอนเซลคิดถึงบ้าน และเรื่องที่ตนนำเถ้ากระดูกของมันไปฝังในหลุมศพเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว ไคลน์เงียบงันสองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน

“ใช่”

อารมณ์ของมิสเตอร์เวิร์ลเริ่มผันผวน… เขาเหมือนกับแม่น้ำที่ผิวน้ำนิ่ง แต่ด้านล่างเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ… ออเดรย์พยักหน้าเล็กๆ

“พวกเราเข้าฝันเข้าได้ไหม? ดิฉันอยากได้สูตรโอสถผู้พิพากษาและอัศวินวินัย”

“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ตอบพลางชำเลืองเลียวนาร์ด

เลียวนาร์ดที่ยังคงใช้มือล้วงกระเป๋า ดวงตาของมันพลันเปลี่ยนเป็นสีเข้ม

รอนเซลซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งผล็อยหลับไปในทันที

หลังจากนั้นคนทั้งสามก็เข้าไปปรากฏในความฝัน

ที่นี่คือเมืองอันวุ่นวายและเต็มไปด้วยอาคารที่สร้างจากไม้ ผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาล้วนเป็นชาวโลเอ็น

รอนเซลเจ้าของดวงตาสีฟ้าและผมสีดำทำเพียงยืนมองโดยไม่กล้าเดินเข้าไป จนกระทั่งสตรีสวมเดรสเก่าเดินออกมา รอนเซลรีบขยับเข้าไปใกล้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับทำท่าจะกอด

แต่ท่อนแขนของรอนเซลกลับทะลุผ่านหญิงสาวไปโดยมิได้สัมผัสกัน

รอนเซลยืนแน่นิ่งพลางตะโกน

“แม่…”

ออเดรย์ที่เตรียมชักนำความฝัน ชะงักเล็กน้อยและเฝ้ามองเหตุการณ์ต่อไป จนกระทั่งเธอกวาดสายตาไปรอบๆ และพบกับนาฬิกาที่คุ้นเคย

“เบ็คลันด์…” ออเดรย์เม้มริมฝีปากและหันกลับมาจ้องไคลน์ “พวกเขาออกจากหนังสือไม่ได้หรือ?”

“เวลาผ่านมานานเกินไป หากออกจากหนังสือ พวกเขาจะแก่และตายทันที หรือแม้กระทั่งกลายเป็นเศษฝุ่น” ไคลน์กล่าวเสียงเรียบราวกับผิวแม่น้ำนิ่ง “ผมนำข้าวของของรอนเซลกลับไปไว้ที่เบ็คลันด์แล้ว”

นี่มัน… ในฐานะผู้ชม ออเดรย์สามารถตระหนักถึงความโหดร้ายในประโยคล่าสุด เธออดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองออกไปนอกความฝัน เป็นทิศทางของบ้านคู่รักโมเบธและเซียธาส

เลียวนาร์ดต้องการจะถามถึงรายละเอียด แต่พิจารณาจากบรรยากาศ มันตัดสินใจปิดปากเงียบ

ถัดมาออเดรย์ตั้งใจชักนำความฝันของรอนเซล นอกจากการถามสูตรโอสถสองชนิด เธอได้ชักนำให้รอนเซลกลับถึงบ้านและใช้ชีวิตกับครอบครัวอันประกอบไปด้วยพ่อแม่ พี่สาว และน้องสาวอย่างมีความสุข

เป็นความฝันที่งดงาม

หลังออกจากความฝันของรอนเซล ทั้งไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์ก็พบบ้านของกรอซาย

นี่คือปลายทางสุดท้ายของการสำรวจ หลังจากได้รับข้อมูลจากจิตใต้สำนึกของโรซายล์ พวกมันจะเข้าสู่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมของหนังสือเล่มนี้และค้นหาความลับที่อาจซุกซ่อน

………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset