กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าคับแคบ
ไคลน์ซึ่งสวมเสื้อนอกค่อนข้างหนา ยืนอยู่ริมโต๊ะพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ดื่มด่ำไปกับความก้าวหน้าในการย่อยโอสถจอมอาคมพิสดารที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เร็วมาก… ก้าวหน้ามากกว่าช่วงสามเดือนที่ผ่านมารวมกันด้วยซ้ำ… แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากไม่มีไม้เท้าแห่งชีวิต พลังในการรักษาของเรายังไม่สูงพอ คนไข้อาจหวาดกลัวจนทนพิษบาดแผลไม่ไหว ส่งผลให้มิอาจตระเวนไปตามโรงพยาบาลเพื่อสร้างเรื่องสยองขวัญ…
ในทำนองเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดสงคราม เราคงไม่มีโอกาสได้เผชิญหน้ากับครึ่งเทพคนอื่น… ครึ่งเทพที่เรารู้จักทั้งหมดล้วนอาศัยอยู่ใน ‘ถิ่น’ ของตัวเอง หากต้องการบุกรุกเข้าไปเพื่อสร้างตำนานสยองขวัญ คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเปลี่ยนให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นหุ่นเชิด ต่อให้ไม่เหลือทางเลือกอื่น เราก็จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด… ไคลน์ถอนหายใจพลางครุ่นคิด
จากนั้น มันย้ำคำหนึ่งภายในใจ
สงคราม…
ปัจจุบัน เขตตะวันออกค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟถนนซึ่งอยู่ห่างออกไปไกล นานๆ ครั้งจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินถือตะเกียงตรวจตราบนถนน
หากเป็นเมื่อก่อน ตำรวจเหล่านี้จะขาดความกระตือรือร้น แต่สำหรับปัจจุบัน เนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม จึงต้องมีการตรวจตราอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ประชาชนฝ่าฝืน ‘เคอร์ฟิว’
“สงคราม…” ไคลน์ทวนคำอีกครั้งด้วยเสียงแผ่ว ท่ามกลางความสับสนเล็กๆ ไคลน์เริ่มมองเห็นบทสรุปบางส่วนของสงคราม
ท้ายที่สุด จอร์จที่สามแห่งโลเอ็นจะเป็นอิสระจากพันธนาการ หมดห่วงว่าเจ็ดเทพจารีตจะพยายามยับยั้งตน สามารถดำเนินการประกอบพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดได้อย่างชอบธรรม… หากมันอดทนต่อฤทธิ์โอสถได้ รวมไปถึงการรักษาสติสัมปชัญญะ จอร์จที่สามก็จะกลายเป็นลำดับ 0 จักรพรรดิมืดโดยสมบูรณ์…
ตระกูลไอน์ฮอร์นแห่งฟุซัคจะใช้ประโยชน์ความวุ่นวายของสงครามที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งสมาชิกคนสำคัญออกไปทำศึกเพื่อย่อยโอสถและประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ขุมพลังโดยรวมของตระกูลแข็งแกร่งขึ้นมาก…
สำหรับพี่ชายของอามุนด์ นี่คือโอกาสอันดีในการปรุงโอสถและก้าวขึ้นไปเป็น ‘นักสร้างฝัน’ ท่ามกลางกระแสเวลาแห่งยุคสมัย ทำให้โลกนี้มีเทพแท้จริงเพิ่มอีกหนึ่งตน…
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ผุดคำถามขึ้นกะทันหัน
เรายอมรับบทสรุปแบบนี้ได้หรือ…
ยอมรับได้ไหม… ไคลน์อ้าปากและปิดกลับไปอย่างเชื่องช้า ภายในใจกำลัง ‘เห็น’ ภาพที่ไกลเกินกว่าขีดจำกัดของเวลาและมิติ
เป็นฉากของกรุงเบ็คลันด์ซึ่งท่วมท้นไปด้วยหมอกควันสีเหลืองอ่อนแซมด้วยสีดำเหล็ก หมอกดังกล่าวทั้งเข้มข้นและฉุนจมูกชวนให้สำลัก ทั้งเย็นเยียบและเปียกชื้น
ชายเร่ร่อนคนหนึ่ง ชีวิตของมันขยับเข้าใกล้ความตายเนื่องจากอาการป่วย ความหิว ความเจ็บปวด และหนาวเย็น ชายคนดังกล่าวพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยการใช้อาหารและรางวัลบางอย่างเป็นแรงผลักดันในการทำงาน ไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่วินาทีเดียว จนกระทั่งได้พบกับแสงสว่างแห่งชีวิต มีเงินเพียงพอที่จะซื้อแฮมซึ่งใฝ่ฝันอยากกินมานาน
ม่ายสาวคนหนึ่ง เธอเป็นคนขยันขันแข็ง แต่เพื่อความอยู่รอดและเพื่อลูกสาวทั้งสอง เธอยอมละทิ้งศักดิ์ศรีและทำตัวปากร้าย สั่งสอนลูกสาวทั้งสองคนด้วยภาษาหยาบคาย น่าเสียดายที่อาการไขข้อทรุดลงทุกวันเนื่องจากต้องทำงานสภาพแวดล้อมที่ชื้นเกินไป จนกระทั่งหมอกควันอันเข้มข้นมาเยือนเมืองหลวง หลังคาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันลมฝนได้ถล่มลงมา หล่นทับเธอและลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเธอพยายามปกป้องไว้ในอ้อมแขน ส่งผลให้เสียชีวิตไปทั้งคู่
เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอรักการอ่าน เฝ้าฝันถึงอนาคตอันสดใส รักแม่และน้องสาวมาก อุทิศชีวิตให้กับการทำงานภายในห้องที่เต็มไปด้วยละอองน้ำเปียกชื้น โดยหวังว่าสักวันจะได้มีอนาคตที่สุขสบาย แต่หลังจากเหตุการณ์หมอกควัน อนาคตของเธอก็จบลง
เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีโอกาสได้เล่าเรียนเพราะการเสียสละของแม่และพี่สาว เธอจึงตั้งใจเรียนหนักเพื่อทุกคน หลังจากเผชิญความทุกข์ยากมากมาย สิ่งดีๆ ก็เริ่มเข้ามาในชีวิต เธอหวังจะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ปรารถนาให้แม่และพี่สาวได้ทำงานสบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย หวังว่าครอบครัวเล็กๆ ที่มีสมาชิกสามคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ในท้ายที่สุด ทุกสิ่งพังทลายลง ท่ามกลางหมอกควัน เธอถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง โดยหลังจากนี้ ไม่ว่าจะได้พานพบความสุขหรือความเจ็บปวด เธอไม่สามารถแบ่งปันกับใครได้อีก ชีวิตครอบครัวในฝันสูญหายไปตลอดกาล
สิ่งมีชีวิตมากมายทยอยล้มตายราวกับฟางข้าว จากครอบครัวหนึ่งไปถึงอีกครอบครัวหนึ่ง จากคนหนึ่งไปถึงอีกคนหนึ่ง เป็นความเจ็บปวดที่ถูกสลักลงในกระดูกซึ่งมิอาจลบเลือน
นักศึกษาคนหนึ่ง อนาคตสดใส แต่ร่างกายกลับเหลือเพียงครึ่งซีก ลำไส้กระจัดกระจาย
เด็กคนหนึ่ง เพิ่งกลับจากโรงเรียน แต่ต้องพบว่าตนสูญเสียพ่อแม่และกลายเป็นเด็กกำพร้า
คนธรรมดาจำนวนมากที่ล้มลงด้วยความเจ็บปวด ดิ้นรนกระเสือกกระสน ขวนขวายหาอนาคต แต่มิอาจต่อลมหายใจของตัวเองออกไป
เหล่าผู้สูญเสียกลุ่มใหญ่ที่ตระเวนไปทั่วสุสานอันเงียบเชียบ แต่ละคนร้องไห้หนักจนหมดสติไปสองสามหน
ผืนแผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยเลือด
อากาศที่ปกคลุมไปด้วยควันดินปืน
กระสุนปืนใหญ่ที่โหดร้ายและไร้หัวใจ
ชายผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด ฆาตกรตัวจริงที่ผลักดันให้เกิดสิ่งเหล่านี้ กำลังจะปีนป่ายบันไดแห่งซากศพขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ท่ามกลางแรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง เตรียมสลัดคราบมนุษย์ออกไปโดยสมบูรณ์
เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามได้หรือ?
ยอมรับแผนการอันชั่วช้าของมันได้หรือ?
เรา… ยอมรับบทสรุปแบบนี้ได้จริงหรือ?
“ไม่… เราไม่ยอมรับ” ไคลน์ที่เงียบงันสักพัก กล่าวกับตัวเองเสียงแผ่ว
เสียงดังกล่าวสะท้อนอยู่ภายในห้อง ซ้อนทับอย่างต่อเนื่อง
“ไม่ เราไม่ยอมรับ!”
ท่ามกลางเสียงที่ดังสะเทือนในโสตประสาท มุมปากไคลน์ขดขึ้นเล็กน้อยพลางหัวเราะเยาะกับตัวเอง
“แม้แต่เจ็ดเทพจารีตยังยอมรับ แล้วนายเป็นใครถึงไม่ยอม?”
ไคลน์เงียบลงอีกครั้ง หายใจเข้าออกอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน จนกระทั่งพึมพำในลำคอ
“แม้ว่าเราคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังมีเรื่องที่พอจะทำได้”
บนโลกปัจจุบัน ใช่ว่าทุกสิ่งจะรับประกันความสำเร็จเสมอไป
มุมปากไคลน์ขดขึ้น ถอนสายตากลับและหมุนตัวเดินเข้าห้อง
แม้จะหนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ แต่มันก็ไม่คิดบุ่มบ่ามลงมือ เพราะยังทราบดี ด้วยพลังและสถานภาพในปัจจุบัน ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดและวางแผนได้รอบคอบสักแค่ไหน แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างอิทธิพลก่อกวนจนแผนการของจอร์จที่สามประสบความล้มเหลว ผลลัพธ์มีเพียงการเอาชีวิตไปทิ้งโดยไม่สร้างสรรค์ประโยชน์ใดกลับมา
ยิ่งไปกว่านั้น หากการลงมือของไคลน์ส่งผลให้อาณาจักรโลเอ็นเกิดความโกลาหลในภาวะสงคราม นำไปสู่การบุกถล่มของกองทัพฟุซัค นั่นจะทำให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตายไปมากกว่าโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันนับสิบนับร้อยเท่า
สิ่งที่เราทำได้คือการเตรียมตัว… ในแง่หนึ่ง ต้องพัฒนาตัวเอง และอีกแง่หนึ่ง ต้องเตรียมตัวสำหรับโอกาสที่จะมาถึง… ไคลน์พึมพำเงียบพร้อมกับนำวัตถุเหนียวข้นคล้ายแป้งเปียกสีดำป้ายลงบนกระจกเงา
นี่คือช่องทางสำหรับติดต่อแม่มดทริสซี่
ทว่า จนกระทั่งของเหลวเหนียวข้นสีดำ ‘ระเหย’ หายไปทั้งหมด กระจกก็ยังไม่มีการตอบสนอง
ไม่ตอบสนอง… หลังจากตกตะลึงกับผู้ส่งสารระดับเทวทูตของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทริสซี่ก็ตัดสินใจเลิกติดต่อกับนักผจญภัยเสียสติ… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เดินไปนั่งลงข้างเตียงนอน
กระแสความคิดของมันเปลี่ยนไปวิเคราะห์ว่า เหตุใดนิกายแม่มดถึงต้องช่วยกษัตริย์จอร์จที่สาม
…เหตุผลข้อแรก แม่มดต้องการโศกนาฏกรรมเพื่อย่อยโอสถและประกอบพิธีกรรม ข้อสอง จอร์จที่สามให้คำมั่นสัญญาบางอย่างกับพวกหล่อน? สัญญาแบบไหน? สัญญาว่าจะยอมรับให้นิกายแม่มดกลายเป็นศาสนาใหม่ที่ถูกต้องชอบธรรม? ไม่มีทาง เจ็ดเทพจารีตไม่มีวันยอม ต่อให้ลำดับ 0 อย่างจักรพรรดิมืด แม่มดบรรพกาล และพระผู้สร้างแท้จริงร่วมมือกัน ก็คงยากที่จะต่อกรกับพันธมิตรเจ็ดเทพจารีต ไม่สิ… หลังจากจบสงคราม เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ็ดเทพคงเกิดปัญหา…
ถ้าเป็นไปตามข้างต้น เจ็ดเทพจารีตก็ไม่ควรปล่อยให้จอร์จที่สามซึ่งร่วมมือกับนิกายแม่มด ได้เถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด…
หรือคำมั่นสัญญาจะเป็นเรื่องอื่น? แต่เส้นทางแม่มดมีเทพแท้จริงอยู่แล้ว และสิ่งที่พระองค์ปรารถนาก็น่าจะมีไม่มาก… เส้นทางใกล้เคียง? หมายถึงเส้นทางนักบวชสีชาด? จอร์จที่สาม ไม่สิ… หรือว่า… พี่ชายอามุนด์ซึ่งนอกจากจะทราบความลับเกี่ยวกับสุสานจักรพรรดิมืดของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ บุตรแห่งพระผู้สร้างรายนี้ยังถือครองตะกอนพลังระดับเทวทูตหรือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ของเส้นทางนักบวชสีชาด?
ในกรณีที่ลำดับ 0 ยังมีชีวิต ลำดับ 1 ของเส้นทางจะถูกว่างไว้… นี่อาจเป็นความหวังในการเลื่อนลำดับของสมาชิกเบื้องบนนิกายแม่มด… หืม… ไม่แน่ว่าแม่มดบรรพกาลอาจจะสนใจด้วยตัวเอง…
มีน้ำหนักมากพอที่จะโน้มน้าวให้นิกายแม่มดช่วยเหลือ… ดูเหมือนว่าการหาตัว ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่า จะมิใช่ด้วยเหตุผลทั่วไปเหมือนกับที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเล่าให้ฟัง… ไม่สิ เจ้านั่นไม่ได้บอกอะไรเรา แค่ใช้สามัญสำนึกและจิตวิทยาในการชักนำ…
ภาพรวมของเหตุการณ์เริ่มชัดเจนขึ้นในสมองไคลน์ นักบุญขาว คาร์เทอริน่ากลายเป็นเป้าหมายถัดไปและจุดตั้งต้นของแผนการ แต่ก่อนอื่น ชายหนุ่มอยากฟังคำพยากรณ์ของราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต อยากฟังจุดประสงค์ของเธอในเบ็คลันด์
หากได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากมุมมองอื่น บางทีอาจช่วยให้ตนมองเห็นโอกาส!
เช้าวันถัดมา แคทลียาถ่ายทอดคำพูดของแบร์นาแดต
“วันนี้เวลาเที่ยงตรงถึงเที่ยงครึ่ง ภัตตาคารเซอเรนโซ่ โรงละครทองคำ”
นั่นคือชื่อของห้องส่วนตัว
ไคลน์ซึ่งมาถึงตอน 11.55 น. ตบตาพนักงานด้วยภาพลวงตาและเดินมาถึงหน้าห้องเป้าหมายอย่างราบรื่น รอยคอยด้วยความอดทน
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา
ไคลน์เก็บนาฬิกาพกกลับทันที นับในใจอย่างเงียบงันราวสิบครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะประตู ‘โรงละครทองคำ’
ปัจจุบัน หุ่นเชิดโจนาสกำลังนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามภัตตาคาร อ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ขณะที่เอ็นยูนกำลังปะปนอยู่กับกลุ่มนักศึกษา คอยแจกใบปลิวส่งเสริมภาพลักษณ์อันชั่วร้ายของฟุซัค แน่นอนว่าทั้งสามจะสลับตำแหน่งเป็นระยะ ไม่ให้ใครเดาถูกว่าร่างต้นอยู่ตรงไหน
“เชิญ” เสียงแบร์นาแดตดังมาจากในห้อง
ยอดเยี่ยมมาก… ทั้งที่เราตรวจไม่พบว่ามีใครอยู่ข้างใน และไม่มีใครแอบลอบเข้าไป… ถ้าไม่พึ่งพาเนตรด้ายวิญญาณก็ยากที่จะหาเจอสินะ… ไคลน์พึมพำพลางบิดกลอนและผลักเข้าไป
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคือพื้นห้องสีทองอร่าม ขนาดกว้างขวาง ถัดมาจึงเป็นสตรีผมสีเกาลัดที่นั่งในตำแหน่งประธานของโต๊ะอาหาร
………………………………….