ในตรอกเล็กย่านสะพานเบ็คลันด์ ซิลได้พบเจ้าหน้าที่เอ็มไอเก้าคนเดิมผู้รับผิดชอบประสานงานกับตน
“นี่คือรางวัลจากการแลกเปลี่ยนคะแนนผลงานของคุณ รวมทั้งสิ้นสองพันห้าร้อยปอนด์… หึหึ ผมช่วยเรียกเพิ่มให้ห้าร้อยปอนด์” ชายสวมหน้ากากทองคำโยนซองจดหมายพองๆ ให้ซิล
ซิลรับไว้อย่างแม่นยำโดยไม่แกะออกมานับ จากนั้นก็ขอบคุณอย่างจริงใจ
“ขอบคุณ”
ชายสวมหน้ากากทองคำโบกมือ
“ไม่ต้องขอบคุณ ทางเลือกของคุณส่งผลดีกับผมเช่นกัน เพราะถ้าคุณยังดิ้นรนกับอดีตและไม่ยอมปล่อยวาง ผมกังวลว่าตัวเองคงได้ขึ้นศาลทหารในสักวัน… แล้วคุณจะอยู่ที่เบ็คลันด์ต่อไหม?”
“อา… ฉันคุ้นชินกับชีวิตในเมืองใหญ่แล้ว ถ้าสงครามยุติลง ฉันจะพาครอบครัวย้ายมาอยู่ด้วย” ซิลตอบในสิ่งที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
“ถ้าสงครามยุติ…” ชายสวมหน้ากากทองคำทวนคำซิลด้วยน้ำเสียงแปลกไป ก่อนจะยิ้มและพูด “ขอพระองค์อวยพรเราทุกคนให้มีชีวิตรอดไปจนสิ้นสุดสงคราม”
พระองค์ในความหมายของมันคือวายุสลาตัน
“แต่ฉันนับถือเทพธิดา” ซิลตอบขึงขัง
“คุณเข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ” ชายสวมหน้ากากทองคำโบกมือและกล่าวต่อ “คุณยังจะรับงานจาก MI9 ต่อไหม?”
“ฉันไม่ปฏิเสธโอกาสทำเงิน” ซิลสางผมที่หยาบกระด้างพลางตอบกึ่งจริง
“ตกลง” ชายสวมหน้ากากทองคำผงกศีรษะและพูดต่อ “สิ่งสำคัญในสงครามคือการรับมือสายลับของศัตรู หากมีงานที่เกี่ยวข้อง ผมจะแจ้งให้คุณทราบทันที”
“เข้าใจแล้ว” หลังจากมอบคำตอบ ซิลเดินออกจากตรอกมืดอย่างระมัดระวัง
เมื่อแผ่นหลังหญิงสาวเลือนหาย ชายสวมหน้ากากทองคำมองไปยังมุมมืดและกล่าว
“เธอน่าจะถูกใครสักคนหลอกใช้ และถูกทอดทิ้งหลังจากหยุดสืบสวนเรื่องดังกล่าว”
ในเงามืดตรงหัวมุม เสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอด
“ผิวเผินอาจเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงอาจตรงกันข้ามก็ได้… ช่างเถอะ เราไม่ต้องกังวลอีกแล้ว ต่อให้เธอค้นพบความจริงและนำไปป่าวประกาศ นั่นก็ไม่กระทบกับแผนการของฝ่าบาท… หึหึ… ตอนนี้โบสถ์รัตติกาลยอมรับโดยนัยแล้ว”
“เยี่ยมเลย…” ชายสวมหน้ากากทองถอนหายใจเงียบ
เมื่อกลับถึงบ้านพักในย่านรอบนอกเขตตะวันออก ซิลกล่าวกับฟอร์สที่กำลังนั่งบนขอบเตียงพลางอ่านหนังสือพิมพ์
“ฉันได้เงินมาสองพันห้าร้อยปอนด์”
ฟอร์สวางหนังสือพิมพ์ลง ดวงตาขยับเล็กน้อย จดจ่ออยู่กับการคำนวณ
“เพียงพอ…”
ซิลมีเงินเก็บราวหกร้อยปอนด์ บวกกับสองพันห้าร้อยปอนด์ใหม่ เธอจะมีเงินใช้อย่างอิสระถึงสามพันหนึ่งร้อยปอนด์โดยแยกกับค่าครองชีพ
สูตรโอสถ ผู้พิพากษาที่เธอต้องการซื้อมีราคาสองพันปอนด์ ตะกอนพลังอีกสามพันห้าร้อยปอนด์ ยังขาดอีกสองพันสี่ร้อยปอนด์ โดยฟอร์สจะช่วยออกส่วนต่างดังกล่าว
หลังจากให้อีกฝ่ายยืม เงินออมของฟอร์สจะลดเหลือเจ็ดร้อยแปดสิบปอนด์ แต่นั่นไม่ส่งผลกับเธอมากนัก สูตรโอสถและวัตถุดิบสำหรับเลื่อนลำดับถัดไปถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่มีคิวต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในอนาคต แถมยังหาเงินได้เรื่อยๆ จากการให้เช่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’
“ตกลง” ซิลพยักหน้า “ฉันจะรีบสะสางให้เสร็จและเลื่อนเป็นลำดับ 6 โดยเร็ว”
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทวางแผนอนาคตเสร็จ ฟอร์สหันกลับมากังวลเกี่ยวกับอนาคตตัวเอง
“โอสถนักบันทึกของฉันยังย่อยไม่เสร็จ… ในระหว่างที่สงครามกำลังปะทุ คงปลอดภัยกว่าถ้าฉันมีพลังท่องเที่ยว”
“กุญแจสำคัญของนักบันทึกคือการบันทึกพลังพิเศษ ถ้าฉันกลายเป็นผู้พิพากษาเมื่อไร เธอก็จะมีพลังใหม่ให้บันทึกเพิ่มขึ้น มีลำดับสูงขึ้น และนั่นคงช่วยให้โอสถย่อยเร็วขึ้น” ซิลดึงเก้าอี้ออกมานั่ง กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ฟอร์สถอนหายใจ
“ฉันกำลังสงสัยว่า นอกจากการบันทึกพลังพิเศษ ฉันยังต้องบันทึก ‘ทิวทัศน์และขนบธรรมเนียมของหลากหลายสถานที่’ เพื่อให้สอดคล้องกับโอสถนักท่องเที่ยวในลำดับถัดไป แต่ปัจจุบันเป็นภาวะสงคราม การเดินทางภายในอาณาจักรอาจทำได้ แต่นอกอาณาจักรค่อนข้างอันตราย… เฮ้อ… ราคาขนมปังเพิ่มขึ้นศูนย์จุดสองห้าเพนนีต่อน้ำหนักหนึ่งปอนด์ แพงกว่าในช่วงก่อนที่พระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์จะถูกคว่ำเสียอีก!”
“นั่นสินะ” ซิลไตร่ตรองสักพักและเห็นด้วยกับฟอร์ส
ทั้งสองต่างพากันเงียบ จนกระทั่งผ่านไปสิบวินาที ซิลผุดแนวคิดใหม่
“อันที่จริง… มีวิธีง่ายๆ อยู่”
“วิธีไหน?” ฟอร์สเหยียดหลังตรง โพล่งคำถาม
“เธอสามารถจ่ายเงินเพื่อจ้างให้ชายคนนั้นพาไปเที่ยว” ซิลระมัดระวังการเอ่ยเชื่อ “ที่ต้องทำมีเพียง บอกให้เขาพาเธอไปทิ้งไว้สักแห่งเป็นเวลาสามถึงสี่วัน หรือหนึ่งสัปดาห์ ด้วยวิธีดังกล่าว ใช้เวลาไม่นานเธอก็จะได้บันทึกขนมธรรมเนียมและทิวทัศน์ของหลากหลายท้องถิ่น นอกจากนั้น เธอยังสามารถเช่าสมบัติวิเศษจากเขาเพื่อบันทึกพลังพิเศษ… นี่ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ยังช่วยให้ย่อยโอสถได้เร็วขึ้น”
“จริงด้วย!” ดวงตาฟอร์สส่องประกาย
ในวินาทีนี้ ฟอร์สเพิ่งตระหนักว่าตนใช้ประโยชน์จากชุมนุมทาโรต์ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
หลังจากตื่นเต้น ฟอร์สขมวดคิ้วชนกัน เพราะหากใช้วิธีข้างต้น แปลว่าเธอต้องพบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์บ่อยครั้ง ยิ่งจินตนาการถึงนักผจญภัยเสียสติมากเท่าไร ฟอร์สก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน
เฮ้อ… ไม่มีความก้าวหน้าใดได้มาโดยไม่ต้องเสียสละ… เพื่อจะย่อยโอสถ เราไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเสี่ยง… ฟอร์สตัดสินใจหนักแน่นและวางแผนเตรียม ‘จ้างงาน’ ในชุมนุมทาโรต์สัปดาห์หน้า
…
ภายในบ้านพักซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของซิลและฟอร์สหลายเส้นถนน
ไคลน์ที่เพิ่งกลับจากภัตตาคารเซอเรนโซ่ กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พลิกอ่านหนังสือพิมพ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับสรุปข้อมูลที่สำคัญ
กองทัพเรือโซเนียของจักรพรรดิฟุซัคถอยร่นออกจากท่าเรือพริสต์ ปัจจุบันยังไม่ทราบตำแหน่งแน่ชัด…
พลเรือเอกอมิรุสแห่งกระทรวงกลาโหมประกาศว่า จะเร่งเสริมแนวป้องกันทางชายฝั่ง รวมถึงสั่งให้กองเรือรบหุ้มเกราะทั้งสามไม่ต้องรีบร้อนกลับมายังน่านน้ำโลเอ็น แต่เลือกอ้อมไปตามเส้นทางปลอดภัยเพื่อป้องกันมิให้ถูกซุ่มโจมตี…
กองรบ ‘ยักษ์สองหัว’ ของฟุซัคบุกโจมตีเทือกเขาอมานด้าในแคว้นเหมันต์ แต่ก็ต้องเผชิญกับการตั้งรับที่แข็งแกร่ง จนยุทธการตีฝ่าป้อมปราการมีอันต้องล้มเหลว…
กองเรือพิฆาตของฟุซัคเปิดฉากโจมตีเขตอุตสาหกรรมหนักทางชายฝั่งตะวันออก หนึ่งในนั้นคือเมืองคอนสแตนแห่งแคว้นเลียบทะเล ส่งผลให้ปะทะกับกองทัพเรือเลียบทะเลของอาณาจักรโลเอ็นอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างสูญเสียใหญ่หลวง…
กองกำลังอาณานิคมของฟุซัคและโลเอ็นเริ่มปะทะกันบนไบลัมตะวันออกในหลายดินแดน…
อาณาจักรอื่นยังมิได้ประกาศจุดยืนที่แน่ชัด สถานทูตโลเอ็นภายในเมืองหลวงแต่ละแห่งเริ่มจัดประชุมด่วนเพื่อเปิดฉากเจรจาทางการทูต… คลื่นวิทยุคอยนำเสนอข่าวสำคัญที่เกิดขึ้นบนทวีปเหนือและใต้อย่างต่อเนื่อง…
สงครามเพิ่งเข้าสู่ช่วงเริ่มต้น… ไคลน์ไม่ได้มองโลกในแง่ดีมากนัก และไม่เชื่อว่านักการทูตจะเจรจายุติสงครามสำเร็จ จึงวางหนังสือพิมพ์ลงพร้อมกับมองหาวิธีรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพิธีกรรมเลื่อนลำดับของจอร์จที่สาม
ตามหลักการทั่วไป ก่อนที่จักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์จะกลายเป็นบ้า ทุกการกระทำเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สุสานลับทั้งเก้าแห่งไม่มีทางถูกสร้างในสถานที่ใกล้เคียงกัน เพราะนั่นจะทำให้ถูกกวาดล้างได้ง่ายจนหมดโอกาสคืนชีพ
หมายความว่า ในภูมิภาคอื่นของเบ็คลันด์และอาณาจักรข้างเคียง จะต้องมีสุสานที่คล้ายคลึงกันอีกจำนวนแปดแห่ง บางแห่งยังคงเป็นความลับและน่าจะมีระดับความปลอดภัยต่ำกว่าโบราณสถานหมายเลขหนึ่ง ที่นั่นคือโอกาสของเรา…
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดอาจมีข้อมูล แต่เรายังไม่ควรติดต่อไปตอนนี้… ต่อให้ไม่กลัวการเอ่ยพระนามเต็มของเทวทูตสีชาด แต่อีกฝ่ายจะเดาได้ทันทีว่าเรามีเจตนาขัดขวางมิให้จอร์จที่สามเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด… สำหรับนักวางแผนจอมเจ้าเล่ห์ ข้อมูลดังกล่าวละเอียดอ่อนและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายวิธี…
ราชินีเงื่อนงำอาจมีช่องทางหรือเบาะแส แต่เราจะพึ่งพาเธอทุกเรื่องไม่ได้… สำหรับศาสนจักร พวกเขาคงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตมากนัก ไม่ว่าจะความลับที่เกี่ยวข้องหรือตำแหน่งของโบราณสถานแห่งอื่น…
เราควรลงมือกับบุคคลสำคัญรอบตัวกษัตริย์ เช่นบรรดาครึ่งเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับ? คงยาก… อีกฝ่ายยกระดับความปลอดภัยขึ้นหลายเท่า อาจถึงขั้นใช้เทวทูตของตระกูลออกัสตัสและองค์กรลับโบราณคอยสอดส่อง กลุ่มหนึ่งจับตามองจากที่มืด อีกกลุ่มทำในที่สว่าง… และถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับครึ่งเทพใกล้ตัว จอร์จที่สามจะทราบทันทีว่ามีใครบางคนพยายามขัดขวางแผนการเถลิงบัลลังก์…
อา… ใช่แล้ว ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่ารับมือได้ง่ายกว่าครึ่งเทพข้างต้น แถมยังดึงดูดความสนใจน้อยกว่า…
ในทางสามัญสำนึก จอร์จที่สามซึ่ง ‘ได้รับอนุญาต’ จากโบสถ์หลักหลายแห่ง ไม่จำเป็นและไม่มีเหตุผลให้ต้องร่วมมือกับนิกายแม่มดอีก… เว้นเสียแต่จะมีเหตุผลสำคัญอย่างมาก ไม่อย่างนั้น สิ่งแรกที่ ‘ท่าน’ ต้องทำคือการเขี่ยนิกายแม่มดทิ้ง…
แต่แน่นอน ท่านคงไม่กล้าแตกหักกับนิกายแม่มดโดยตรง… เพราะในแง่หนึ่ง บรรดาแม่มดเก่งด้านการวางแผนและไม่พลาดที่จะป้องกันการถูกหักหลัง และในอีกแง่หนึ่ง หากทำให้นิกายแม่มดขุ่นเคืองใจ พิธีกรรมเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืดของจอร์จที่สามก็อาจไม่ปลอดภัยนัก เพราะองค์กรดังกล่าวมีทั้งเทพแท้จริง สมบัติปิดผนึกระดับ 0 และกองทัพเทวทูต…
ขอเพียงจอร์จที่สามยังไม่เสียสติ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ตกรางวัลให้นิกายแม่มดอย่างเหมาะสมและเลิกแล้วต่อกัน จึงค่อยส่งเทวทูตในขอบเขตจิตใจ หรือไม่ก็ราชาเทวทูต ตามไปลบความทรงจำของนิกายแม่มด…
และถ้าสถานการณ์เป็นไปตามข้างต้น การหายตัวไปของ ‘นักบุญขาว’ คาร์เทอริน่าก็จะไม่กระตุ้นให้จอร์จที่สามหวาดระแวงเกินไปนัก หรืออาจไม่แยแสเลยด้วยซ้ำ…
จากมุมมองของนิกายแม่มด บทสรุปของเรื่องราวคงใกล้ดำเนินมาถึง เพราะโบสถ์หลักล้วนอนุญาตโดยนัยเกือบทั้งหมดแล้ว นักบุญขาวไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนเหมือนแต่ก่อน สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระมากขึ้น และนี่คือโอกาสของเรากับราชินีเงื่อนงำ…
อา… ใกล้ถึงเวลาที่พลเรือโทโรคภัยจะเผยตำแหน่งอีกครั้ง… หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเทรซี่และท่าทีของนักบุญขาว เทรซี่กับคาร์เทอริน่าอาจมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดในบางแง่มุม…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ถอนหายใจยาว ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างพลางพึมพำ
ได้แต่หวังว่าเดนิสกับแอนเดอร์สันจะพบตัวพลเรือโทโรคภัยโดยเร็ว…
และหวังว่า ‘เมืองแห่งปาฏิหาริย์เลฟซิดในการเดินทางของกรอซาย’ จะมีอำนาจในการทำลาย ‘อิทธิพล’ ขอบเขตพลังจิต…
สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่มันทำได้คือการรอคอยอย่างอดทน
…
ทะเลคลั่ง บนเกาะไซรอส
เดนิสกล่าวกับแอนเดอร์สันด้วยอาการตื่นเต้น
“ฉันเพิ่งได้ข่าวใหม่… ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้จากเส้นทางเดินเรือหลัก บริเวณดังกล่าวมีเกาะที่ปราศจากทรัพยากรอันมีค่า แต่ลึกลับซับซ้อนเหมาะแก่การซ่อนตัว”
………………………………….