Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1097 : กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนสนใจตำนานภูตผี แอนนี่ชำเลืองสาวใช้คนอื่นที่กำลังเตรียมน้ำอุ่น หวี และสิ่งของอื่นๆ ก่อนจะพูดต่อ

“แพทย์และพยาบาลต้องการเชิญบิชอปจากวิหารมาทำพิธีมิสซา แต่ผู้ป่วยที่เหลือคัดค้านอย่างหนักเพราะต้องการจะพบภูตผีตนดังกล่าว พวกเขาเรียกมันว่า ‘เทวทูตตัวตลก’ โดยอธิบายว่า หน้าตาอาจน่ากลัวเหมือนกับตัวตลก แต่ความจริงแล้วคือเทวทูตที่ช่วยให้พ้นจากความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน”

“เป็นชื่อที่น่าสนใจ…” ออเดรย์ถอนหายใจพลางยิ้ม

หากเป็นเมื่อก่อน ออเดรย์คงตื่นเต้นมากและพยายามไปโรงพยาบาลด้วย ‘ท่องฝัน’ เพื่อค้นหาความลับของเทวทูตตัวตลก แต่ภาวะสงครามทำให้เธอหดหู่ ไม่มีอารมณ์ที่จะตรวจสอบ เพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้สนใจ

อันที่จริง หากไม่ใช่เพราะออเดรย์ได้เห็นการโจมตีทางอากาศและผู้บาดเจ็บด้วยตาตัวเอง เธอคงจะยังรู้สึกว่าเบ็คลันด์เป็นเมืองที่น่าอยู่และสงบสุขในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

นั่นเพราะหลังจากการโจมตีทางอากาศหนแรก กองเรือเหาะของอาณาจักรโลเอ็นได้เข้าสู่สงครามเต็มตัว แถมเมืองชายฝั่งยังยกระดับการป้องกันทางอากาศ ส่งผลให้เบ็คลันด์ไม่ถูกโจมตีอีกเลย ในปัจจุบัน การปะทะระหว่างฟุซัคโลเอ็นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามจุดเป็นหลัก หนึ่ง แนวเทือกเขาอมานด้าในแคว้นเหมันต์ สอง เขตอุตสาหกรรมหนักของแคว้นเลียบทะเล และสาม ตามแนวท่าเรือชายฝั่งทะเลโซเนีย สถานการณ์ภาพรวมอยู่ในภาวะ ‘แน่นิ่ง’ ไม่มีใครได้เปรียบเหนือใคร ถึงจะมีผู้บาดเจ็บล้มตาย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกรุงเบ็คลันด์มากนัก มีเพียงราคาสินค้าบางชนิดที่ปรับสูงขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรียกได้ว่ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

แต่ออเดรย์ไม่คิดว่าสถานการณ์สงบสุขอย่างที่ตาเห็น บิดากับพี่ชายของเธอยุ่งมาก กลับบ้านดึกบ่อยครั้ง บางวันก็เชิญขุนนาง สมาชิกสภาและคณะนักบวชมาประชุมส่วนตัวที่บ้าน และด้วยความช่วยเหลือจากโบสถ์รัตติกาลกับองค์กรการกุศล ออเดรย์ได้ทราบจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหนักจากศึกแนวหน้าในเขตเทือกเขาอมานด้าและท่าเรือพริสต์ อีกทั้งยังได้เห็นภาพถ่ายของฉากสงคราม ส่งผลให้เธอพยายามระดมทุน พยายามประสานงานกับบริษัทยารายใหญ่และโรงพยาบาล โดยหวังจะช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด

ใครจะไปคิดว่า ไม่เพียงนักผจญภัยเสียสติชื่อดังคนนั้นจะอนุญาตให้นำอาหารส่วนเกินของคฤหาสน์มาบริจาคได้ แต่ยังบริจาคเงินสดส่วนตัวอีกเจ็ดพันปอนด์… ออเดรย์ถอนหายใจแผ่วพลางปล่อยให้สาวใช้ช่วยแต่งตัว

ย่านทิศใต้ของสะพาน ถนนกุหลาบ

เอ็มลิน·ไวท์บริจาคธนบัตรสิบปอนด์ให้องค์กรระดมทุนเพื่อการกุศล จากนั้นก็กดหมวกทรงสูง เดินขึ้นบันได และเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว

ปัจจุบันไม่มีสาวกเข้ามาในวิหาร แต่หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ ลูกครึ่งคนยักษ์ ยังคงนั่งอยู่แถวหน้าสุดพร้อมกับสวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึม

เอ็มลินไม่รีบร้อนเปลี่ยนชุดนักบวช เพียงนั่งลงข้างนักบวชยักษ์และทำท่าคล้ายกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่หลังจากขยับปาก มันเปลี่ยนใจและทำเพียงพ่นลมหายใจ

“คงเป็นเพราะคุณมีรูปลักษณ์เหมือนกับชาวฟุซัค สาวกจึงไม่กล้าเข้ามา” เอ็มลินจ้องแท่นบูชาและกล่าวโดยไม่หันไปมอง

บิชอปยูทรอฟสกี้วางมือลง ลืมตาขึ้น

“ผมเข้าใจพวกเขา”

“ความเข้าใจจะไปมีประโยชน์อะไร? ถ้าสงครามทวีความรุนแรงและมีทหารเสียชีวิตมากขึ้น บางที สาวกเหล่านั้นอาจบุกเข้ามาในวิหารเพื่อวางเพลิงและแขวนคอคุณ” เอ็มลินยังคงจ้องตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต

หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ส่ายหน้าเล็กน้อย

“พวกเขาไม่ทำแน่ ทุกคนศรัทธาในพระแม่อย่างจริงใจ พวกเขาไม่มีทางเผาวิหาร อย่างมากที่สุดก็แค่ขับไล่ผม บางที อาจมีคนยอมเข้าใจถ้าผมอธิบายว่าตัวเองสละสัญชาติฟุซัคไปแล้ว”

เอ็มลินส่ายหน้าและกล่าวโดยไม่ขยับดวงตา

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเฟเนพ็อตเข้าร่วมสงครามและเปิดฉากโจมตีอ่าวเดซีย์? คุณจะทำยังไงถ้าโบสถ์พระแม่ธรณีเรียกร้องให้นักบวชทุกคนเป็นศัตรูกับโลเอ็น? …คุณจะฟังคำสั่งของศาสนจักรและทรยศสาวกที่นี่ หรือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเทศนาเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิตและการเก็บเกี่ยวเหมือนเดิม? หรือว่าคุณจะเปลี่ยนให้เหล่าสาวกเป็นศัตรูกับเพื่อนร่วมชาติ เป็นศัตรูกับแผ่นดินแม่ และใช้การหลั่งเลือดเป็นข้อพิสูจน์ในศรัทธาต่อพระแม่?”

บิชอปยูทรอฟสกี้จ้องไปยังตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน

เอ็มลินเองก็ไม่ถามต่อ สงบนิ่งสำรวมเหมือนกับนักบวช

วิหารฤดูเก็บเกี่ยวเงียบสนิทโดยสิ้นเชิง

บนเกาะอาณานิคม อัลเจอร์·วิลสันซึ่งไม่มีโอกาสกลับไปที่เกาะปาซู รวมถึงไม่ได้ออกจากโทสะสีครามเนื่องจากยึดถือความปลอดภัยเป็นหลัก ทำเพียงส่งลูกเรือขึ้นฝั่งไปสืบหาข้อมูล

“กัปตัน ยังไม่มีข่าวระดมพลพวกเรา” ลูกเรือที่มีกลิ่นเหล้าหึ่ง รายงานผลการสืบสวนตลอดทั้งวันให้อัลเจอร์

อัลเจอร์โบกมือส่งสัญญาณบอกให้ลูกเรือออกไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางพึมพำ

ดูเหมือนว่าทางศาสนจักรจะไม่สนใจสงครามสักเท่าไร…

เท่าที่อัลเจอร์ทราบ สงครามในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะลุกลามเป็นวงกว้าง ในฐานะเจ้าบ้านซึ่งถูกรุกราน โบสถ์วายุสลาตันควรระดมพลอย่างเร่งด่วนเพื่อตอบโต้ศัตรู ไม่เว้นแม้แต่การเรียกรวม ‘กัปตัน’ ที่กระจายตัวอยู่ตามท้องทะเลเพื่อแจกจ่ายภารกิจ แต่ปัจจุบัน เกาะปาซูกลับยังไม่มีคำสั่งใดออกมา

นี่ไม่ได้หมายความว่าโบสถ์วายุสลาตันทำตัวหย่อนยาน กองทัพของศาสนจักรที่กระจายตัวบนแผ่นดินโลเอ็นกำลังทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ส่วนหนึ่งเป็นกำลังสำคัญในการวางระบบป้องกันภัยทางอากาศตามหัวเมืองใหญ่และชายฝั่ง นอกจากนั้น ครึ่งเทพจำนวนมากของศาสนจักรยังถูกส่งออกไปรบในแนวหน้าเพื่อต้านทานการรุกรานของฟุซัค เพียงแต่อัลเจอร์รู้สึกว่าเบื้องบนยังไม่ได้ ‘เอาจริง’ มากนัก

เป็นเพราะนี่ยังแค่ช่วงเริ่มต้นสงคราม ศาสนจักรต้องการถนอมกำลังพลไว้ในช่วงเวลาวิกฤติ? อัลเจอร์สลัดความคาใจและตัดสินใจรอข้อมูลเพิ่ม

ตกเย็น ลูกเรืออีกกลุ่มกลับมารายงานข่าว แต่ไม่ใช่ข่าวเกี่ยวกับสงคราม

“กัปตัน ดูเหมือนว่าบนเกาะแห่งนี้จะมีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ โจรสลัดหลายคนบอกว่า หลังจากที่ดื่มหนักและออกไปฉี่ พวกเขาต่างพบเจอเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว… บางคนถูกแท่งไม้กระแทกอย่างแรง บางคนได้เห็นกับตาว่ามีผลไม้งอกออกจากร่างกาย ด้านในเป็นเลือดเนื้อ บางคนเห็นภูตผีร่างกายผอมบางที่มีใบหน้าเป็นรวงข้าวสาลี” ลูกเรือที่ค่อนข้างมีสติ บรรยายข่าวลือที่ได้ยินมา

ตำนานภูตผี… อัลเจอร์ที่ไม่มีเจตนาจะสืบหาความจริง เพียงพยักหน้าและเตือนเสียงขรึม

“คืนนี้ไม่ต้องออกไปไหน”

หลังจากที่ตำนานภูตผีเริ่มแพร่กระจายไปตามกรุงเบ็คลันด์และท่าเรือพริสต์ ไคลน์ไม่แวะไปที่โรงพยาบาลอีกเลย ด้วยเกรงว่าอาจต้องเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดของซาราธ

อาศัยพลังจากยุบพองหิวโหยและพลังท่องเที่ยว ชายหนุ่มขยายขอบเขตการสร้างตำนานสยองขวัญออกไปในทะเลโซเนีย บ้างก็ในทะเลหมอก บ้างลุนเบิร์ก บ้างเฟเนพ็อต รวมถึงไบลัมตะวันออกและตะวันตก ตามหุบเขา แม่น้ำ ที่ราบสูง โดยจะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว บางแห่งแวะซ้ำสองสามหน บางแห่งก็ไม่เคยไปเหยียบแม้แต่หนเดียว

ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว ไคลน์เกิดความรู้สึกสุดประหลาดที่ยากอธิบาย คล้ายกับมีหนวดรยางค์ล่องหนเหยียดยาวออกจากความมืด พยายามควานหาตำแหน่งของตน หรือพยายามคาดเดาพฤติกรรมของตนล่วงหน้า บรรยากาศเป็นไปอย่างเงียบเชียบและเย็นเยียบ หากสัมผัสกับหนวดเหล่านั้นเข้า ไม่มีใครจินตนาการจุดจบออก

ไคลน์ทราบดี นี่คงเป็นผลมาจาก ‘การค้นหา’ ของซาราธ ทางออกที่ดีที่สุดคือ หยุดพฤติกรรมทั้งหมดชั่วคราวและรอคอยอย่างอดทน แต่ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนควรย่อยโอสถให้เสร็จโดยเร็ว จึงอาศัยพลังของมิติหมอกในการอำนวยความสะดวก หลังจากสุ่มเลือกปลายทาง มันจะทำนายยืนยันอันตรายและใช้เทวทูตกระดาษเพื่อแทรกแซง

ปัจจุบัน หลังจากโอสถย่อยไปได้มาก ไคลน์เทเลพอร์ตไปยังเมืองคูคัวทางภาคเหนือของไบลัมตะวันตก

ที่เมืองนี้ มันเคยฆ่าอินซ์·แซงวิลล์เพื่อล้างแค้นให้ตัวเองและกัปตัน

ทันทีที่ร่างกายโผล่ขึ้นบนจัตุรัสขนนกขาว ชายหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปรกติ

คฤหาสน์ของนายพลเมซันเญสตรงหน้าเงียบเชียบเกินไป เงียบจนชวนให้หนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง

เมซันเญสคือนายพลท้องถิ่นที่เคยซื้ออาวุธจากดอน·ดันเตส เป็นผู้วิเศษเส้นทางมรณา เบื้องหลังมีโบสถ์ปัญญาความรู้คอยสนับสนุน

เกิดอะไรขึ้น? ไคลน์ขมวดคิ้วพร้อมกับลังเลว่า ตนควรเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์หรือไม่ เพราะเมซันเญสคือ ‘คู่ค้า’ ที่ดีของตน

ยิ่งไปกว่านั้น หากได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่พอจะมีฝีมือสักนิด นั่นจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับสวมบทบาทและย่อยโอสถ หลังจากไคลน์สำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วน มันประเมินว่าหากได้สร้างตำนานสยองขวัญกับครึ่งเทพอีกสักสองสามเรื่อง โอสถจอมเวทพิสดารก็จะถูกย่อยอย่างสมบูรณ์

แต่แน่นอน พื้นฐานคือความปลอดภัย เราไม่ควรประมาท… ไคลน์หยิบเหรียญทองออกมาดีดพร้อมกับเปลี่ยนหุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์ให้เป็นดอน·ดันเตส

ผลการทำนายระบุว่าไม่มีอันตราย

แปลกมาก… ไคลน์ไม่ลดความระแวงลง รีบเปลี่ยนร่างกายให้เลือนรางจนกระทั่งกลายเป็นเงาดำ ซ่อนตัวในเงามืดยามค่ำคืน ขณะเดียวกันก็บังคับหุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์ในร่างดอน·ดันเตสให้เดินเข้าไปในคฤหาสน์เมซันเญส

นี่คือพลัง ‘ซ่อนในเงา’ จากยุบพองหิวโหย

สำหรับหุ่นเชิดอีกตัวหนึ่งอย่างเอ็นยูน ไคลน์นำไปไว้ในจุดที่ห่างจากตนเกือบหนึ่งกิโลเมตร นอกจากนั้นยังมี ‘หนู’ ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเอ็นยูนไปอีกเกือบหนึ่งกิโลเมตร แต่มิอาจขยับเขยื้อนร่างกาย

เพียงไม่นาน ดอน·ดันเตสมาถึงประตูทางเข้าอาคารหลักพร้อมกับเปิดเนตรด้ายวิญญาณ

กลุ่มด้ายมายาที่มันเห็น กำลัง ‘งอกเงย’ ในลักษณะพัวพันและยุ่งเหยิง มองผิวเผินอาจดูเหมือนมาจากหลากหลายสิ่งมีชีวิต แต่ทั้งหมดกลับมีออร่าคล้ายคลึงกัน

ที่นี่ไม่มีด้ายวิญญาณปรกติแม้แต่เส้นเดียว

ดอน·ดันเตสเงียบไปสักพัก ก่อนจะยื่นมือขวาออก ผลักประตูหน้าที่เปิดอยู่

ฉากด้านในแตกต่างจากความทรงจำของไคลน์ ไม่ว่าจะเป็นเสาหินที่หุ้มทองคำเปลว รูปปั้นทองที่เคยวางติดผนัง และบันไดหรูหรา ทั้งหมดถูกขยำและนำมาวางบนพื้นจนดูเหมือนตัวเม่นที่มีหนามแหลมสีทอง นอกจากนั้นยังมีเสาหินแหลมและเศษกระจกที่แตกกระจัดกระจาย

นอกจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีชั้นหนังสือมายาตั้งอยู่ใจกลางห้องโถง ตามจุดต่างๆ บนชั้นหนังสือมี ‘แอ่งน้ำ’ สีดำซ่อนอยู่ประปราย บางครั้งจะขยายใหญ่และเปิดออกเหมือนกับดวงตา

เมื่อประตูหน้าของอาคารถูกผลัก แอ่งน้ำสีดำซึ่งดูเหมือนกับเงา ประหนึ่งมีชีวิตชีวาขึ้นมา ทั้งหมดส่งเสียงแบบเดียวกัน

“เป็นคุณนี่เอง! คำทำนายของผมถูกต้อง คุณคือคนที่จะช่วยแก้ปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้ผม!”

………………………………….

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset