ในฐานะนักล่าผู้เป็นเจ้าของผ้าคลุมเงาเดนิสมักซ่อนตัวและสะกดรอยได้ดี ต้องไม่ลืมว่าเมื่อก่อนเคยช่วยเกอร์มัน·สแปร์โรว์จัดการกับเหล็กกล้าแม็ควิตี้ แต่ปัจจุบัน เนื่องจากเป้าหมายแทบไม่มีความเคลื่นไหว มันจึงรู้สึกเบื่อหน่ายและหวังให้แอนเดอร์สันมาเปลี่ยนกะโดยเร็ว
ชีวิตแบบนี้จะจบลงตอนไหน? ได้โปรด พลเรือโทโรคภัยช่วยปรากฏตัวออกมาสักที… ไม่สิ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรอให้แอนเดอร์สันกลับมาก่อน… ขณะเดนิสรำพัน มันรีบยุติคำภาวนา
มันกังวลว่านายพลโจรสลัดอย่างเทรซี่จะสังเกตเห็นการซ่อนตัวในเงามืดของตน เพราะไม่มีความกล้าและฝีมือมากพอที่จะปะทะกับอีกฝ่าย
แต่แน่นอน หากมันสวมถุงมือ ปัญหาด้านความกล้าก็จะหมดไป
ตราบใดที่ตัดสินใจได้หุนหันพลันแล่นมากพอ ความกลัวและขี้ขลาดก็จะตามไม่ทัน!
“นายดูเครียดๆ นะ” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเดนิส
เดนิสผงะพร้อมกับกระโดดออกจากเงามืด เปลวไฟสีส้มก่อตัวบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน มันรีบมองไปทางต้นเสียงและพบแอนเดอร์สันกำลังซ่อนตัวในพุ่มไม้ด้านข้าง บนศีรษะมีกิ่งไม้และใบสีเขียวประดับ เรียกได้ว่ากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม
“…แม่เย็*!” เดนิสเองไม่ก็ทราบว่ามันสบถใส่แอนเดอร์สันหรือตัวเอง จากนั้นก็ระบาย “นายมาตั้งแต่ตอนไหน?”
“สองนาทีที่แล้ว” แอนเดอร์สันตอบพลางยิ้ม “ซ่อนตัวได้ไม่เลว ตอนแรกฉันหานายไม่พบ เลยตัดสินใจมาหาในจุดที่คิดว่านายน่าจะอยู่และถามหยั่งเชิงดู”
เดนิสไม่รู้ว่าตนควรภูมิใจหรือสาปแช่งอีกฝ่ายดี มันถามกลับไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
“หมายความว่าถ้าฉันรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ นายจะมองไม่เห็น?”
“ทางทฤษฎีก็ใช่” แอนเดอร์สันยิ้มหน้านิ่ง “แต่ในฐานะนักล่ามากประสบการณ์ ฉันมีวิธีมากมายในการค้นหา”
ขณะเดนิสเตรียมถามว่ามีวิธีใดบ้าง ทันใดนั้นมันเห็นบัสต์ในห้องดับเทียนไขและเตรียมเข้านอน
ผ่านไปหลายสิบวินาที ท่ามกลางความมืด ร่างอันเลือนรางของพ่อค้าข่าว บัสต์ โผล่ตรงหน้าต่างพร้อมกับกระโจนออกมาด้วยเสียงเงียบ เท้าสัมผัสกับพื้นด้านนอกในจุดที่แสงส่องไม่ถึง
บริเวณดังกล่าวคือจุดที่เดนิสกำลังซ่อนตัว และมันเกือบถูกเป้าหมายเหยียบหน้าในสภาพกลมกลืนกับเงามืด
บัสต์เดินตามแนวเงามืดไปจนถึงทะเล
“…แม่เย็*!” เดนิสโผล่ออกมาอีกครั้งในมุมอับสายตาด้านหลังบัสต์ ตามด้วยการยกนิ้วกลาง
แอนเดอร์สันเองก็ออกจากพุ่มไม้เล็กด้านข้าง ดึงกิ่งไม้และใบไม้บนหัวพร้อมกับยิ้มให้เดนิส
“ดูเหมือนว่าคืนนี้จะได้ผลลัพธ์”
เดนิสชำเลืองนักล่าอันดับหนึ่งแห่งทะเลหมอกพลางพยักหน้า
“หวังว่าจะเป็นพลเรือโทโรคภัย”
มันจับไหล่แอนเดอร์สันและพาเดินสะกดรอยพ่อค้าข่าวตามแนวเงาดำ รักษาระยะห่างที่เหมาะสม
“ก็ไม่โง่นี่…” แอนเดอร์สันยิ้มหลังจากจับตามองสักพัก
เดนิส ‘หึหึ’ ในลำคอโดยไม่เปล่งเสียง
หากไม่ได้สวมถุงมือ มันทราบดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวถากถางกันเอง!
สิบห้านาทีถัดมา บัสต์เดินมาถึงทะเลและหยุดยืนบนชายหาด จ้องมองไปยังมหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง
โดยไม่ต้องรอนาน เค้าโครงขนาดใหญ่ถูกวาดขึ้นจากส่วนลึกของทะเล จนกระทั่งภาพเรือใบสีดำธงขาวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
บนธงเรือเป็นภาพของกะโหลกศีรษะที่เบ้าตาสองข้างลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีฟ้าอ่อน
กาฬมรณะ!
เรือธงของพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ กาฬมรณะ!
เดนิสตื่นเต้นทันที หากไม่ใช่เพราะกำลังผสานกับเงา รูม่านตาของมันคงเบิกกว้างเพื่อรับแสงให้ได้มากขึ้น จะได้เก็บรายละเอียดของเรือโจรสลัดตรงหน้าอย่างชัดเจน
มันแอบย่อยเข้าไปใกล้ตามความเคยชิน ด้วยต้องการยืนยันว่าบนเรือมีพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ โดยสารมาด้วย
เรือใบลำใหญ่แล่นเข้ามาใกล้ทุกขณะ สองนักล่าในเงามืดเริ่มเห็นลูกเรือที่กำลังวิ่งวุ่นบนดาดฟ้า
แถวนี้มีท่าเรือให้จอด? หรือจะให้บัสต์จะส่งเรือเล็กมารับบัสต์ขึ้นไป? ขณะเดนิสครุ่นคิด มันได้ยินเสียงทุ้มของแอนเดอร์สัน
“รีบไปจากที่นี่”
เห…? เดนิสมีคุณสมบัติที่ดีอยู่หนึ่งข้อ นั่นคือการเชื่อฟังคำสั่งของผู้มีอำนาจอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะต่อหน้าเอ็ดวิน่าเอ็ดเวิร์ดหรือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันไม่เคยเสียเวลาโต้แย้งคำสั่ง ไม่ว่าจะเต็มไปด้วยคำถามมากเพียงใดก็ตาม ตอนนี้ก็เช่นกัน มันสลัดความเห็นส่วนตัวและรีบเผ่นออกจากชายหาดอย่างเงียบเชียบ
เมื่อมองไม่เห็นกาฬมรณะ และได้ยินเพียงเสียงคลื่นทะเลเบาบาง เดนิสออกจากเงามืด โผล่ตัวในป่าพร้อมกับตั้งคำถาม
“เรายังไม่ทันได้เห็นว่าพลเรือเอกโรคภัยอยู่บนเรือไหม”
แอนเดอร์สันจ้องเดนิสหัวจรดเท้าพลางหัวเราะ
“อย่าได้ดูแคลนผู้วิเศษคนดังในทะเลที่รอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน นายพลโจรสลัดทุกคนคือเป้าหมายที่ต้องรับมือด้วยความรอบคอบเป็นพิเศษ”
เดนิสโต้แย้งโดยไม่รู้ตัว
“พลเรือเอกโลหิต เซนอล พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์…”
ชื่อเหล่านี้คือพลเรือเอกที่ถูกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ‘เก็บ’ อย่างง่ายดาย
“…” แอนเดอร์สันมิอาจหาคำมาโต้แย้งได้เป็นเวลานาน จนกระทั่งฉุกคิดบางสิ่งและกล่าว “ดังนั้น เมื่ออีกฝ่ายคือพลเรือโทโรคภัยที่เคยถูกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ลอบสังหารแต่รอดมาได้ ก็ยิ่งต้องรอบคอบเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ?”
เดนิสครุ่นคิดสักพักและพบว่าคำพูดแอนเดอร์สันค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่ขณะกำลังจะกล่าวบางสิ่ง มันคันคอและไอออกมา
หลังจากไออยู่นาน คอของมันเริ่มบวมและเจ็บ แถมยังมีกลิ่นสนิม
“เห็นไหม… บอกแล้วให้ระวัง” แอนเดอร์สันกำหมัดป้องปากไอเล็กน้อย แต่ไม่รุนแรงเท่าเดนิส “เทรซี่คงซ่อนตัวอยู่ภายในเรือและคอยแพร่กระจายโรค เมื่อมีใครเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายจะติดเชื้อและถูกบังคับให้เผยตัว อา… พิจารณาจากรัศมีของพลัง เธอน่าจะย่อยโอสถลำดับห้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว รอโอกาสที่จะเลื่อนเป็นลำดับ 4”
“แล้วทำไมถึงเดาว่ายังเป็นแค่ลำดับห้าไม่ใช่สี่?” อาการของเดนิสบรรเทาลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอยู่ห่างกับแหล่งโรค
“ถ้าเธอเป็นลำดับสี่ ตอนนี้นายน่าจะถูกจับขึ้นกาฬมรณะเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็กำลังทุกข์ทรมานใกล้ตาย” แอนเดอร์สันหมุนตัวครึ่งรอบ หันหน้าไปทางทะเลที่มองไม่เห็น “เมื่อครู่ การปล่อยโรคของเทรซี่อาศัยเทคนิคช่วยเล็กน้อย เป็นการเน้นปล่อยโรคเฉพาะด้านหน้าเรือโดยไม่สนใจอีกสามทิศที่เหลือ จากนั้นก็อาศัยลมทะเลพัดโรคเข้าฝั่ง”
กล่าวถึงตรงนี้ แอนเดอร์สันปรบมือแผ่วเบาพร้อมกับยิ้ม
“ประสบการณ์เมื่อครู่คือเครื่องยืนยันแล้วว่าพลเรือโทโรคภัยอยู่บนเรือ… นายแจ้งข่าวให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้เลย”
“…” เดนิสไม่ลังเลอีกต่อไป รีบประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร ส่วนแอนเดอร์สันรีบเดินออกมาโดยใช้ข้ออ้าง ‘ช่วยป้องกันเหตุร้าย’
…
ตีสาม เขตตะวันออกของเบ็คลันด์ สภาพแวดล้อมมืดมิด มีเพียงแสงจากดวงจันทร์และดวงดาว
ไคลน์แต่งกายด้วยชุดนอนผ้าฝ้ายและหมวกคลุมหัว นั่งลงบนเตียงพร้อมกับรับจดหมายจากไรเน็ตต์ ไทน์เคอร์โดยไม่ถาม
หลังจากเปิดอ่าน มันลุกขึ้นอย่างสุขุม หยิบปากกาในกระเป๋าเสื้อออกมาเขียนด้านหลังกระดาษจดหมาย
“กลับไปที่เมืองท่าและรอคำสั่งถัดไป”
หลังจากเฝ้ามองผู้ส่งสารเดินเข้าไปในโลกวิญญาณ ไคลน์สวมเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก และเสื้อกันลมสีดำอย่างไม่รีบร้อน
จากนั้น ชายหนุ่มเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอกและใช้จี้บุษราคัมทำนายระดับอันตรายของปฏิบัติการ ทว่า มันกลับไม่ได้รับคำตอบ
โดยปราศจากความลังเล ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง เดินมายืนหน้ากระจกเงาและหยิบหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงขึ้นมาสวม
ในห้องด้านนอก หุ่นเชิดโจนาส โคลเกอร์และเอ็นยูนลืมตาขึ้นบนเตียงสองชั้น
…
บนกาฬมรณะ ภายในห้องว่างแห่งหนึ่ง ร่างของมนุษย์ถูกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว เส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าเย็นชา โครงหน้าชัดลึก เหมือนกับเกอร์มัน สแปร์โรว์ทุกประการ
ท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงสลัว ไคลน์กวาดสายตาไปรอบตัว เมื่อพบเก้าอี้ตัวหนึ่ง มันเดินไปนั่งและเชยชมทัศนียภาพของทะเลยามค่ำคืนด้านนอกหน้าต่าง
ภายในห้องกัปตันที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งชั้น พลเรือโทโรคภัย เทรซี่ซึ่งแต่งกายในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีเบจ มองบัสต์เดินออกจากห้องด้วยสายตารังเกียจ ตามด้วยการจัดปกเสื้อและทำหน้าขรึม
เธอได้ทราบว่า เดนิสและแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด กำลังพักอยู่บนเกาะไซรอสโดยไม่ทราบจุดประสงค์
พวกมันเกี่ยวข้องกับเกอร์มัน สแปร์โรว์… หมอนั่นยังคิดจะตามล่าเราอยู่? เทรซี่หรี่ตาลงและเดินไปยังริมหน้าต่าง เตรียมออกคำสั่งให้ลูกเรือบนดาดฟ้าหักหัวเรือแล่นกลับทะเล
ทันใดนั้น ความคิดของเธอเริ่มเฉื่อยชา ประหนึ่งกำลังตื่นระหว่างฝัน แต่กลับมิอาจขยับร่างกายไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใด
ท่าไม่ดีแล้ว… เทรซี่รีบเสกเปลวไฟสีดำ หมายเผาทำลายอิทธิพลจากภายนอก
ทว่า เปลวไฟ ‘ลุกโชน’ ได้ราบรื่นได้แค่ช่วงแรก ก่อนจะร่วงกราวลงบนพื้นประหนึ่งกลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา
ความสิ้นหวังกำลังกัดกินจิตใจเทรซี่อย่างหนัก ความคิดของเธอเชื่องช้าลงทุกวินาที
ด้วยความสิ้นหวัง เทรซี่สร้างผลึกน้ำแข็งสีใสห่อหุ้มผิวกาย หวังเป็นอิสระจากด้ายล่องหนและปกป้องตัวเองด้วยกำบังหนาหลายชั้น
ขณะเดียวกัน ประตูห้องกัปตันเปิดออกพร้อมกับเสียงไม้เสียดสี เกอร์มัน สแปร์โรว์แต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมและเสื้อกันลมย่างกรายเข้ามา
ทันทีหลังจากนั้น มันปิดประตูอย่างสุภาพ
ท่ามกลางเสียงปิดสนิท ห้องกัปตันเงียบจนผิดวิสัย เสียงคลื่นทะเลเลือนหายไป ราวกับที่นี่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงเท่านั้น คล้ายกับใยแมงมุมล่องหนที่พันรอบร่างกายเทรซี่เข้าใจคำสั่งผิด พวกมันรัดร่างพลเรือโทโรคภัยแน่นจนมิอาจกระดุกกระดิกหรือใช้พลังพิเศษ
พลังบิดเบือน!
ความคิดเทรซี่กลับคืนมา สมองไม่เฉื่อยชาเหมือนในตอนแรก
“นายต้องการอะไร?” เธอจ้องหน้าเกอร์มัน สแปร์โรว์ที่ย่างสามขุมเข้ามาอย่างองอาจ
สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือ ทั้งที่ตนหมดสิทธิ์ต่อต้านโดยสิ้นเชิงแล้ว เหตุใดอีกฝ่ายถึงยกเลิกการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ
ไคลน์ทำเช่นนี้เพราะสงสัยว่า พลเรือโทโรคภัยกับแม่มดขาวน่าจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดอย่างใกล้ชิด หากลงมือฆ่าเทรซี่ เกรงว่าครึ่งเทพที่ถนัดพลังสาปแช่งจะไหวตัวทันและหลบหนีไป
ท่ามกลางเสียงฝีเท้า กึก กึก กึก ไคลน์หยุดลงตรงหน้าแม่มด
………………………………….