Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1116 : การจ้องมองที่คุ้นเคย

คำตอบของคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ยิ่งทำให้โจชัวทวีความประหวั่น มันรีบมองไปทางสมาชิกทีมสำรวจคนอื่น

“มีใครได้ยินเสียงฝีเท้าผิดปรกติบ้างไหม?”

เดอร์ริคที่ถือค้อนยักษ์ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ และดาบยาว ทำหน้านึกสองสามวินาทีก่อนจะส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ ส่วนฮาอิมถือไม้กางเขนเจิดจรัสพลางชำเลืองสมบัติปิดผนึกที่ยังคงส่องแสง จากนั้นก็ตอบกลับ

“คุณอาจหูแว่วไปเอง”

“ไม่มีทาง ผมได้ยินชัดมาก” โจชัวถุงมือแดงขมวดคิ้วโต้แย้ง

ได้ยินเช่นนั้น นักล่าปีศาจโคลินที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด หมุนตัวกลับมาและกล่าวเสียงเรียบ

“ฮาอิม แอนเทียน่าตรวจสอบอาการโจชัว”

“ครับ ท่านเจ้าเมือง” ฮาอิมเดินไปหาโจชัวและทาบไม้กางเขนเจิดจรัสที่ยังคงส่องแสงบริสุทธิ์ลงบนหน้าผากพวกพ้อง

สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

ทันทีหลังจากนั้น แอนเทียน่า นักรบหญิงผมสีไวน์แดงเดินมายังด้านข้างโจชัวพร้อมกับยกมือซ้าย

เธอสวมสร้อยข้อมือสีทองซีด ประดับด้วยกระดิ่งเล็กสามใบซึ่งมีเกล็ดสีทองห้อยอยู่

กระดิ่งส่งเสียงก้องกังวาน ส่งผลให้โจชัวเริ่มสงบสติ ไม่ตึงเครียดและกระสับกระส่ายเหมือนในตอนแรก

“ไม่มีปัญหาค่ะ” แอนเทียน่าหันไปมองเจ้าเมือง โคลิน·อีเลียด

สัญลักษณ์ซับซ้อนสีเขียวเข้มปรากฏบนดวงตาทั้งสองข้างของโคลิน มันจ้องโจชัวสักพักก่อนจะพยักหน้า

“อาจไม่ใช่อาการหูแว่วก็จริง แต่หมั่นตรวจสอบความผิดปรกติของร่างกายตัวเองเอาไว้”

เมื่อพบว่าเจ้าเมืองยังคอยสนับสนุน โจชัวถอนหายใจแผ่ว

“ครับ”

ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ยังคงเดินลงบันไดยักษ์ที่อาบแสงสนธยาทีละขั้นอย่างใจเย็น

ทันใดนั้น ทุกคนได้ยินเสียงคราง

เดอร์ริค·เบเกอร์เห็นจากหางตาว่า โจชัวกำลังยกมือขึ้นมาบีบคอตัวเอง

ในฐานะอัศวินรุ่งอรุณ พละกำลังของโจชัวจึงมหาศาล ทันทีที่เสียงครางเล็ดลอด มือของโจชัวก็หักกระดูกคอด้วยการบิดเพียงครั้งเดียว

โจชัวล้มลงด้วยสีหน้ามืดมนและบิดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

คนที่ฆ่ามันคือตัวมันเอง!

“…” แม้เดอร์ริคและคนที่เหลือจะตอบสนองได้ไม่ทันท่วงที แต่ประสบการณ์จากการฝึกหนักและการลาดตระเวนในความมืดส่งผลให้ทุกคนรีบตั้งท่าต่อสู้โดยสัญชาตญาณ เตรียมรับมือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

จากนั้น พวกมันได้ยินเสียงครางอีกครั้ง

คราวนี้มาจากคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์

กล้ามเนื้อใบหน้าของสตรีผมยาวรายนี้กำลังสั่นกระตุกและยุบพอง ราวกับมีอีกใบหน้าหนึ่งเตรียมงอกเงย

เธอคุกเข่าลงท่ามกลางขั้นบันไดยักษ์ สีหน้าเผยความเจ็บปวดเหนือพรรณนา

หญิงสาวยกมือขึ้นเชื่องช้า จากนั้นก็บีบคอตัวเองโดยที่มิอาจขัดขืน

ขณะโลเฟียร์เตรียมออกแรง ดาบสองเล่มที่ทาด้วยขี้ผึ้งสีเทาเงินพุ่งตัดฝ่ามือทั้งสองข้าง

น่าล่าปีศาจโคลินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ตอบสนองได้ทันท่วงที

ร่างกายโลเฟียร์กระตุกรุนแรง ศีรษะก้มต่ำด้วยปากที่อ้ากว้าง จากนั้นก็คายเศษเนื้อและซากอวัยวะที่ไม่สมบูรณ์ออกมา

หญิงสาวสูดลมหายใจยาวคล้ายกับได้สติคืนมา จากนั้น เธอคลานไปข้างหน้าด้วยศอก กลืนเศษเนื้อและอวัยวะเปื้อนเลือดที่เพิ่งอาเจียนกลับเข้าไปด้วยท่าทางเคร่งขรึมและเปี่ยมศรัทธา

นักล่าปีศาจโคลินที่มีรอยแผลเป็นเก่าแก่หลายจุดบนใบหน้า เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบงันโดยไม่เข้าไปห้าม

จนกระทั่งโลเฟียร์เงยหน้าขึ้น กล่าวเสียงเรียบด้วยดวงตาสีเทาซีดที่ค่อนข้างเหม่อลอย

“เป็นความเสื่อมทราม…ความเสื่อมทรามที่มีในตัวทุกคน”

“มีทางแก้ไหม?” โคลินถามหน้านิ่ง

โลเฟียร์พยักหน้าโดยไม่ลังเล

“มี”

ทันทีที่กล่าวจบ หญิงสาวนำมือขวามาจับนิ้วชี้ข้างซ้าย จากนั้นก็กระชากออกและนำใส่ปากเคี้ยว

“พระองค์ผู้รังสรรค์ทุกสรรพสิ่ง…พระองค์ผู้ปกครองอยู่ด้านหลังเงามืด…พระองค์ผู้เป็นรากฐานแห่งการเสื่อมทรามทั้งปวง”

พระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง…เปลือกตาเดอร์ริคกระตุกทันที ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า บรรยากาศรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

แสงสนธยาสีส้มทวีความเข้มข้น ใกล้เคียงกับสีของเลือด

เหนือสายหมอก สีหน้าของเดอะฟูล ไคลน์แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

แม้ว่ามันจะมองไม่เห็นสิ่งใดด้วยตาทิพย์ แต่ก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า มีการจ้องมาจากระยะไกลจนขอบเขตการมองเห็นของตนแคบลง

นอกจากนั้น สายตาดังกล่าวยังมอบความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

จะไม่คุ้นเคยได้ยังไง…หลังจากเดินทางข้ามโลก ครึ่งแรกของชีวิตเรามีโอกาสเข้าไปพัวพันกับท่านบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะตัวท่านเอง บุตรของท่าน ผู้ส่งสารของท่าน ภาชนะในการจุติของท่าน เสียงเพรียกของท่าน รวมถึงภาพจิตรกรรมที่เกี่ยวกับท่านอีกหลายชิ้น…ไคลน์มั่นใจว่าสายตาที่จ้องมองมายังทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์คือ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’

ด้วยความสัตย์จริง ในตอนที่โลเฟียร์เริ่มท่องพระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง ไคลน์อยากส่ง ‘พายุสายฟ้า’ ลงไปจัดการก่อนที่เธอจะสร้างปัญหา แต่ท้ายที่สุดก็กัดฟันอดทนไว้ เพราะมันไม่มั่นใจว่าตนสามารถฆ่าคนเลี้ยงแกะได้ในพริบตา – วิญญาณมารที่โลเฟียร์ต้อนแกะเข้ามาน่าจะมีลำดับสูงถึงสาม ถึงแม้จะตายไปนานแล้ว แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมก็ไม่น่าจะต่ำกว่าลำดับสี่ ส่งผลให้พายุสายฟ้าที่มีระดับเกือบเทวทูตของไคลน์ไม่รุนแรงพอที่จะปลิดชีพอีกฝ่าย

และถ้าเดอะฟูลมิอาจปลิดชีพโลเฟียร์ได้ง่ายดายนัก มุมมองของนักล่าปีศาจโคลินจะเปลี่ยนไปทันที

นอกจากนั้น ไคลน์เชื่อว่าโคลิน·อีเลียดมีความสุขที่ได้เห็นอาวุโสโลเฟียร์ท่องพระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยถ่วงดุลอำนาจระหว่างเดอะฟูลกับอีกฝ่าย

พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นการดูหมิ่นเทพอย่างร้ายแรง ง่ายต่อการให้สิ่งมีชีวิตลึกลับไม่พอใจ แต่โคลิน·อีเลียดก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก มันไม่สามารถเชื่อใจเดอะฟูลหรือพระผู้สร้างแท้จริงได้เต็มร้อย จำเป็นต้องถ่วงดุลอำนาจทั้งสองฝ่ายโดยที่ยอมให้ตัวเองยืนบนขอบหน้าผา

มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เมืองเงินพิสุทธิ์จึงจะไม่ถูกบดขยี้อย่างย่อยยับเหมือนกับบรรดาเมืองใหญ่ที่กลายเป็นซากปรักหักพังในความมืดและปกคลุมไปด้วยฝุ่นแห่งประวัติศาสตร์

น่าเสียดาย ถ้าตอนนี้เรากำลังถือไม้กางเขนเจิดจรัส คงพยายามระดมพลังของมิติหมอกเต็มอัตราศึกเพื่อทำลายวิญญาณมารอัศวินสีเงินนั่น…มันแพ้ทางโดยธรรมชาติ…ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ทำได้เพียงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

ย้อนกลับไปในตอนแรก มันไม่พบความผิดปรกติในตัวโจชัวเลยสักนิด จนกระทั่งนักรบของเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งสวมถุงมือแดงรายนี้หักคอตัวเอง ไคลน์ถึงจะเห็นว่าดวงวิญญาณของอีกฝ่ายทั้งดำมืดและหม่นหมอง

ดังคำของอาวุโสคนเลี้ยงแกะ ต้นตอของปัญหาคือความ ‘เสื่อมทราม’ ภายในจิตใจทุกคน ไม่ต่างอะไรกับการหลงระเริงจนเสียคนเพราะเงินทองและหญิงงาม เป็นเรื่องยากที่จะตรวจพบจากภายนอก

บันไดยักษ์แห่งนี้คงมีเศษเสี้ยวพลังเทพในขอบเขต ‘ความเสื่อมทราม’ ปะปนอยู่กับสภาพแวดล้อม เป็นเรื่องยากที่จะรับมือและตรวจสอบ…หุ่นกระบอกที่ใช้ทดลองในตอนแรกก็ไม่มีสติปัญญาและวิญญาณ จึงไม่ได้รับผลกระทบ…พิจารณาจากพระนามเต็มของพระผู้สร้างแท้จริง อีกฝ่ายคงถือครองพลังในขอบเขตความเสื่อมทราม ลำพังการจ้องมองก็มากพอจะขจัดปัดเป่าหรือบรรเทาลง…ไคลน์วิเคราะห์เหตุการณ์เบื้องต้น

ระหว่างนั้น มันอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม

พระผู้สร้างแท้จริงกำลังเฝ้ามองทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เหมือนกับตน?

…ถ้าเป็นโลกเก่า เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า ‘เพื่อนร่วมไลฟ์’ …ถ้าเราส่งของขวัญ อีกฝ่ายจะส่งของขวัญชิ้นที่ใหญ่กว่ามาเกทับไหม? ไคลน์ครุ่นคิดติดตลก เป็นการบรรเทาความเครียดที่เกิดจากสายตาของพระผู้สร้างแท้จริง

อีกฝ่ายคือเทพแท้จริง ไม่ว่าจะอาดัมหรืออามุนด์ก็มิอาจเทียบเคียงได้!

ในเวลาเดียวกัน คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ลุกขึ้นยืน นิ้วชี้ข้างซ้ายที่หายไปค่อย ๆ งอกกลับคืนมา

เธอมองไปทางเจ้าเมือง โคลิน·อีเลียด

“พวกเราจะไม่ได้รับอิทธิพลจากความเสื่อมทรามในละแวกนี้อีก”

กล่าวอีกนัยหนึ่ง บันไดยักษ์แห่งนี้จะปลอดอันตราย

ตามปรกติแล้ว ทีมสำรวจจะไม่แยแสศพของโจชัว เพราะไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าหรือถอยหลัง ทุกคนต้องเคลื่อนไหวอย่างฉับไว เพราะการอยู่ในพื้นที่อันตรายเป็นเวลานานอาจทำให้สมาชิกคนอื่นประสบอันตรายเพิ่มเติม แต่เนื่องจากอาวุโสโลเฟียร์ยืนกรานด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าต้นตอของปัญหาสลายไปแล้ว ทุกคนจึงกล้าที่จะหยุดพักและจัดการกับศพ

เดอร์ริควางดาบของฮาอิมลง เดินไปข้าง ๆ ศพของโจชัวและจ้องมองสักพัก ก่อนจะก้มหยิบถุงมือสีแดงของอีกฝ่ายขึ้นมาสวมในมือซ้าย

มันยังจำได้แม่น โจชัวมักจะโอ้อวดสมบัติวิเศษที่ค้นพบระหว่างภารกิจสำรวจชิ้นนี้ และยังจำได้ว่า ก่อนจะเดินทางออกจากค่ายในหมู่บ้านยามบ่าย โจชัวเล่าถึงการถูกบังคับให้แต่งงานหลังจบภารกิจสำรวจ แถมยังไม่เคยเห็นหน้าภรรยาแม้แต่ครั้งเดียว ทว่า ในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เพื่อนร่วมทีมคนดังกล่าวกลับต้องกลายเป็นศพตัวเย็น

สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ เหตุการณ์เช่นนี้สามารถเกิดได้กับทุกคน จึงไม่มีใครร้องไห้สะอื้น มีเพียงมวลอารมณ์เข้มข้นที่ฝังเข้าไปในกระดูกและเลือด เป็นความหนักใจและเศร้าโศก

ทุกคนเฝ้ามองเดอร์ริคยกมือข้างซ้ายเล็งไปที่ศพโจชัว

เปลวไฟลุกท่วมร่างพวกพ้องที่คอยต่อสู้เคียงข้างกันมานาน

หลังจากฌาปนกิจเสร็จ นักล่าปีศาจโคลินเก็บตะกอนพลังที่ควบแน่น ส่วนคนที่เหลือต่างหยิบขี้เถ้าจำนวนหนึ่งใส่กระเป๋าเสื้อ

ท่ามกลางความเงียบ ทุกคนเดินลงบันไดไปจนถึงขั้นสุดท้าย พบว่าด้านหน้าเป็นพระราชวังสูงตระหง่านที่ฉาบไปด้วยแสงสนธยา ด้านหลังเป็นทางเดินและบันไดไปยังเขตอื่น

ประตูวังกำลังเปิดอ้า ด้านในมืดสนิท ไม่มีแสงใดส่องผ่าน

นักล่าปีศาจโคลินสำรวจอย่างระมัดระวังสักพัก

“เหมือนกับโลกภายนอก”

ความหมายของมันก็คือ ทุกคนต้องใช้สารพัดวิธีในการสร้างความสว่างและไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความมืด

ได้ยินเช่นนั้น ฮาอิมกระตุ้นพลังของไม้กางเขนเจิดจรัสจนแสงสว่างโอบล้อมร่างกายทีมสำรวจทุกคน ส่วนแอนเทียน่าจุดตะเกียงและถือไว้เป็นไฟสำรองในกรณีที่ไม้กางเขนเสื่อมฤทธิ์กะทันหัน

ทีมสำรวจเดินเข้าไปในวังและพบกับห้องโถงที่ดูเหมือนจะว่างเปล่า เสียงฝีเท้าดังไปไกล แต่ไม่สะท้อนกลับมา

ขณะย่างกราย เดอร์ริคพบว่าเปลือกตาของตนหนักอึ้ง เผชิญความง่วงนอนรุนแรง

ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงคำรามต่ำของเจ้าเมือง

“ห้ามหลับเด็ดขาด!”

เดอร์ริคสะดุ้งตื่นทันที สลัดความเหนื่อยล้าที่มิอาจลืมตา

ขณะเดียวกัน นักรบหญิงคนหนึ่งล้มลงบนพื้น คล้ายกับหมดสติกลางอากาศ

จากนั้น ร่างของเธออันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย

นักล่าปีศาจโคลินและคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์มองหน้ากันสักพัก ก่อนจะส่ายศีรษะและนำทีมเดินไปต่อ

ระหว่างทาง ทุกคนทำร้ายตัวเองเป็นระยะ สร้างความเจ็บปวดเพื่อแลกกับการมีสติ

จนกระทั่ง หลังจากผ่านโดมทรงโค้ง พวกมันพบความมืดมิดที่ยากจะขจัดด้านหน้า

อาศัยแสงสว่างจากทีมสำรวจ ทุกคนพบว่าที่นี่คือห้องโถงซึ่งเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง ตรงกลางห้องมีโต๊ะยาวสีแดงเข้ม รายล้อมด้วยเก้าอี้พนักสูงลวดลายซับซ้อน

นี่มัน…เดอร์ริคเกิดความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

มันพบว่าฉากตรงหน้าค่อนข้างคล้ายคลึงบรรยากาศในชุมนุมทาโรต์!

ทันใดนั้น กลุ่มไฟลุกโชนจากรอบทิศพร้อมกับเสียงพึมพำ

รอบห้องโถง เหนือเสาหินที่เรียงรายโดยมิได้ค้ำจุนหลังคาโดมสูง เปลวไฟสีแดงถูกจุดขึ้นทีละดวง มอบความสว่างในบรรยากาศพิสดาร

เสียงพึมพำเริ่มดังขึ้น ราวกับพวกมันถูกส่งมาจากดินแดนอันห่างไกล เปลี่ยนให้ห้องโถงมีชีวิตชีวาประหนึ่งงานเลี้ยง

รอบโต๊ะยาวสีแดงเข้ม ร่างมายาอันคลุมเครือของผู้คนปรากฏบนเก้าอี้พนักสูง รวมทั้งสิ้นสิบเอ็ดร่าง

…………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset