Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1119 : โดยไม่ต้องนัดแนะ

ได้ยินคำพูดเจ้าเมือง อาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ ตั้งคำถามทันที

“เหมือนกับอัศวินสีเงินสองตนจากทางเข้าวังด้านหน้าใช่ไหม? ที่มันจะไม่โจมตีหากเราไม่เข้าไปในระยะ”

โคลิน·อีเลียดพยักหน้า

“ใช่…ในตอนนี้ล่ะนะ”

ทีมสำรวจอยู่ใกล้ทางออกมาก แต่องครักษ์ด้านนอกกลับยังไม่มีท่าทีตอบสนอง

แปลว่าอีกฝ่ายไม่มีสติปัญญาหรือวิญญาณ และอาจทำงานโดยการถูกกระตุ้น

โดยไม่รอให้สมาชิกคนอื่นพูด นักล่าปีศาจโคลินกล่าวต่อ

“ใหญ่…หนัก…”

หลังจากได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จับกลุ่มกันโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ทีมหนึ่งอยู่ห่างจากทางออก แต่หันหน้าเข้าหาประตู คุ้มกันโดยอาวุโสโลเฟียร์ มีหน้าที่เป็นเหยื่อล่อองครักษ์ อีกทีมหนึ่งรับน้ำมันศักดิ์สิทธิ์บางชนิดมาจากเจ้าเมืองและทาลงบนพื้นใกล้กับประตู ส่วนฮาอิมผู้ถือไม้กางเขนเจิดจรัส และนักล่าปีศาจโคลินคอยหลบอยู่สองฝั่งข้างบานประตูโดยใช้เสาหินเป็นกำบัง

จากนั้น โคลิน·อีเลียดชักดาบออกจากหลังหนึ่งเล่มพร้อมกับหยิบขวดโลหะใบเล็กขึ้นมากระดกดื่ม

ออร่าของมันเลือนรางลงอย่างรวดเร็ว ไม่เด่นชัดเหมือนในตอนแรก หากไม่เพ่งมองอย่างตั้งใจก็ยากจะตระหนักว่ามีตัวตนอยู่ตรงนี้

นี่คือหนึ่งในแผนการ ฮาอิมไม่อำพราง ส่วนนักล่าปีศาจอำพราง

ผ่านไปราวสิบวินาที อาวุโสโลเฟียร์เหยียดแขนขวาออกมาจับอากาศอันว่างเปล่า

ผมสีเทาเงินของเธอถูกย้อมกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม

สายลมดังโหยหวนพร้อมกับการเปิดออกของบานประตูสีเทาอมฟ้า

ทันทีหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ห้องโถงทั้งหลังสั่นไหว

คนยักษ์ที่ถือง้าวและสวมเกราะเหล็กปรี่เข้ามาในห้องโถง

ส่วนที่ไม่ถูกเกราะปกปิดปราศจากเลือดเนื้อ ราวกับพวกมันถูกสร้างจากโลหะ ด้านหลังหน้ากากสีดำมีแสงสีแดงสว่าง

หากไม่ได้กำลังขยับเขยื้อน เอาแต่ยืนนิ่ง คงไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น

ตึง! ตึง! ตึง!

ห้องโถงสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งกว่าเก่า ทันใดนั้น รูปปั้นคนยักษ์ทำการขว้างง้าวในมือ เกิดเป็นพายุเฮอร์ริเคนพุ่งมาทางเดอร์ริคและคนอื่นที่กำลังหันหน้าเข้าหาประตู

เปรี้ยง!

ง้าวพุ่งชนบาเรียล่องหนจนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมมายา

ด้านหน้าคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ ร่างมายาที่สวมเกราะสีเงินปรากฏขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ร่างดังกล่าวแทงดาบใหญ่ในมือลงไปบนพื้น

ตึง! ตึง! ตึง!

รูปปั้นคนยักษ์ยังไม่หยุดวิ่งเข้ามาในห้องโถง

ทันใดนั้น เสียงแหลมเล็กดังจากใต้ฝ่าเท้าพวกมันจนร่างกายขนาดมหึมาเซไปด้านหลัง

มันเหยียบลงบนจุดที่มีการทาน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ไว้

เมื่อรูปปั้นยักษ์ล้มลง แสงสีแดงในดวงตาพลันสว่างไสว พลังที่มองไม่เห็นบางชนิดช่วยดึงร่างของมันกลับขึ้นมาใหม่

ทันใดนั้น แสงสว่างอันเจิดจ้าพุ่งออกจากไม้กางเขนเจิดจรัส ตรงเข้าใส่ดวงตาเพียงหนึ่งเดียวของคนยักษ์อย่างแม่นยำ

แสงสีแดงเข้มจางลงทันที

นักล่าปีศาจโคลินกระโจนไปในอากาศพร้อมกับถือดาบหนึ่งเล่มด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็พุ่งลงประหนึ่งอินทรีโฉบใส่เหยื่อ

แสงแห่งรุ่งอรุณควบแน่นเคลือบดาบยาวจนมันดูใหญ่เป็นพิเศษ ความยาวโดยรวมมากกว่าส่วนสูงของโคลินเสียอีก

ท่ามกลางเสียง ‘ฉึก’ ดาบที่สว่างไสวแทงทะลุช่องว่างระหว่างชุดเกราะของคนยักษ์ เสียบเข้าไปในดวงตาอย่างแม่นยำ

แสงแห่งรุ่งอรุณพรั่งพรูเข้าไปในร่างกายของมัน

ขณะมือกำด้ามดาบ โคลิน·อีเลียดออกแรงแทงให้ลึกกว่าเดิม จนกระทั่งรูปปั้นยักษ์ล้มลง มันชักดาบกลับและกระโจนไปทางด้านข้าง

รูปปั้นยักษ์นอนแผ่แน่นิ่งหน้าประตู เสียงแตกดังขึ้นจากอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งร่างกายของมันหยุดนิ่ง

นักล่าปีศาจโคลินไม่หันกลับไปมอง เพียงจ้องออกไปนอกประตูและกล่าวหลังจากครุ่นคิดสองสามวินาที

“ตอนนี้ยังไม่มีองครักษ์ตนอื่น เราสามารถสำรวจรูปปั้นนั่นได้”

เดอร์ริคและคนที่เหลือเข้ามาล้อมรูปปั้นทันที รีบค้นตัวอย่างชำนาญ

เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่ได้เห็นขั้นตอนทั้งหมด อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความแข็งแกร่งและความสามัคคีของทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์

จากการสังเกตของชายหนุ่ม รูปปั้นยักษ์ตนนี้ทำมาจากโลหะนิรนาม พื้นผิวถูกหุ้มด้วยชุดเกราะซึ่งมีพลังป้องกันเหนือจินตนาการ สามารถรับการโจมตีส่วนใหญ่ได้สบาย ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ยาก

นอกจากนั้น รูปปั้นยักษ์ยังไม่มี ‘วิญญาณ’ กล่าวคือ ไม่สามารถจัดการมันได้ด้วยพลังในขอบเขตที่เกี่ยวข้อง เช่น ‘ควบคุมด้วยวิญญาณ’ ‘สะกดจิต’ ‘โรคประสาท’ และ ‘ฝันร้าย’ ไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการเดินดิน ไคลน์อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นผลงานของเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว

ไคลน์เชื่อว่า หากเปลี่ยนเป็นตัวเอง เมื่อพลังที่เป็นแก่นสำคัญของจอมเวทพิสดารกลายเป็นหมัน หนทางเดียวคือการพึ่งพาพลังของหุ่นเชิดทั้งสองตัว การต่อสู้จะลงเอยเช่นไรคงมิอาจคาดเดา

พลัง ‘บิดเบือน’ กับ ‘โกลาหล’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยอาจช่วยเราได้มาก แต่คงจัดการได้ไม่เร็วเท่ากับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์…อา…ทีมผู้วิเศษที่เชี่ยวชาญจะสร้างผลลัพธ์ออกมาเป็น ‘หนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง’ …นอกจากนั้น จังหวะและความมั่นใจในตัวเองของเจ้าเมืองก็เป็นกุญแจสำคัญ…ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาด้วยความชื่นชม

หากนี่เป็นการถ่ายทอดสดของโลกเก่า ชายหนุ่มคงอดไม่ได้ที่จะส่งของขวัญเป็นกำลังใจ

แต่มันก็ทำได้แค่คิด

หลังจากนำของมีค่าออกจากรูปปั้นยักษ์ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เดินตรงไปตามทางเดินด้านนอกจนกระทั่งมาถึงอีกหนึ่งห้องโถง

ในทำนองเดียวกัน พวกมันเคลื่อนที่ไปตามจุดต่าง ๆ ระหว่างวัง หอคอย และทางเดินอีกหลายแห่งโดยหวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม รวมถึงทางเข้าทะเลที่ ‘คนนอก’ อย่างแจ็คเล่าให้ฟัง

ไม่ว่าพวกมันจะเชื่อคำพูดของเด็กชายหรือไม่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังถึงทะเลสีครามด้านหลังวังราชาคนยักษ์ คาดหวังว่าอีกฟากฝั่งของทะเลมีอาณาจักรที่เต็มไปด้วยมนุษย์ ปราศจากสัตว์ประหลาดในความมืด มีดวงอาทิตย์ขึ้นและตก สายฟ้าจะโผล่ออกมาเฉพาะตอนที่ฝนโปรย ผู้คนอิ่มหนำสำราญไปกับอาหาร

ระหว่างนี้ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เผชิญหน้ากับศัตรูไม่มากนัก เกือบทั้งหมดเป็นรูปปั้นที่กลับมามีชีวิต บางส่วนเป็นวิญญาณมารที่เกิดจากการผสานระหว่างจิตตกค้างและออร่าสนธยา โดยรายหลังถูกขจัดอย่างง่ายดายด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส

“ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร…” เดอะฟูล ไคลน์บนมิติหมอกพยักหน้าแผ่วเบา ไม่แสดงความประหลาดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า

เพราะหลังจากราชาคนยักษ์ร่วงหล่น สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นดินแดนในการปกครองของเทพสุริยันบรรพกาล ไม่น่าจะมีสมบัติหรือคนยักษ์ที่แข็งแกร่งหลงเหลือ…โดยเฉพาะเมื่อเหล่าราชาเทวทูตใช้เป็นสถานที่สมคบคิด ปัญหากวนใจย่อมต้องถูกเก็บกวาดเป็นธรรมดา…แต่หลังจากเทพสุริยันบรรพกาลถูก ‘กิน’ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าใครคือเจ้าของวังสนธยา…หรือบางทีอาจถูกทิ้งร้างไว้เฉย ๆ …

สรุปโดยสั้น ทีมสำรวจไม่น่าจะได้พบกับศัตรูในระดับครึ่งเทพหรือสมบัติวิเศษที่ทรงพลัง…อา…แต่ถ้าไม่มีไม้กางเขนเจิดจรัส วิญญาณมารเหล่านั้นก็รับมือได้ไม่ง่ายเช่นกัน ยากที่จะสำรวจไปข้างหน้าหากปราศจากเทวทูตมานำทีม หรือไม่ก็ต้องนำสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ออกปฏิบัติการ…

เมื่อไม้กางเขนเจิดจรัสกลับมาอยู่กับเดอร์ริค ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ขยับเข้าใกล้อาคารที่สูงที่สุดในวังราชาคนยักษ์

แสงสนธยาที่นี่เข้มข้นมาก ราวกับมาจากวังดังกล่าว

“ถ้าออกจากห้องโถงนี้ไป พวกเราน่าจะถึงส่วนข้างของสถานที่พำนักราชาคนยักษ์” น่าล่าปีศาจโคลินสำรวจทิศก่อนจะเหยียดนิ้วไปด้านหน้า

คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ผงกศีรษะรับ ใบหน้าเผยเศษเสี้ยวความหวัง

หัวใจเดอร์ริคดังระรัวราวกับมิอาจควบคุมความตื่นเต้น ต้องเดือดร้อนแอนเทียน่าช่วยใช้ปลอบโยนเพื่อทำให้กลับมาเป็นปรกติ

หลังจากทุกคนปรับอารมณ์เสร็จ ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าและได้พบกับวัตถุคล้ายภาพวาดสีน้ำมันถูกแขวนบนผนังทั้งสองฝั่ง

‘ภาพวาดสีน้ำมัน’ เหล่านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนยักษ์ที่แตกต่างออกไป บ้างถือขลุ่ยกระดูก บ้างถือกระดิ่งลม และบ้างถือพิณประหลาดเจ็ดสายที่เหมาะกับความสูง

หลังจากสมาชิกทีมสำรวจมาถึง คนยักษ์ในภาพวาดสีน้ำมันมีชีวิตขึ้นมากะทันหัน พวกมันเริ่มบรรเลงเครื่องดนตรีจนเกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ

แสงสนธยาในห้องโถงสว่างขึ้นเล็กน้อย อาหารจำนวนมากปรากฏขึ้นบนโต๊ะยาวที่วางเรียงราย ทุกจานเปล่งประกายและเย้ายวนใจอย่างยิ่ง

ไก่ย่าง…ห่านย่าง…ปลาทาน้ำผึ้ง…นี่คืองานเลี้ยงของวังราชาคนยักษ์? แต่ขนาดของไก่ ห่าน แพะ และปลาไม่ใหญ่ไปหน่อยหรือ…เป็นฝีมือของเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว? เพียงชำเลือง ไคลน์ยืนยันได้ว่าอาหารทั้งหมดเป็นภาพลวงตา เพราะวังราชาคนยักษ์ไม่น่าจะมีวัตถุดิบประกอบอาหารหลงเหลืออยู่ รวมถึงไม่มีคนที่สามารถ ‘จินตนาการ’ หรือสร้างพวกมันให้สมจริง

“นี่คือ…อาหารปรกติ?” ฮาอิมที่กำลังถือเทพสายฟ้าคำราม จ้องไปทางโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง

“คงใช่…” เดอร์ริคสูดกลิ่นและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

นอกจากหญ้าผิวดำ พวกมันไม่เคยเห็นอาหารทั่วไปมาก่อน เนื้อที่เกิดจากการย่างศพสัตว์ประหลาดจะมอบสีสันที่แตกต่างกัน แต่รสชาติห่วยแตกเหมือนกันหมด แถมยังเป็นพิษกับร่างกาย

นักล่าปีศาจโคลินจ้องสักพักก่อนจะถอนหายใจ

“พวกมันเป็นของปลอม อย่าแม้แต่จะสัมผัส ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”

นอกจากโลเฟียร์ ทีมสำรวจทุกคนถอนสายตาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็เดินตามเจ้าเมืองไปจนกระทั่งออกจากห้องโถง

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด โคลิน·อีเลียดปักดาบลงในดินและผลักประตูหนักให้เปิดออก

ช่องว่างขยายใหญ่ขึ้น แสงสีส้มเข้มข้นลอดผ่านจากด้านนอก

ยิ่งช่องว่างขยายใหญ่ ภาพของพระราชวังสูงตระหง่านก็ยิ่งแจ่มชัด

จากนั้น ทุกคนในทีมสำรวจได้ยินเสียงบางสิ่งถูกปะทะ

โคลินชักดาบยาวออกมาสยบความตึงเครียดภายในใจสมาชิกทีม

ตามด้วยการชักดาบอีกหนึ่งเล่มและเดินออกจากห้องโถงอย่างไม่รีบร้อน เดอร์ริคและคนที่เหลือตามหลังไปด้วยความระมัดระวัง

ทันทีที่ร่างกายอาบแสงสนธยาโดยสมบูรณ์ พวกมันมองไปทางซ้ายโดยพร้อมเพรียง และพบกับราวกั้นที่ทำจากเสาหิน

เหนือราวกั้นออกไปไกลมีเมฆสีส้มแดงที่ลอยตัวบนท้องฟ้าอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางทุ่งกว้างสีน้ำเงินเข้มอันไร้ขอบเขต เสียงปะทะของบางสิ่งดังขึ้นตลอดเวลา

โดยไม่ต้องกล่าวคำใด สมาชิกทีมสำรวจทุกคนต่างนึกถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือและคำอธิบายของเด็กชายแจ็ค คำคำหนึ่งผุดขึ้นในหัวทันที

“ทะเล”

…………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset