Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1122 : ความเห็นของเดอะฟูล

เหนือสายหมอกสีเทา เมื่อเห็นผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนแก่ชราอย่างรวดเร็วและสลายไปจนเหลือเพียงกระดูก ไคลน์หวนนึกถึงโมเบธ เซียธาส รอนเซล และสโนวมันในตอนที่ออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’

ในตอนนั้น ไคลน์ช่วยทุกคนไว้ไม่ทัน ปัจจุบันก็เช่นกัน เนื่องจากหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาไม่เคยท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล ส่งผลให้ไคลน์จนปัญญาจะดึงเข้าสู่มิติหมอก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไคลน์ซึ่งถือคทาเทพสมุทรและมีอำนาจในการส่งพลังผ่าน ‘จุดแสงวิงวอน’ สามารถทำอะไรได้มากกว่าเดิมพอสมควร

มันรีบผสานเป็นหนึ่งเดียวกับไพ่จักรพรรดิมืด ระดมพลังของมิติหมอกและใช้เทวทูตกระดาษเป็นภาชนะบรรจุคำพูดของตน จากนั้นก็อาศัยดาวแดงเป็นประตูสู่โลกความจริง เล็งส่งเทวทูตกระดาษไปยังร่างวิญญาณของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน

นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในกรณีที่ไคลน์ไม่ต้องการสูญเสียความน่าเกรงขามของเดอะฟูล แม้ว่าพระผู้สร้างแท้จริงจะเฝ้ามองอยู่ก็ตาม

ขณะสติของเมิร์สกอร์กอนกำลังเลือนรางสุดขีด เทวทูตปีกดำหลายชั้นปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า

ร่างวิญญาณของมันเริ่มสลายตัวช้าลง ตามด้วยเสียงที่น่าเกรงขามและสง่างามดังกังวาน

“พิธีกรรมและวัตถุดิบเสริมของโอสถอัศวินสีเงินมีอะไรบ้าง”

“ซาสเรียหลับใหลอยู่ในวังพำนักของราชาคนยักษ์จริงหรือ”

เมิร์สกอร์กอนตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย

“พิธีเลื่อนลำดับอัศวินที่ข้าเห็นจากศิลาเย้ยเทพ…จัดเตรียมแท่นบูชาที่ซับซ้อน วางซากสิ่งมีชีวิตทรงพลังหกศพที่ล่าด้วยตัวเองลงในตำแหน่งที่ถูกต้อง จากนั้นก็รับพรจากเทพ…”

“วัตถุดิบเสริมก็คือ…”

“ข้าไม่แน่ใจ…ประตูบานดังกล่าวไม่เคยเปิดออกนับตั้งแต่ท่านลอร์ดซาสเรียเข้าไป…”

ขณะตอบ ร่างวิญญาณของเมิร์สกอร์กอนสลายไปอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง จนกระทั่งมันมิอาจกล่าวคำใดได้อีก แปรสภาพกลายเป็นแสงสว่างและหลอมรวมเข้ากับ ‘แสงสนธยา’ ของราชาคนยักษ์

บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นภายใน ‘จิต’ จึงไม่มีใครได้ยิน

โชคดีที่เรารอบคอบ ไม่ได้ถามเมิร์สกอร์กอนเกี่ยวกับวัตถุดิบหลักของโอสถอัศวินสีเงิน เพราะตะกอนพลังสามารถทดแทนได้ทุกสิ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ยินคำตอบของคำถามที่สอง…เดอะฟูล ไคลน์ ผ่อนคลายเล็กน้อยพร้อมกับชมตัวเอง

มันสลัดความคิดและหันมาสนใจสิ่งที่เมิร์สกอร์กอนเพิ่งพูดจบ

พรจากเทพ? พิธีกรรมเลื่อนลำดับของอัศวินสีเงินยากเกินไปไหม นี่แค่ลำดับสามเองนะ…แต่ถ้าพิจารณาจากสภาพแวดล้อม เมิร์สกอร์กอนเป็นตัวตนทรงพลังที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สอง ในช่วงนั้นมักเรียกขานเทวทูตว่า ‘เทพรับใช้’ และจัดหมวดหมู่ให้อยู่กลุ่มเดียวกับทวยเทพ กล่าวคือ พรจากเทวทูตก็น่าจะเพียงพอ อา…แต่เราต้องทำนายยืนยันอีกครั้ง… แน่นอน ต่อให้พรจากเทวทูตใช้ได้ แต่เราก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี…ในเมืองเงินพิสุทธิ์น่าจะมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์อยู่ หากมันมีสัญญาณชีพและสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ล่ะก็…

จัดเตรียมแท่นบูชาที่ซับซ้อน…ซากสิ่งมีชีวิตทรงพลังซึ่งล่ามาด้วยตัวเองจำนวนหกศพ…หมายถึงสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพขึ้นไป? เป็นเงื่อนไขที่ยากมากสำหรับผู้วิเศษนอกดินแดนเทพทอดทิ้ง ตัวตนระดับครึ่งเทพล้วนสังกัดองค์กรและได้รับความคุ้มครอง…ดูเหมือนว่าโบสถ์เทพสงครามจะเลื่อนลำดับด้วยพิธีกรรมแบบอื่นซึ่งมีแก่นแท้ใกล้เคียงกัน…นี่คือความแตกต่างระหว่างศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกกับแผ่นที่สอง?

แต่สำหรับเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์รุ่นปัจจุบัน เขาคงเคยจัดการสัตว์ประหลาดไปแล้วไม่ต่ำกว่าหกตน…เงื่อนไขนี้ไม่น่าจะยาก…

จากข้อมูลปัจจุบัน ไคลน์สามารถยืนยันได้ว่า ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองปรากฏขึ้นหลังจากเทพสุริยันบรรพกาลร่วงหล่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศิลาเย้ยเทพที่ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนกำลังพูดถึง คือศิลาเย้ยเทพแผ่นแรก

มันเขียนวัตถุดิบเสริมและพิธีกรรมเลื่อนลำดับที่ตีความเองลงบนกระดาษหนังสัตว์ จากนั้นก็ใช้ลูกตุ้มทำนายยืนยัน ผลลัพธ์ยืนยันว่าไม่ผิด

ชายหนุ่มส่งข้อความดังกล่าวเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน

ของขวัญจากมิสเตอร์ฟูล…จัดการเสร็จ ไคลน์ยิ้มจิกกัดตัวเองก่อนจะหันมาสนใจคำตอบที่สองของเมิร์สกอร์กอน

อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าซาสเรียกำลังหลับใหลอยู่จริง เพียงยืนยันว่าประตูไม่ถูกเปิดออกแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากเทวทูตมืดเข้าไป

สิ่งเดียวที่ไม่ถูกเปิดคือประตู

การที่เทพปัญญาความรู้มอบกุญแจคนยักษ์ให้เรา และอาดัมมอบไม้กางเขนเจิดจรัสให้เรา เป็นเพราะพวกท่านต้องการยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเทวทูตมืด? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์รู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่พระผู้สร้างแท้จริงมิได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะหากอีกฝ่ายส่งจิตเข้ามาสนทนากับวิญญาณเมิร์สกอร์กอนเหมือนที่ตนทำ คงได้เผชิญหน้ากับเทวทูตกระดาษ

บรรยากาศคงกระอักกระอ่วนน่าดู

ในเวลาเดียวกัน เดอร์ริคลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด มันเสียเลือดมากเกินไปเพราะต้องพึ่งพาพลังของไม้กางเขนเป็นเวลานาน

มันเหลียวซ้ายแลขวา วางไม้กางเขนเจิดจรัสไว้ด้านหน้าพร้อมกับขอบคุณมิสเตอร์ฟูลจากก้นบึ้ง

พร้อมกันนั้น ฮาอิมวางค้อนเทพสายฟ้าคำรามลง รวมถึงอาวุธของตัวเอง ตามด้วยการถอดกระเป๋าหนังที่สะพายอยู่ ควานหาเสื้อผ้าและโยนให้เจ้าเมือง

สำหรับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ ตราบใดที่เสื้อผ้าและชุดเกราะไม่ใช่สมบัติวิเศษ การต่อสู้ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายทางเครื่องแต่งกาย ส่งผลให้ต้องพกเสื้อผ้าชุดใหม่ติดตัวตลอดเวลา

สำหรับพวกมัน หน้าที่หลักของเสื้อผ้าไม่ใช่การปกปิดความอับอาย แต่เป็นพื้นที่สำหรับพกพาวัสดุ ยาวิเศษ และยันต์

โคลิน·อีเลียดมองไปรอบตัวด้วยความระมัดระวัง เมื่อไม่พบอันตรายเพิ่มเติมจึงทำการสวมเสื้อผ้า จากนั้นก็มองหาขวดโลหะที่หล่นลงพื้นระหว่างการต่อสู้ หยิบมันขึ้นมาเปิดฝากระดกดื่ม

ใบหน้าของมันกลายเป็นสีเขียวคล้ำ คล้ายกับถูกพิษเล่นงาน แต่บาดแผลและความเสื่อมโทรมที่เกิดกับร่างกายเริ่มฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ

สำหรับโลเฟียร์ เธอมิอาจปล่อยแกะออกมากินหญ้าได้นานกว่านี้ อัศวินมายาเกราะเงินจึงกลับเข้าไปในตัว

เมื่อตะกอนพลังของเมิร์สกอร์กอนควบแน่นเป็นก้อนกลมคล้ายหัวใจหรือดวงอาทิตย์สีเงินย่อส่วน นักล่าปีศาจโคลินก้มเก็บเข้าไปในกระเป๋า พร้อมกับนั้น อาวุโสโลเฟียร์มองไปยังวังพำนักของราชาคนยักษ์ด้วยดวงตาสีเทาอ่อนและกล่าว

“ท่านเจ้าเมือง เส้นทางออกสู่ทะเลน่าจะซ่อนอยู่ภายในนั้น”

โลเฟียร์เว้นวรรคสองสามวินาทีก่อนจะเสริม

“บางที…อาจมีหนทางช่วยให้พวกเราไปถึงอีกฟากหนึ่งของทะเลในพริบตา”

โคลินส่ายหน้าขณะเฝ้ามองเดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือ เก็บกวาดสนามรบ หยิบสมบัติ และจัดการศพของแอนเทียน่า

“ด้านในมีเทวทูตมืดหลับใหลอยู่ ท่านอาจเป็นถึงราชาเทวทูต พวกเราไม่มีวันเอาชนะได้ด้วยพลังในปัจจุบัน การเผชิญหน้ากับท่านไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก…ก่อนอื่น พวกเราต้องกลับไปบอกกับทุกคนว่าได้เห็นอะไรบ้าง รวมถึงทะเล จากนั้นก็เตรียมตัวสำรวจวังพำนักของราชาคนยักษ์”

ผมสีเทาสว่างของโลเฟียร์ขยับเล็กน้อย สีหน้าแววตาค่อนข้างหม่นหมอง

“แต่พวกเราไม่มีข้อมูลด้านในเลย…มิอาจเตรียมตัวได้อย่าเหมาะสม”

กล่าวจบ เธอเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะพูดต่อ

“ฉันมีข้อเสนอ…ท่านเจ้าเมือง เดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือกลับไปก่อน ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปในวังและรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์…ฉันสามารถกลมกลืนไปกับเงา คงไม่ทำให้เทวทูตมืดตื่นขึ้น…แต่ถ้าฉันไม่ได้กลับไป แปลว่าอันตรายด้านในร้ายแรงเกินกว่าที่พวกเราจะรับมือไหว”

ขณะพูดว่าตนอาจต้องตาย สีหน้าโลเฟียร์มิได้แปรเปลี่ยน ประหนึ่งเตรียมใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว

นักล่าปีศาจโคลินฟังจนจบ จากนั้นก็จ้องหน้าหญิงสาว

“ไม่ได้…พวกเราแบกรับความเสี่ยงไม่ไหว…ถ้าคุณทำพลาดและปลุกให้เทวทูตมืดตื่นขึ้น ท่านอาจออกจากวังราชาคนยักษ์และโจมตีเมืองเงินพิสุทธิ์ นั่นจะหมายถึงจุดจบของทุกคน”

โดยไม่รอคำตอบจากโลเฟียร์ โคลินหันหน้าไปทางสมาชิกอีกสามคน

“เดอร์ริค คุณมีความเห็นอย่างไร”

ความคิดเห็นของเรา? เดอร์ริคมึนงงทันที เกือบจะโพล่งถามกลับ

ฮาอิมและอัศวินรุ่งอรุณอีกหนึ่งคนพลันประหลาดใจทันที เพราะหลังจากที่สองสภาอาวุโสคิดเห็นไม่ตรงกัน พวกท่านกลับเลือกจะขอความเห็นจากเดอร์ริค!

หรือว่าเจ้าเมืองคิดจะปลุกปั้นเดอร์ริคเป็นผู้นำสภาหกอาวุโสรุ่นถัดไป? พวกมันอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางนี้

…เขากำลังขอความเห็นจากเรา? เหนือสายหมอกสีเทา เดอะฟูล ไคลน์ขมวดคิ้ว

สมองเริ่มประมวลผลด้วยความเร็วสูง

เราควรแสดงความเห็นอย่างไร?

หากพวกเขาเปิดประตูและปลุกซาสเรียขึ้นมา เราคงช่วยอะไรไม่ได้เลย ทางรอดเดียวของพวกเขาคือการสวดวิงวอนถึงพระผู้สร้างแท้จริง!

ควรรอให้เราตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้นของเทวทูตมืดจากเทวทูตสีชาดและตัวตนอื่นเสียก่อน จากนั้นค่อยเปิดประตูก็ยังไม่สาย…สำหรับเรื่องนี้ คงไม่จำเป็นต้องถามความเห็นจากอาดัมและเทพปัญญาความรู้กระมัง…

ไม่ว่าจะมองมุมใด การตัดสินใจอย่างรอบคอบและไม่ประมาทคือตัวเลือกที่ดีที่สุด…

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์กล่าวเสียงขรึม

“กลับ”

มันบรรจุภาพดังกล่าวเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน

เดอร์ริคผงะสองสามวินาที ก่อนจะตอบคำถามเจ้าเมืองอย่างใจเย็น

“ผมคิดว่าพวกควรถอนตัวและกลับมาอีกครั้งเมื่อพร้อม”

โคลิน·อีเลียดพยักหน้าและหันไปหาโลเฟียร์

“ผมตัดสินใจแล้ว”

โลเฟียร์เงียบไปสักพัก

“ไม่คัดค้าน”

เธอมิได้กล่าวคำใด เพียงช่วยเดอร์ริคกับคนที่เหลือทำเครื่องหมายแจ้งเตือน

เนื่องจากแอนเทียน่าและคนอื่น ๆ ไม่ได้ตายด้วยฝีมือญาติร่วมสายเลือด จึงมีโอกาสเกิดความผิดปรกติในบริเวณที่เสียชีวิต ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์จำเป็นต้องทำเครื่องหมายแจ้งเตือนให้คนที่มาทีหลังระวังตัว แต่เนื่องจากวังราชาคนยักษ์ห่างไกลจากเมืองเงินพิสุทธิ์ค่อนข้างมาก ยากที่จะมีใครหลงเข้ามาโดยปราศจากข้อมูล จึงไม่ต้องกังวลกับปัญหามากนัก

ขณะทุกคนกำลังยุ่ง โลเฟียร์เงยหน้าพูดกับเดอร์ริคและฮาอิม

“ที่นี่คือวังราชาคนยักษ์ ไม่น่าจะมีความผิดปรกติเกินขึ้น”

เธอไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงเฝ้ามองซากแอนเทียน่าถูกเผาจนเกรียม ก่อนจะหยิบผงเถ้าถ่านของคนตายใส่กระเป๋าหนัง

หลังจากเก็บกวาดเสร็จ ทีมสำรวจค้นพบทางเดินใหม่ แต่ปลายทางคือความผิดหวัง

จากนั้น ภายใต้การนำของเจ้าเมืองโคลิน ทุกคนย้อนกลับทางเดิม

เมื่อผ่านอาคารที่ปราศจากประตู ซึ่งภายในมีภาพวาดสีน้ำมันและวงดนตรี เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะหันไปทางซากรั้วกั้นต้นใหญ่ มองดูเมฆสีส้มที่ลอยอยู่บนฟ้าไกลออกไป ฉากหลังเป็นทะเลสีครามที่มีคลื่นซัดสาด

เฝ้ามองสักพัก มันถอนสายตากลับและพบว่าดวงตาสีฟ้าอ่อนของเจ้าเมืองกำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน

โคลินหันหน้ากลับและกล่าวเสียงขรึม

“ไปกันเถอะ”

จากนั้น มันเดินตรงไปอย่างมั่นคงโดยไม่หันหลังกลับมามอง

………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset