เหนือสายหมอกสีเทา เมื่อเห็นผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนแก่ชราอย่างรวดเร็วและสลายไปจนเหลือเพียงกระดูก ไคลน์หวนนึกถึงโมเบธ เซียธาส รอนเซล และสโนวมันในตอนที่ออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’
ในตอนนั้น ไคลน์ช่วยทุกคนไว้ไม่ทัน ปัจจุบันก็เช่นกัน เนื่องจากหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาไม่เคยท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล ส่งผลให้ไคลน์จนปัญญาจะดึงเข้าสู่มิติหมอก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไคลน์ซึ่งถือคทาเทพสมุทรและมีอำนาจในการส่งพลังผ่าน ‘จุดแสงวิงวอน’ สามารถทำอะไรได้มากกว่าเดิมพอสมควร
มันรีบผสานเป็นหนึ่งเดียวกับไพ่จักรพรรดิมืด ระดมพลังของมิติหมอกและใช้เทวทูตกระดาษเป็นภาชนะบรรจุคำพูดของตน จากนั้นก็อาศัยดาวแดงเป็นประตูสู่โลกความจริง เล็งส่งเทวทูตกระดาษไปยังร่างวิญญาณของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน
นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในกรณีที่ไคลน์ไม่ต้องการสูญเสียความน่าเกรงขามของเดอะฟูล แม้ว่าพระผู้สร้างแท้จริงจะเฝ้ามองอยู่ก็ตาม
ขณะสติของเมิร์สกอร์กอนกำลังเลือนรางสุดขีด เทวทูตปีกดำหลายชั้นปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า
ร่างวิญญาณของมันเริ่มสลายตัวช้าลง ตามด้วยเสียงที่น่าเกรงขามและสง่างามดังกังวาน
“พิธีกรรมและวัตถุดิบเสริมของโอสถอัศวินสีเงินมีอะไรบ้าง”
“ซาสเรียหลับใหลอยู่ในวังพำนักของราชาคนยักษ์จริงหรือ”
เมิร์สกอร์กอนตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“พิธีเลื่อนลำดับอัศวินที่ข้าเห็นจากศิลาเย้ยเทพ…จัดเตรียมแท่นบูชาที่ซับซ้อน วางซากสิ่งมีชีวิตทรงพลังหกศพที่ล่าด้วยตัวเองลงในตำแหน่งที่ถูกต้อง จากนั้นก็รับพรจากเทพ…”
“วัตถุดิบเสริมก็คือ…”
“ข้าไม่แน่ใจ…ประตูบานดังกล่าวไม่เคยเปิดออกนับตั้งแต่ท่านลอร์ดซาสเรียเข้าไป…”
ขณะตอบ ร่างวิญญาณของเมิร์สกอร์กอนสลายไปอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง จนกระทั่งมันมิอาจกล่าวคำใดได้อีก แปรสภาพกลายเป็นแสงสว่างและหลอมรวมเข้ากับ ‘แสงสนธยา’ ของราชาคนยักษ์
บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นภายใน ‘จิต’ จึงไม่มีใครได้ยิน
โชคดีที่เรารอบคอบ ไม่ได้ถามเมิร์สกอร์กอนเกี่ยวกับวัตถุดิบหลักของโอสถอัศวินสีเงิน เพราะตะกอนพลังสามารถทดแทนได้ทุกสิ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ยินคำตอบของคำถามที่สอง…เดอะฟูล ไคลน์ ผ่อนคลายเล็กน้อยพร้อมกับชมตัวเอง
มันสลัดความคิดและหันมาสนใจสิ่งที่เมิร์สกอร์กอนเพิ่งพูดจบ
พรจากเทพ? พิธีกรรมเลื่อนลำดับของอัศวินสีเงินยากเกินไปไหม นี่แค่ลำดับสามเองนะ…แต่ถ้าพิจารณาจากสภาพแวดล้อม เมิร์สกอร์กอนเป็นตัวตนทรงพลังที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยที่สอง ในช่วงนั้นมักเรียกขานเทวทูตว่า ‘เทพรับใช้’ และจัดหมวดหมู่ให้อยู่กลุ่มเดียวกับทวยเทพ กล่าวคือ พรจากเทวทูตก็น่าจะเพียงพอ อา…แต่เราต้องทำนายยืนยันอีกครั้ง… แน่นอน ต่อให้พรจากเทวทูตใช้ได้ แต่เราก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี…ในเมืองเงินพิสุทธิ์น่าจะมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์อยู่ หากมันมีสัญญาณชีพและสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ล่ะก็…
จัดเตรียมแท่นบูชาที่ซับซ้อน…ซากสิ่งมีชีวิตทรงพลังซึ่งล่ามาด้วยตัวเองจำนวนหกศพ…หมายถึงสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพขึ้นไป? เป็นเงื่อนไขที่ยากมากสำหรับผู้วิเศษนอกดินแดนเทพทอดทิ้ง ตัวตนระดับครึ่งเทพล้วนสังกัดองค์กรและได้รับความคุ้มครอง…ดูเหมือนว่าโบสถ์เทพสงครามจะเลื่อนลำดับด้วยพิธีกรรมแบบอื่นซึ่งมีแก่นแท้ใกล้เคียงกัน…นี่คือความแตกต่างระหว่างศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกกับแผ่นที่สอง?
แต่สำหรับเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์รุ่นปัจจุบัน เขาคงเคยจัดการสัตว์ประหลาดไปแล้วไม่ต่ำกว่าหกตน…เงื่อนไขนี้ไม่น่าจะยาก…
จากข้อมูลปัจจุบัน ไคลน์สามารถยืนยันได้ว่า ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองปรากฏขึ้นหลังจากเทพสุริยันบรรพกาลร่วงหล่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศิลาเย้ยเทพที่ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนกำลังพูดถึง คือศิลาเย้ยเทพแผ่นแรก
มันเขียนวัตถุดิบเสริมและพิธีกรรมเลื่อนลำดับที่ตีความเองลงบนกระดาษหนังสัตว์ จากนั้นก็ใช้ลูกตุ้มทำนายยืนยัน ผลลัพธ์ยืนยันว่าไม่ผิด
ชายหนุ่มส่งข้อความดังกล่าวเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน
ของขวัญจากมิสเตอร์ฟูล…จัดการเสร็จ ไคลน์ยิ้มจิกกัดตัวเองก่อนจะหันมาสนใจคำตอบที่สองของเมิร์สกอร์กอน
อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าซาสเรียกำลังหลับใหลอยู่จริง เพียงยืนยันว่าประตูไม่ถูกเปิดออกแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากเทวทูตมืดเข้าไป
สิ่งเดียวที่ไม่ถูกเปิดคือประตู
การที่เทพปัญญาความรู้มอบกุญแจคนยักษ์ให้เรา และอาดัมมอบไม้กางเขนเจิดจรัสให้เรา เป็นเพราะพวกท่านต้องการยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเทวทูตมืด? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์รู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่พระผู้สร้างแท้จริงมิได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะหากอีกฝ่ายส่งจิตเข้ามาสนทนากับวิญญาณเมิร์สกอร์กอนเหมือนที่ตนทำ คงได้เผชิญหน้ากับเทวทูตกระดาษ
บรรยากาศคงกระอักกระอ่วนน่าดู
ในเวลาเดียวกัน เดอร์ริคลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด มันเสียเลือดมากเกินไปเพราะต้องพึ่งพาพลังของไม้กางเขนเป็นเวลานาน
มันเหลียวซ้ายแลขวา วางไม้กางเขนเจิดจรัสไว้ด้านหน้าพร้อมกับขอบคุณมิสเตอร์ฟูลจากก้นบึ้ง
พร้อมกันนั้น ฮาอิมวางค้อนเทพสายฟ้าคำรามลง รวมถึงอาวุธของตัวเอง ตามด้วยการถอดกระเป๋าหนังที่สะพายอยู่ ควานหาเสื้อผ้าและโยนให้เจ้าเมือง
สำหรับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ ตราบใดที่เสื้อผ้าและชุดเกราะไม่ใช่สมบัติวิเศษ การต่อสู้ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายทางเครื่องแต่งกาย ส่งผลให้ต้องพกเสื้อผ้าชุดใหม่ติดตัวตลอดเวลา
สำหรับพวกมัน หน้าที่หลักของเสื้อผ้าไม่ใช่การปกปิดความอับอาย แต่เป็นพื้นที่สำหรับพกพาวัสดุ ยาวิเศษ และยันต์
โคลิน·อีเลียดมองไปรอบตัวด้วยความระมัดระวัง เมื่อไม่พบอันตรายเพิ่มเติมจึงทำการสวมเสื้อผ้า จากนั้นก็มองหาขวดโลหะที่หล่นลงพื้นระหว่างการต่อสู้ หยิบมันขึ้นมาเปิดฝากระดกดื่ม
ใบหน้าของมันกลายเป็นสีเขียวคล้ำ คล้ายกับถูกพิษเล่นงาน แต่บาดแผลและความเสื่อมโทรมที่เกิดกับร่างกายเริ่มฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ
สำหรับโลเฟียร์ เธอมิอาจปล่อยแกะออกมากินหญ้าได้นานกว่านี้ อัศวินมายาเกราะเงินจึงกลับเข้าไปในตัว
เมื่อตะกอนพลังของเมิร์สกอร์กอนควบแน่นเป็นก้อนกลมคล้ายหัวใจหรือดวงอาทิตย์สีเงินย่อส่วน นักล่าปีศาจโคลินก้มเก็บเข้าไปในกระเป๋า พร้อมกับนั้น อาวุโสโลเฟียร์มองไปยังวังพำนักของราชาคนยักษ์ด้วยดวงตาสีเทาอ่อนและกล่าว
“ท่านเจ้าเมือง เส้นทางออกสู่ทะเลน่าจะซ่อนอยู่ภายในนั้น”
โลเฟียร์เว้นวรรคสองสามวินาทีก่อนจะเสริม
“บางที…อาจมีหนทางช่วยให้พวกเราไปถึงอีกฟากหนึ่งของทะเลในพริบตา”
โคลินส่ายหน้าขณะเฝ้ามองเดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือ เก็บกวาดสนามรบ หยิบสมบัติ และจัดการศพของแอนเทียน่า
“ด้านในมีเทวทูตมืดหลับใหลอยู่ ท่านอาจเป็นถึงราชาเทวทูต พวกเราไม่มีวันเอาชนะได้ด้วยพลังในปัจจุบัน การเผชิญหน้ากับท่านไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก…ก่อนอื่น พวกเราต้องกลับไปบอกกับทุกคนว่าได้เห็นอะไรบ้าง รวมถึงทะเล จากนั้นก็เตรียมตัวสำรวจวังพำนักของราชาคนยักษ์”
ผมสีเทาสว่างของโลเฟียร์ขยับเล็กน้อย สีหน้าแววตาค่อนข้างหม่นหมอง
“แต่พวกเราไม่มีข้อมูลด้านในเลย…มิอาจเตรียมตัวได้อย่าเหมาะสม”
กล่าวจบ เธอเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะพูดต่อ
“ฉันมีข้อเสนอ…ท่านเจ้าเมือง เดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือกลับไปก่อน ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปในวังและรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์…ฉันสามารถกลมกลืนไปกับเงา คงไม่ทำให้เทวทูตมืดตื่นขึ้น…แต่ถ้าฉันไม่ได้กลับไป แปลว่าอันตรายด้านในร้ายแรงเกินกว่าที่พวกเราจะรับมือไหว”
ขณะพูดว่าตนอาจต้องตาย สีหน้าโลเฟียร์มิได้แปรเปลี่ยน ประหนึ่งเตรียมใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว
นักล่าปีศาจโคลินฟังจนจบ จากนั้นก็จ้องหน้าหญิงสาว
“ไม่ได้…พวกเราแบกรับความเสี่ยงไม่ไหว…ถ้าคุณทำพลาดและปลุกให้เทวทูตมืดตื่นขึ้น ท่านอาจออกจากวังราชาคนยักษ์และโจมตีเมืองเงินพิสุทธิ์ นั่นจะหมายถึงจุดจบของทุกคน”
โดยไม่รอคำตอบจากโลเฟียร์ โคลินหันหน้าไปทางสมาชิกอีกสามคน
“เดอร์ริค คุณมีความเห็นอย่างไร”
ความคิดเห็นของเรา? เดอร์ริคมึนงงทันที เกือบจะโพล่งถามกลับ
ฮาอิมและอัศวินรุ่งอรุณอีกหนึ่งคนพลันประหลาดใจทันที เพราะหลังจากที่สองสภาอาวุโสคิดเห็นไม่ตรงกัน พวกท่านกลับเลือกจะขอความเห็นจากเดอร์ริค!
หรือว่าเจ้าเมืองคิดจะปลุกปั้นเดอร์ริคเป็นผู้นำสภาหกอาวุโสรุ่นถัดไป? พวกมันอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางนี้
…เขากำลังขอความเห็นจากเรา? เหนือสายหมอกสีเทา เดอะฟูล ไคลน์ขมวดคิ้ว
สมองเริ่มประมวลผลด้วยความเร็วสูง
เราควรแสดงความเห็นอย่างไร?
หากพวกเขาเปิดประตูและปลุกซาสเรียขึ้นมา เราคงช่วยอะไรไม่ได้เลย ทางรอดเดียวของพวกเขาคือการสวดวิงวอนถึงพระผู้สร้างแท้จริง!
ควรรอให้เราตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้นของเทวทูตมืดจากเทวทูตสีชาดและตัวตนอื่นเสียก่อน จากนั้นค่อยเปิดประตูก็ยังไม่สาย…สำหรับเรื่องนี้ คงไม่จำเป็นต้องถามความเห็นจากอาดัมและเทพปัญญาความรู้กระมัง…
ไม่ว่าจะมองมุมใด การตัดสินใจอย่างรอบคอบและไม่ประมาทคือตัวเลือกที่ดีที่สุด…
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์กล่าวเสียงขรึม
“กลับ”
มันบรรจุภาพดังกล่าวเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน
เดอร์ริคผงะสองสามวินาที ก่อนจะตอบคำถามเจ้าเมืองอย่างใจเย็น
“ผมคิดว่าพวกควรถอนตัวและกลับมาอีกครั้งเมื่อพร้อม”
โคลิน·อีเลียดพยักหน้าและหันไปหาโลเฟียร์
“ผมตัดสินใจแล้ว”
โลเฟียร์เงียบไปสักพัก
“ไม่คัดค้าน”
เธอมิได้กล่าวคำใด เพียงช่วยเดอร์ริคกับคนที่เหลือทำเครื่องหมายแจ้งเตือน
เนื่องจากแอนเทียน่าและคนอื่น ๆ ไม่ได้ตายด้วยฝีมือญาติร่วมสายเลือด จึงมีโอกาสเกิดความผิดปรกติในบริเวณที่เสียชีวิต ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์จำเป็นต้องทำเครื่องหมายแจ้งเตือนให้คนที่มาทีหลังระวังตัว แต่เนื่องจากวังราชาคนยักษ์ห่างไกลจากเมืองเงินพิสุทธิ์ค่อนข้างมาก ยากที่จะมีใครหลงเข้ามาโดยปราศจากข้อมูล จึงไม่ต้องกังวลกับปัญหามากนัก
ขณะทุกคนกำลังยุ่ง โลเฟียร์เงยหน้าพูดกับเดอร์ริคและฮาอิม
“ที่นี่คือวังราชาคนยักษ์ ไม่น่าจะมีความผิดปรกติเกินขึ้น”
เธอไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงเฝ้ามองซากแอนเทียน่าถูกเผาจนเกรียม ก่อนจะหยิบผงเถ้าถ่านของคนตายใส่กระเป๋าหนัง
หลังจากเก็บกวาดเสร็จ ทีมสำรวจค้นพบทางเดินใหม่ แต่ปลายทางคือความผิดหวัง
จากนั้น ภายใต้การนำของเจ้าเมืองโคลิน ทุกคนย้อนกลับทางเดิม
เมื่อผ่านอาคารที่ปราศจากประตู ซึ่งภายในมีภาพวาดสีน้ำมันและวงดนตรี เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะหันไปทางซากรั้วกั้นต้นใหญ่ มองดูเมฆสีส้มที่ลอยอยู่บนฟ้าไกลออกไป ฉากหลังเป็นทะเลสีครามที่มีคลื่นซัดสาด
เฝ้ามองสักพัก มันถอนสายตากลับและพบว่าดวงตาสีฟ้าอ่อนของเจ้าเมืองกำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน
โคลินหันหน้ากลับและกล่าวเสียงขรึม
“ไปกันเถอะ”
จากนั้น มันเดินตรงไปอย่างมั่นคงโดยไม่หันหลังกลับมามอง
………………………..