ยามราตรีบนท่าเรือพริสต์ ในสุสานย่านชานเมือง
บรรดาเหยื่อที่เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดของเรือเหาะจะถูกนำร่างมาไว้ที่นี่ โดยมีนักบวชและบิชอปของสามโบสถ์หลักกำลังยุ่งอยู่กับการปลอบดวงวิญญาณคนตายและป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
ภายในวันสั้นๆ เพียงหนึ่งวัน ภรรยาหลายคนต้องสูญเสียสามี บุตรหลายคนต้องสูญเสียมารดา หลายครอบครัวเหลือสมาชิกเพียงคนเดียว ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้กำลังเดินเตร็ดเตร่ในสุสาน บางคนเงียบขรึม บางคนหลั่งน้ำตา บางคนร้องไห้จนหมดสติ
ไคลน์ที่สวมใบหน้าดาษดื่นยืนปะปนกับฝูงชน เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบงัน ทำเอานึกถึงงานศพที่มันเคยเข้าร่วม
ในช่วงก่อนหน้านี้ อาศัยประโยชน์จากความมืด ชายหนุ่มตระเวนใช้ไม้เท้าแห่งชีวิตรักษาเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ ในกรุงเบ็คลันด์และท่าเรือพริสต์ ขณะเดียวกันก็ทิ้งตำนานสุดสยองขวัญและน่าสะพรึงเอาไว้เพื่อย่อยโอสถจอมเวทพิสดาร
มันทราบดี หากเรื่องราวสุดประหลาดข้างต้นแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ซาราธซึ่งอยู่ในเบ็คลันด์จะทราบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและรีบส่งหุ่นเชิดไปตรวจสอบ ดังนั้น ก่อนที่ข่าวจะแพร่กระจาย ไคลน์รีบใช้เทเลพอร์ตเพื่อย้ายตำแหน่งตัวเองไปทุกโรงพยาบาล สร้างเรื่องราวสยองขวัญประเภทต่างๆ พลางรักษาผู้ป่วยหนัก
ทันทีข่าวลือแพร่กระจายออกไป มันเชื่อว่าผลตอบรับอันล้นหลามจะช่วยให้การย่อยโอสถมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด
แต่ไคลน์ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ความจริงที่ว่า ในกรุงเบ็คลันด์ยังมีการวางแผนชั่วของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด รวมไปถึงซาราธ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นใบมีดที่ถูกแขวนไว้เหนือศีรษะชายหนุ่ม พวกมันคอยผลักดันให้ไคลน์มองหาโอกาสใหม่ๆ ตลอดเวลา
ด้วยเหตุผลข้างตน มันตัดสินใจแวะมาดูความโศกเศร้าของผู้คน
หลังจากเงียบงันสักพัก ไคลน์ถอนสายตากลับ หันหลังและเดินออกจากสุสาน
เมื่อถึงจุดปลอดคน ถุงมือข้างซ้ายเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มและมีเกล็ดปลาปกคลุม
สายลมกระโชกพัดพาไคลน์ลอยขึ้นไปในอากาศจนถึงท่าเรือ
บนผิวทะเลในจุดที่ห่างออกไปไกล กองเรือโซเนียของฟุซัคกำลังจอดทอดสมออย่างเงียบเชียบ คล้ายกับกำลังเติมกระสุนเพื่อเตรียมถล่มอู่ต่อเรือที่ยังหลงเหลือบนชายฝั่ง
ใช้เวลาไม่นาน ไคลน์มาถึงเขตซากปรักหักพังบนท่าเรือ สายตากวาดมองไฟสลัวยามค่ำคืนอันมืดมิด
พร้อมกันนั้น หุ่นเชิดทั้งสองของชายหนุ่มใช้พลังกระโจนเพลิงเพื่อลงไปด้านล่าง แยกย้ายไปตามจุดอับสายตา
ฉากที่ได้เห็นและได้ยินเมื่อครู่ทำให้ไคลน์ไม่ลังเลเกี่ยวกับสิ่งที่ตนต้องกระทำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสับสนอยู่เล็กน้อย
การตอบโต้ผู้บุกรุกถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถ้ากองเรือของฟุซัคได้รับความเสียหายหนัก ฝ่ายที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้นจอร์จที่สามแห่งโลเอ็น ชายผู้อยู่เบื้องหลังสงคราม หนึ่งในตัวการใหญ่!
โลกที่เต็มไปด้วยหลักการใบนี้ หากได้สัมผัสอย่างถ่องแท้จะพบว่า ในบางครั้ง การไม่ทำอะไรเลยคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่นั่นกลับทำให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยความขัดแย้ง… ไคลน์ถอนหายใจพลางนึกทบทวนข้อมูลจากแฮงแมน:
ผู้บัญชาการกองเรือโซเนียของจักรวรรดิฟุซัคมีนามว่า พลเรือเอกอีกอร์·ไอน์ฮอร์น ครึ่งเทพที่เกิดในราชวงศ์ ลำดับปัจจุบันคือ ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ ลำดับ 4 แห่งเส้นทางนักบวชสีชาด!
ด้วยข้อมูลดังกล่าว ไคลน์นึกทบทวนรายละเอียดและประเด็นสำคัญด้านอื่นจากไพ่นักบวชสีชาด:
อัศวินเลือดเหล็กสามารถเปลี่ยนสตรีให้เป็นบุรุษซึ่งมีความกล้าหาญดุจดังเหล็กกล้า ไม่เพียงแต่จะใช้เปลวไฟได้หลากหลาย แต่ยังชำนาญจนถูกยกย่องให้เป็นเลิศในด้านดังกล่าว ทำได้แม้กระทั่งการสร้างเหล็กกล้าจากไฟ…
…
บน ‘นีโพส’ เรือธงของกองเรือโซเนียแห่งฟุซัค
อีกอร์·ไอน์ฮอร์นผู้มีร่างกายกำยำ สูงกว่าสองเมตร หนวดเคราดกหนารอบริมฝีปาก กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะทำงานพร้อมกับกางแผนที่ จิบไวน์เลือดโซเนียและวางแผนขั้นตอนถัดไป
หลังจากรุ่งสาง กองเรือเหาะของโลเอ็นจะลงมือโจมตี… และเรือรบหุ้มเกราะ ‘พริสต์’ กับกองเรือคุ้มกันก็จะกลับมาถึงในอีกไม่ช้า หากเรายังปักหลักอยู่ที่นี่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…
แม้ว่าเราจะเป็นอัศวินเลือดเหล็กที่สามารถรวบรวมพลังโจมตีจากทั้งกองเรือมาไว้กับตัว รวมถึงกระจายความเสียหายที่ได้รับออกไปหาทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่ผู้บัญชาการกองเรือรบหุ้มเกราะน่าจะเป็นครึ่งเทพเส้นทางผู้ตัดสิน หรือไม่ก็พกพาสมบัติปิดผนึกของเส้นทางดังกล่าว การรับมือไม่ใช่เรื่องง่าย… หากประมาท อีกฝ่ายจะฉวยโอกาสจากความเร็วของเรือและอาวุธที่ล้ำสมัยบนเรือ…
การถอยคือทางเลือกที่ดีที่สุด จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากความบอบช้ำของกองทัพเรือโลเอ็นและการขาดแคลนกำลังพล ลอบโจมตีท่าเรือชายฝั่งแห่งอื่นๆ ต่อไป…
หึหึ… ไม่มีสถานการณ์ใดเหมาะแก่การย่อยโอสถไปมากกว่าสงครามอีกแล้ว…
น่าเสียดายที่เรายังไม่กลายเป็นนักบวชสงครามก่อนศึกจะเริ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจได้เป็นถึงเทวทูตทันทีที่สงครามจบลง… เฮ้อ… มีเพียงนักบวชสงครามเท่านั้นจึงจะใช้ประโยชน์จากกองทัพได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แตกต่างจากเราที่ทำได้แค่รวบรวมพลังมาไว้กับตัวเอง…
ท่ามกลางกระแสความคิด อีกอร์·ไอน์ฮอร์นเตรียมใช้พลังของอัศวินเลือดเหล็กติดต่อกับ ‘ทหารใต้บังคับบัญชา’ เพื่อแจ้งให้อีกฝ่ายช่วยเรียกรองกัปตันมาเข้าพบ เตรียมปรึกษาเกี่ยวกับการออกคำสั่งล่าถอยยามค่ำคืน
ทันใดนั้น มันหันไปมองทางประตู
ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดังกังวานภายในห้องที่เงียบสงบ
สัญญาณเตือนก่อนลงมือโจมตี… ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในหัวอีกอร์ สติของมันเต็มไปด้วยความเครียดในพริบตา
ในศึกระหว่างครึ่งเทพ ไม่ว่าจะเป็นการวางกับดัก ลอบจู่โจม หรือโจมตีทีเผลอล้วนเป็นเทคนิคสำคัญในการเปิดศึก ช่วยให้เอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือใกล้เคียงกันได้ง่ายขึ้นมาก ไม่อย่างนั้นโอกาสสำเร็จจะริบหรี่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การจงใจส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าคือเครื่องพิสูจน์ว่า ฝ่ายโจมตีมีระดับหรือความแข็งแกร่งสูงกว่าเหยื่อมาก
ในฐานะอัศวินเลือดเหล็กมากประสบการณ์ อีกอร์คำนึงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด รีบปลุกลูกเรือและทหารทั้งหมดบนนีโพสที่มีสายสัมพันธ์ ‘เชื่อมต่อ’ อยู่กับตน
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้น
ปัง!
การเคาะประตูในหนนี้ดังอึกทึกราวกับเสียงปืนใหญ่คำราม ทำเอาอีกอร์รู้สึกเหมือนกับมีระเบิดดังขึ้นข้างหู
ท่ามกลางสติที่ตึงเครียดและการตั้งใจฟังเสียงสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด เสียงระเบิดเมื่อครู่ไม่ต่างอะไรกับการคำรามจาก ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ !
เพียงพริบตา อีกอร์หูดับและเริ่มวิงเวียนศีรษะ
มันรีบกระจายความเสียหาย ส่งผลให้ทุกคนบนเรือนีโพสออกอาการหูอื้อเล็กน้อย
ทันทีหลังจากนั้น อีกอร์คว้าปากกาบนโต๊ะพร้อมกับโยนไปทางประตู
ปากกาสีแดงเข้มแท่งนี้สร้างภาพตกค้างขณะลอยกลางอากาศ ประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงจากปากกระบอก
สำหรับอัศวินเลือดเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุธรรมดาเพียงใด ทุกสิ่งสามารถกลายเป็นอาวุธสังหารที่น่าสะพรึงได้ด้วยการเสริมพลังจากตน!
ปัง!
ประตูห้องที่ถูก ‘ยิง’ ด้วยปากกาหมึกซึมพลันอ้ากว้าง เผยให้เห็นร่างผู้เคาะประตูที่ยืนอยู่บนทางเดิน
อีกฝ่ายเป็นชายสวมเสื้อกันลมสีดำ ร่างกายบางราวกับกระดาษ ใบหน้าปราศจากอวัยวะทุกชนิด
ในเวลาเดียวกัน ปากกาหมึกซึมระเบิดออก สะเก็ดกระจายไปทุกทิศราวกับปืนกล กวาดร่างที่เคาะประตูอย่างท่วมท้น ฉีกกระชากให้กลายเป็นเศษเนื้อบด
อีกอร์ยังไม่ผ่อนคลาย เพียงยืนขึ้นและมองไปรอบตัวด้วยความระมัดระวัง
มันมั่นใจว่าผู้เคาะประตูตัวจริงยังไม่ ‘ปรากฏ’ ออกมา!
ในเวลาเดียวกัน รองกัปตันที่อยู่ในห้องฝั่งตรงข้าม เปิดประตูและวิ่งออกมาเห็นกองเลือดเนื้อนองบนพื้น จึงถามด้วยความฉงน
“ท่านนายพล… เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้บุกรุก…” ยังไม่ทันสิ้นเสียง อีกอร์รีบจ้องไปทางรองกัปตัน
รองกัปตันถอนสายตาออกจากก้อนเลือดบนพื้นและบรรจงเงยหน้าขึ้น
ใบหน้าของมันปราศจากคิ้ว ดวงตา จมูก ปาก ทุกสิ่งว่างเปล่าเหมือนกับคนเคาะประตูเมื่อครู่
หัวใจอีกอร์พลันเต้นระรัว ร่างกายของมันลุกโชนด้วยเปลวไฟ กลายเป็นเพลิงที่ยิงออกไปในทุกทิศ
หลังจากเปลวเพลิงสีแดงเหลืองหายไปจากจุดเดิม พวกมันพุ่งเข้าไปล้อมรองกัปตันด้วยความเร็วสูง
เพียงพริบตา เปลวไฟเริ่มมอดลงพร้อมกับร่างของรองกัปตันที่ไหม้เกรียม
เมื่อสายลมเย็นพัดผ่าน เถ้าถ่านจากศพรองกัปตัน ปลิวไสวไปตามแรงแรงลม
เปลวไฟยังไม่หายไปโดยสมบูรณ์ แต่พุ่งออกมายังดาดฟ้าเรือและรวมตัวกลายเป็นอีกอร์ร่างบึกบึนกลางอากาศ
ทันใดนั้น มันเห็นกลุ่มนกทะเลกำลังโบยบิน ทุกตัวมีหัวเป็นมนุษย์ แต่ปราศจากใบหน้าและศีรษะล้าน!
อีกอร์ครางต่ำในลำคอ เปลวเพลิงรอบตัวถูกระดมยิงใส่ฝูงนกทะเลพิสดารด้วยความเร็วสูง
ทันใดนั้นเอง มันได้ยินเสียงโลหะเสียดสี จึงมองหาต้นตอโดยอาศัย ‘ดวงตา’ ของทหารที่เชื่อมต่อ
จนกระทั่งพบแหล่งที่มาของเสียง ร่างกายอีกอร์พลันเย็นเยียบ ความสยองขวัญและสั่นสะท้านถาโถมเข้าใส่จิตใจอย่างมิอาจต้านทาน
บนเรือประจัญบานลำหนึ่งของกองเรือโซเนีย ปืนใหญ่ทุกกระบอกกำลังขยับเขยื้อนด้วยตัวเองราวกับมีชีวิต!
ทุกกระบอกแหงนขึ้นมายังกลางอากาศโดยพร้อมเพรียง
กระสุนปืนใหญ่บรรจงลอยเข้าไปในปากกระบอกด้วยความกระฉับกระเฉง
ปัง! ปัง! ปัง!
ในวินาทีที่กระสุนถูกยิง พวกมันถูกทำลายด้วยเปลวไฟจำนวนมากที่พุ่งเป็นวิถีโค้งจากทิศทางแตกต่าง ปะทะกับกระสุนปืนใหญ่กลางอากาศจนเกิดระเบิด
อาศัยโอกาสดังกล่าว อีกอร์เอ่ยพระนามเต็มของ ‘ผู้บัญชาการสูงสุด’ แห่งสมรภูมิโซเนีย จอมอาคมฟ้าดินจากราชวงศ์
“เจ้าแห่งหมอกสนามรบ สัญลักษณ์แห่งความผันผวนของอากาศ ท่านมหาอัคห์มาโทว่า·ไอน์ฮอร์น…”
นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การสังหารครึ่งเทพในระดับใกล้เคียงกันเป็นเรื่องยาก พวกมันมองหาความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา
แต่แน่นอน จุดประสงค์หลักของผู้โจมตีอย่างไคลน์มีเพียงการสร้างฉากสยองขวัญเพื่อทำให้ครึ่งเทพหวาดกลัวโดยไม่คิดเรื่องการเอาชนะ ความปรารถนาของมันไม่มากไปกว่าการย่อยโอสถ
ได้เห็นฉากตรงหน้า ชายหนุ่มรีบซ่อนตัวใต้น้ำ และเนื่องจากบรรลุจุดประสงค์เรียบร้อย ไคลน์ทำการสลับตำแหน่งร่างต้นกับหุ่นเชิดโจนาสและเอ็นยูน จากนั้นก็เทเลพอร์ตออกมา
อย่างไรก็ตาม อีกอร์มิได้คล้ายความกังวลลง สติของมันยังคงจดจ่ออยู่กับการป้องกันภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
จนกระทั่งเทวทูตตอบสนอง มันจึงโล่งใจอย่างแท้จริง
ถัดมา อีกอร์ไม่ปล่อยให้กองเรือแช่อยู่นาน รีบออกคำสั่งถอนตัวออกจากน่านน้ำโดยทิ้งให้เรือประจัญบานลำที่กลายเป็นตำนานสยองขวัญ ลอยเท้งเต้งอยู่ในจุดเกิดเหตุตามลำพัง
ผ่านไปสักพัก นกทะเลตัวหนึ่งบินลงมาเกาะเสากระโดงเรือประจัญบานที่ถูกทิ้งให้เงียบสงัด
ใต้ตาของนกทะเลตัวนี้มีรอยหมองคล้ำ มันเหลียวซ้ายแลขวาและพูดภาษามนุษย์
“ข้าได้กลิ่นครึ่งเทพเส้นทางนักทำนาย…”
………………………………….