เฮเซลตาค้างทันที รู้สึกคล้ายกับภายในหัวมีบางสิ่งกำลังขยายออก พยายามฉีกทำลายบาเรียล่องหนและพรั่งพรูออกมา
เธอรีบมองไปทางอื่นตามสัญชาตญาณและขดตัวสั่น
จากนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ว่า ภายในส่วนลึกของจิตใจมีแสงหนึ่งสว่างขึ้น ระเบิดออกพร้อมกับเศษเสี้ยวความทรงจำ
เธอจดจำได้ว่า มีเหตุการณ์ใดบ้างเกิดขึ้นในวันนั้น ยังไม่ลืมว่าบิดา มารดา สาวใช้ และคนใช้ชายต่างสวมแว่นตาขาเดียวหรือไม่ก็พยายามจับตาข้างขวา ความสยดสยองอันยากจะอธิบายผุดขึ้นอย่างคมชัดราวกับถูกสลักลงบนกระดูก
สีหน้าเฮเซลบิดเบี้ยวทันที ร่างกายห่อตัวประหนึ่งลูกบอล สั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม สาวใช้บนรถม้าต่างพากันผงะ รีบลุกขึ้นและเอื้อมมือเข้าหา พยายามพยุงให้คุณหนูของตนลุกขึ้นยืน
“ไม่!” เฮเซลที่ตัวสั่น ตะโกนด้วยเสียงที่เกือบจะแหลมเล็ก
สาวใช้ตกใจกลัวและยืนแข็งทื่อ ทำตัวไม่ถูกไปสักพัก
หลังจากตะโกน เฮเซลผ่อนคลายลงมาก รีบลุกขึ้นนั่งด้วยความเยือกเย็น มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างหวาดกลัว พบว่าบุรุษไปรษณีย์ที่สวมแว่นตาขาเดียวเลี้ยวจักรยานเข้าไปในถนนอีกเส้น มองเห็นเพียงแผ่นหลัง
“ฉ…ฉันแค่รู้สึกไม่ดีนิดหน่อย ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” เฮเซลหันหน้ามาพูดกับสาวใช้อย่างยากลำบาก
เธอพบว่าตัวเองไม่ได้กลัวอย่างที่คิด คล้ายกับปรับตัวได้สักพักแล้ว สามารถยอมรับสถานการณ์ได้ดีกว่าในช่วงแรก
ไม่อย่างนั้นเราคงคลุ้มคลั่งไปแล้ว…แต่ทำไมเราถึงใช้คำว่า ‘คลุ้มคลั่ง’ …โชคดีที่เคยลืมความทรงจำเหล่านี้ไป ในตอนที่เห็นบุรุษไปรษณีย์ ต้องใช้เวลาเกือบสิบวินาทีจึงค่อยสติแตก ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงสังเกตเห็นความผิดปรกติ…ความคิดมากมายถาโถมเฮเซล อดไม่ได้ที่จะสั่นระริกแผ่วเบา
“คุณหนู ไปคลินิกไหมคะ?” สาวใช้รีบถาม
เฮเซลส่ายหน้าตามจิตใต้สำนึก กล่าวเสียงเรียบด้วยจิตใจที่ว่าวุ่น
“แวะไปที่ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ก่อน ฉันจำได้ว่าใกล้ ๆ ที่นั่นมีคลินิก”
“ค่ะ” สาวใช้หันไปบอกให้คนขับรถม้าเร่งความเร็ว
เฮเซลยังคงสูดลมหายใจยาว พยายามบรรเทาความเครียด ตื่นตระหนัก และหวาดกลัว
สิ่งเหล่านี้ส่งผลไม่มากก็น้อย คล้ายกับเฮเซลสงบลงโดยที่ไม่สติแตกคาที่
ในเวลาเดียวกัน บนหลังคารถม้า นกกระจอกซึ่งมาเกาะอยู่ได้สักพัก หรี่ตาลงและพูดภาษามนุษย์ที่เบาจนเกือบจะเงียบ
“เธอเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับเรา…ดูเหมือนว่าจะเคยเผชิญหน้ากับ ‘เรา’ มาก่อน…หืม…อาศัยอยู่บนถนนเบิร์คลุน…ชักน่าสนใจแล้วสิ”
เพียงไม่นาน เมื่อรถม้าแล่นเข้าไปในถนนเฟลป์และเห็นตึก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ อยู่ไม่ไกล เฮเซลพูดขึ้นทันที
“ไปวิหาร…แวะวิหารนักบุญแซมมวลก่อน! ฉันอยากสวดมนต์”
เธอต้องการเล่าให้บิชอปฟังว่า ‘วันนั้น’ ในอดีตเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง และวันนี้เธอได้พบเจอกับอะไร
ระหว่างช่องว่างของแผ่นไม้รถม้า มดสีดำขยับหนวดขวาและกระซิบเป็นภาษาคน
“มนุษย์สมัยนี้ไม่สร้างสรรค์เลยสักนิด เอะอะก็เข้าวิหาร…คราวหน้า เราจะขโมยวิหารทั้งหลัง”
ขณะกล่าว หนวดอีกเส้นของมดเริ่มขยับ
ทันใดนั้น เฮเซลลืมสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป รวมถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ลืมไปแล้วว่าเคยพบกับบุรุษไปรษณีย์สวมแว่นตาขาเดียว
นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าทั้งสาวใช้และคนขับรถม้าต่างก็ลืมคำสั่งล่าสุดของเธอ
ในอาคารกองทุน ออเดรย์ทักทายเฮเซลและพาเพื่อนใหม่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสมรภูมิแนวหน้า
เนื่องจากเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยตักเตือนว่า ซาราธซึ่งเป็นผู้นำลัทธิเร้นลับ รวมถึงเทวทูตที่แข็งแกร่งตนอื่น กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งภายในกรุงเบ็คลันด์ ออเดรย์จึงตัดสินใจละทิ้งการรักษาเฮเซลในระยะที่สาม ทำได้เพียงภาวนาให้ความทรงจำของเธอไม่ตื่นขึ้นมาจนเกิดเหตุไม่คาดฝัน
แผนการปัจจุบันก็คือ ชักชวนให้เฮเซลช่วยเหลือผู้คนด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมการกุศล อีกฝ่ายจะได้ร่าเริงและมีภูมิต้านทานทางจิต
…
ในเมืองที่โจรสลัดเป็นใหญ่ ฟอร์สดื่มไวน์ผลไม้ของท้องถิ่นที่ออกฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ บันทึกประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบเจอในชีวิตประจำวัน
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของเธอถูกกระตุ้น รีบหันไปมองด้านข้างตามสัญชาตญาณ
เธอเห็นเค้าโครงของมนุษย์ถูกวาดขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อตัวเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ในพริบตา ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เจ้าของใบหน้าเย็นชา แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและเสื้อนอกสีดำ
ฟอร์สลุกพรวดพร้อมกับแก้วไวน์และปากกา กล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ทิวาสวัสดิ์…ม…มิสเตอร์สแปร์โรว์”
ขณะพูด เธอวางของในมือลงบนโต๊ะ
ไคลน์กดหมวกทรงกึ่งสูงเล็กน้อยพลางมองไปรอบตัว
“จะกลับหรือยัง”
ฟอร์สกลอกตาซ้ายขวาและตอบ
“กลับ”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอทำการบันทึกเอกลักษณ์ของเมืองนี้ซึ่งมีจุดแตกต่างจากเมืองอื่น
ไคลน์ไม่สนทนายืดยาว ใช้คางชี้ไปยังสิ่งของบนโต๊ะ เป็นนัยให้มิสเมจิกเชี่ยนรีบเก็บกระเป๋า
ฟอร์สไม่มัวลังเล รีบจัดเรียงต้นฉบับราวกับว่านั่นคือคำสั่งเด็ดขาด
ขณะยืนดูอีกฝ่ายกำลังยุ่งวุ่นวาย ไคลน์ถามเสียงเย็น
“ตำนานสยองขวัญไปถึงไหนแล้ว”
ฟอร์สสั่นระริกแผ่วเบาก่อนจะรีบตอบ
“ใกล้แล้ว…อีกนิดเดียว”
ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยน
“อีกนานแค่ไหน”
“หนึ่งสัปดาห์…ไม่สิ ห้าวัน ไม่เกินห้าวันแน่นอน” ฟอร์สรีบตอบ
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงยืนรอจนกระทั่งฟอร์สเก็บต้นฉบับ ปากกา แก้วไวน์ที่มีของเหลวเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง และของที่ระลึกเสร็จเรียบร้อย มันขยับสองก้าวและเหยียดแขนจับไหล่อีกฝ่าย
เงารางสีดำจำนวนมากโผล่ขึ้นมาแหวกว่ายตรงหน้าอีกครั้ง ฟอร์สรู้สึกผ่อนคลายกว่าครั้งแรก ถึงขั้นคิดจะ ‘บันทึก’ การเดินทางครั้งนี้ด้วย
ไม่นานหลังจากนั้น เธอกลับถึงกรุงเบ็คลันด์ กลับถึงตรอกแคบที่เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทาง และได้ยินเสียงเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูด
“พักผ่อนสองสามวันก่อนออกเดินทางรอบใหม่…พยายามซึมซับผลตอบกลับให้ดี และฝากถามอาจารย์ของเธอว่า มีข้อมูลเกี่ยวกับจักรพรรดิโลหิตทูดอร์บ้างไหม เน้นเรื่องโบราณสถานลับในสถานที่ต่าง ๆ”
“ตกลง” ฟอร์สรับปากและขอบคุณ
หลังจากแยกกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฟอร์สกลับไปยังถนนเส้นหนึ่งในเขตตะวันออก กลับเข้าบ้านที่เช่าร่วมกับซิล
ซิลวางหนังสือพิมพ์ลง จ้องเพื่อนสนิทและพูด
“ได้ผลดีไหม?”
“ค่อนข้างดี คราวนี้ได้ไปเมืองที่โจรสลัดเป็นใหญ่…” ยังไม่ทันพูดจบ ฟอร์สเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย “ขอบุหรี่กับกาแฟหน่อย”
“ทำไม? ที่นั่นไม่มีหรือ” ซิลถามด้วยสีหน้ามึนงง
ฟอร์สรีบเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงบนโต๊ะทำงาน กางต้นฉบับออก หยิบปากกาและกล่าวโดยไม่มองหน้าเพื่อนสนิท
“เพื่อนิยายเล่มใหม่! อย่าลืมชงกาแฟที่คนกินได้ให้ฉันด้วย!”
ซิลที่เดินตามเข้าไปในห้องนอน เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เธออ้าปากค้างโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
…
ณ จุดอื่นของเขตตะวันออก ในบ้านเช่าที่มีเค้าโครงคล้ายคลึงกัน
เนื่องจากซาราธอยู่ในเบ็คลันด์ อามุนด์สามารถถูก ‘ล่อลวง’ ได้ทุกเมื่อ แถมตอนนี้ก็ยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ขณะเดียวกัน ไคลน์ยังตั้งใจจะยับยั้งพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดของจอร์จที่สาม ในแง่หนึ่ง มันพยายามย่อยโอสถจอมเวทพิสดารอย่างสุดความสามารถ และในอีกแง่หนึ่ง มันกำลังเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ชายหนุ่มคลี่กระดาษจดหมายออกและเขียน
“เรียนมิสเตอร์อะซิก…”
“ช่วงนี้ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์โบราณมากมาย ผมเชื่อว่าคุณต้องสนใจมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกประกอบอาชีพอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์หลังจากสูญเสียความทรงจำ”
“ประวัติศาสตร์ดังกล่าวถูกปกปิดและไม่สะดวกที่จะเล่าผ่านจดหมาย ไว้คุณตื่นเมื่อไร ผมจะเล่าให้ฟังกับตัว”
“นอกจากนั้น ผมสามารถสร้างยันต์ ‘วันวานอีกครั้ง’ ทันทีที่ใช้งาน คุณจะย้อนกลับไปค้นหาตัวตนในอดีตผ่านช่องว่างประวัติศาสตร์และหยิบยืมพลังมาใช้งาน”
“สำหรับคุณ การยืมพลังคงไม่ใช่สาระสำคัญ แต่เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำจากตัวตนในอดีตได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาหลายสิบปีหลังจากคืนชีพ ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบ…”
“ผมแนบยันต์สองแผ่นไปพร้อมกับจดหมาย ถ้าคุณตื่นเมื่อไรให้ลองทดสอบใช้งานดู”
“ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย หากคุณต้องการมาหา อย่าลืมตรวจสอบล่วงหน้าจนมั่นใจว่าปลอดภัย”
“…ผมจะพยายามยับยั้งไม่ให้จอร์จที่สามกลายเป็นจักรพรรดิมืด แต่โอกาสสำเร็จมีต่ำมาก…”
“สุดท้ายนี้ ผมขอให้คุณพบเจอแต่สิ่งดี ๆ ขอให้ลืมตาตื่นขึ้นโดยเร็ว…ไคลน์·โมเร็ตติ ศิษย์ของคุณตลอดไป”
หลังจากพับกระดาษจดหมาย ไคลน์บรรจุยันต์วันวานอีกครั้งสองแผ่นเข้าไปในซอง
จากนั้น มันนำนกหวีดทองแดงของอะซิกออกมาเป่า
ผู้ส่งสารกระดูกยักษ์โผล่ออกจากความว่างเปล่า ในสภาพศีรษะอยู่ต่ำกว่า มันรับจดหมายไปจากมือไคลน์
ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย มองดูผู้ส่งสารกระดูกสลายตัวและเลือนหายไป
จัดการทั้งหมดเสร็จ มันนำสองนิ้วคีบนกกระเรียนกระดาษที่วิล·อัสตินพับออกจากกระเป๋าสตางค์ เขียนด้วยดินสอ
“ผมมีคำถาม”
มันวางนกกระเรียนไว้ใต้หมอนและนอนทับ หลับไปด้วยการเข้าฌาน
ในส่วนลึกของยอดหอคอยแหลมสีดำ ไคลน์ได้พบวิล·อัสตินในรถเข็นเด็กสีดำที่ห่อด้วยผ้าไหมเงิน
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด มันถามเข้าประเด็น
“คุณพอจะทราบไหมว่า ผมสามารถสอบถามวิธีปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ได้จากใคร? และต้องจ่ายเท่าไร?”
แต่ถ้ามันแพงนักก็ลืมไปเสีย…ไคลน์เสริมในใจ
วิล·อัสตินที่กำลังดูดนิ้วโป้ง เผยสีหน้าตกตะลึงก่อนจะพูด
“เจ้าต้องการช่วยข้าหาวิธีปรองดองกับลูกเต๋าความน่าจะเป็น?”
ไคลน์พยักหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ พวกเราก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด”
ทันทีที่พูดจบ วิล·อัสตินหลั่งน้ำตาอาบแก้ม
ทารกอวบอ้วนใช้มือทุบข้างรถเข็น ส่งเสียงสะอื้น
“เปล่าประโยชน์…สายเกินไปแล้ว…ข้าเพิ่งเริ่มต้นใหม่ ต้องใช้เวลาอีกยี่สิบสองปีกว่าจะปรองดองกับเอกลักษณ์ได้… ทำไมถึงไม่รีบบอก? ทำไมข้าถึงโชคร้ายแบบนี้…คงเป็นเพราะไอ้งูโง่โอโรเลอุสนั่นที่กินความโชคดีของข้าไปเกือบหมด…”
…………………………