ขณะเปลวไฟสีแดงทั้งสองดวงลอยมาอยู่ที่ปลายเท้าไคลน์และสุนัขแห่งฟัลกริมหมอบลง ชายหนุ่มได้สติตื่นพร้อมกับความฉงนและโล่งใจ
ทำไมพวกมันถึงทำร้ายตัวเองด้วยการมอบดวงตาให้เราคู่หนึ่ง…ดูเหมือนว่าจะเลือดไหลด้วย…
ถ้านี่คือกับดัก เราคงตกหลุมพรางไปแล้ว…ถึงกับชะงักไปหลายวินาที สำหรับจอมเวทพิสดาร นี่คือความผิดพลาดที่ยากจะอภัย…
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าได้พบเจอสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก คงตอบสนองไม่ต่างจากเรานัก – ศัตรูตัวฉกาจที่เตรียมคิดแผนสำหรับล่ามาเป็นอย่างดี กลับหมอบลงและกระดิกหางรอรับคำชมเชย…ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนฝัน…
ท่าทีตอบสนองคล้ายกับอาโรเดสมาก…หรือว่าความเป็น ‘ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ’ จะส่งอิทธิพลบางอย่างกับสัตว์วิญญาณ?
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ชำเลืองมองสุนัขแห่งฟัลกริมทั้งสองตัวที่ยังนอนหมอบพลางกระดิกหางในความว่างเปล่า จากนั้นก็เหยียดแขนซ้ายออกไปจับเปลวไฟสีแดงสองดวงที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดเหนียว
ในวินาทีที่สัมผัสกับเปลวไฟ เสียงเพรียกและเสียงคำรามที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวไคลน์ บ้างแหลมเล็ก บ้างทุ้มต่ำ บ้างก็บ้าคลั่ง
พร้อมกันนั้น สายหมอกสีเทามายาปรากฏขึ้นในการมองเห็น
กลุ่มหมอกกระจายออกไปทั่วบริเวณ มองไม่เห็นขอบเขตที่แน่ชัด ด้านบนเป็นพระราชวังสูงตระหง่านที่ค่อนข้างคลุมเครือ
มันคุ้นเคยกับฉากเหล่านี้ เพราะทุกครั้งที่ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก ภาพที่คล้ายคลึงกันจะปรากฏขึ้นเสมอ
ในช่วงที่เริ่มเดินถอยหลังสี่ก้าวใหม่ ๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากจนยากจะมองเห็นสภาพแวดล้อม แต่เมื่อมีลำดับสูงขึ้น การปรับตัวก็ดีขึ้น สามารถสังเกตเห็นสิ่งรอบตัวได้ง่ายขึ้น
แต่ในปัจจุบัน ไคลน์ไม่ได้เอ่ยนามของ ‘ราชันสวรรค์ไร้ขอบเขตประทานโชค’ และไม่ได้เดินถอยหลังสี่ก้าว
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้ไคลน์ทวีความหวาดระแวง ทันใดนั้น มันเห็นเงารางกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวภายในสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต บ้างซ้อนทับกับสายหมอก บ้างก็แยกออกจากกัน ทุกร่างมีดวงตาเป็นเปลวไฟลุกไหม้ ร่างกายปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีดำ – สุนัขแห่งฟัลกริม
สุนัขแห่งฟัลกริมสองตัวที่สูญเสียดวงตาตัวละข้าง เดินกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับฝูง ผสมผสานกลายเป็นกลุ่มก้อนสีเข้มท่ามกลางหมอกสีเทา
เมื่อภาพนิมิตจบลง ไคลน์พบว่าตนกำลังล่องลอยท่ามกลางส่วนลึกของโลกวิญญาณ สุนัขแห่งฟัลกริมทั้งสองตัวหายไปแล้ว เหลือเพียงหุ่นเชิดทั้งสองและสัตว์วิญญาณหน้าตาประหลาดเตร็ดเตร่อยู่ห่างออกไป
“…” ไคลน์ก้มศีรษะลง จ้อง ‘ดวงตา’ และเลือดในมือตน สิ่งเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นความจริง มิใช่ภาพหลอน
สุนัขแห่งฟัลกริมมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด’ …พวกมันอาศัยอยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ของโลกวิญญาณ…เมื่อครู่เราเห็นพวกมันรวมกลุ่มกันท่ามกลางมิติหมอก…พิจารณาจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน ไคลน์ลองวิเคราะห์
บางที ปราสาทต้นกำเนิดอาจหมายถึงมิติลึกลับเหนือสายหมอก และหมายถึงบานประตูแห่งแสง…
หมอกสีเทาคือสัญลักษณ์แทน ‘ประวัติศาสตร์’ ของโลกวิญญาณ และภายในนั้นมีช่องว่าง…
ทุกครั้งที่เราเข้าไปในมิติลึกลับโดยผ่านสายหมอกสีเทา เราจะทิ้งร่องรอยไว้ที่นั่นเสมอ ส่งผลให้สุนัขแห่งฟัลกริมคุ้นเคยและมองเราเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ทันทีที่เห็นเราในโลกวิญญาณ พวกมันจึงมอบสิ่งที่เราต้องการเพื่อเอาอกเอาใจ?
วางแผนมาทั้งวัน สอบถามสภาพแวดล้อมมาเป็นอย่างดี ถึงขั้นนัดแนะกับผู้ช่วย…ลงเอยด้วยการโจมตีองครักษ์ของตัวเอง?
คิดถึงถึงตรงนี้ ไคลน์เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย คล้ายกับมิสเตอร์ฟูลเหนือสายหมอกสีเทาพยายามเหยียดแขนออกไปช่วงชิงบางสิ่ง แต่กลับลงเอยด้วย มือดังกล่าวทุบเข้าใส่หน้าอกตัวเอง
ฟู่ว…ปราสาทต้นกำเนิด…แม้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะทำให้เราหวาดกลัวมากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็ได้เข้าใจเจ้าของมิติหมอกมากขึ้น สำหรับบางเรื่อง ความไม่รู้นั้นน่ากลัวที่สุด…หลังจากยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางส่วนลึกของโลกวิญญาณสักพัก ไคลน์ถอนหายใจออก เรียกหุ่นเชิดทั้งสองกลับมา
ชายหนุ่มคิดจะรอให้โอสถจอมเวทพิสดารถูกย่อยอย่างสมบูรณ์เสียก่อน จึงค่อยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทต้นกำเนิดจากกระจกวิเศษ อาโรเดส และแหล่งข้อมูลอื่น เมื่อถึงตอนนั้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น มันจะได้รับมือด้วยพลังที่ถูกเลื่อนลำดับมา
…
เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าแบบสองห้องนอน
ฟอร์สกลับจากข้างนอกในสภาพใต้ตาหมองคล้ำ ในมือถือหนังสือพิมพ์และจดหมาย
“เป็นยังไงบ้าง?” ซิลที่เพิ่งกลับถึงบ้านเพื่อกินอาหารกลางวัน เอ่ยปากถาม
ฟอร์สอ้าปากหาวโดยใช้มือปิด
“ก็ดี…บรรณาธิการที่ฉันรู้จัก ค่อนข้างพึงพอใจกับเนื้อหาและสำนวนการเขียนนิยายเรื่องใหม่ เขาตัดสินใจจะตีพิมพ์ให้เร็วที่สุด…เธออาจไม่รู้ แต่ตำนานสยองขวัญของโรงพยาบาลในกรุงเบ็คลันด์ได้รับความนิยมอย่างมากในระยะหลัง นักเขียนนิยายขายดีจำนวนหนึ่งใช้เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจและเริ่มลงมือเขียนในสิ่งที่คล้ายกัน…ฉันไม่ใช่คนแรก!”
“…เป็นข่าวดีสินะ” ซิลครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าขึงขัง
เพราะนั่นจะหมายความว่า ฟอร์สที่เขียนเกี่ยวกับตำนานสยองขวัญของโรงพยาบาลในกรุงเบ็คลันด์ จะไม่เป็นที่สะดุดตามากเกินไป และไม่มีใครเพ่งเล็งนามปากกาใหม่ของเธอ
“เห็นด้วย” ฟอร์สวางหนังสือพิมพ์ลง ดึงจดหมายออกมาสามฉบับและพลิกอ่าน
ในไม่ช้า เธอได้พบกับคำตอบจากอาจารย์ของตน โดเรียน·เกรย์·อับราฮัม
สีหน้าฟอร์สแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังทันที รีบฉีกซองจดหมาย คลี่กระดาษและกวาดสายตาอ่าน
“…เบนจามิน·อับราฮัมเป็นชาวอินทิส อาศัยอยู่ในยุคสมัยเดียวกับโรซายล์…นอกจากความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับและมรดกเพียงเล็กน้อย เขาไม่ได้ทิ้งสิ่งของที่มีค่าไว้มากนัก…ในภายหลัง เกือบทั้งหมดถูกทำลายด้วยฝีมือชุมนุมแสงเหนือ ผมจึงแทบไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง…”
มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะต้องผิดหวังแน่…ฟอร์สเม้มปาก เล่นกลเพื่อจุดไฟเผากระดาษจดหมายในมือจนไหม้เกรียม
จากนั้น เธอลงมือเขียนจดหมายตอบ เป็นการถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับซากโบราณสถานของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์
…
เบาะแสของเบนจามิน·อับราฮัมถูกทำลาย…เป็นความผิดของพวกเสียสติจากชุมนุมแสงเหนือ…ไคลน์ขึ้นมายังมิติหมอกเพื่อฟังคำสวดวิงวอนของมิสเมจิกเชี่ยน
นอกจากนั้น มันยังได้ทราบข่าวการตีพิมพ์ของตำนานสยองขวัญของโรงพยาบาลในกรุงเบ็คลันด์
กลับถึงโลกแห่งความจริง ขณะไคลน์เตรียมออกไปกินอาหารนอกบ้าน มันเห็นมิสผู้ส่งสารเดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับถือสี่หัวทองตาแดง หนึ่งในนั้นกำลังงับจดหมาย
“จากใคร?” ไคลน์ถามด้วยความอยากรู้
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ใช้อีกสามหัวตอบกลับ
“ไอ้งั่ง…” “ที่ถูก…” “ล่อลวง…”
ใครกันล่ะนั่น…ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะคลี่จดหมายอ่าน
“ผู้อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งคือจอร์จที่สาม เป้าหมายคือการเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด…คุณสนใจจะขัดขวางหรือไม่”
“ทริสซี่”
ทริสซี่? แม่มดรายนี้กล้าเขียนจดหมายถึงเราแล้ว? หายกลัวมิสผู้ส่งสารแล้วหรือ? จริงสิ…ท่านบอกว่าคนส่งคือ ‘ไอ้งั่งที่ถูกล่อลวง’ …ทริสซี่ล่อลวงให้ผู้ชายสักคนประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารแทน ส่วนตัวเองก็รอติดต่อผ่านกระจกเงา? ฉลาดมาก…แถมยังสืบไปได้ไกลทีเดียว…ไม่กลัวว่าจะถูกจอร์จที่สามหรือเราฆ่าทิ้งบ้างหรือ? อา…คนที่ประกอบพิธีกรรมต้องเป็นผู้วิเศษ คนธรรมดาอัญเชิญผู้ส่งสารไม่ได้แน่ เพราะจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณในปริมาณหนึ่ง…ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น จากนั้นก็กระจ่าง
ถัดมา มันลองคาดเดาว่า เหตุใดทริสซี่จึงสงสัยว่าจอร์จที่สามต้องการเป็นจักรพรรดิมืด
ถ้าไม่มีความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับที่มากพอ และถ้าไม่รู้จักพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง กระทั่งครึ่งเทพก็ยากจะเดาได้แม่นยำ…ไม่ได้ง่ายเหมือนที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดบอกเลยสักนิด!
ทริสซี่มีตัวช่วยคนอื่น? หรือพลังของแม่มดบรรพกาลในตัวเริ่มตื่นขึ้น ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จำนวนมากจึงหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มเติม? ไคลน์ขมวดคิ้ว พบว่าคำถามนี้ตอบได้ไม่ง่าย
หากมีโอกาส มันจะกำจัดแม่มดทริสซี่ทิ้งอย่างแน่นอน
หลังจากครุ่นคิดนานกว่าสิบวินาที ชายหนุ่มหยิบปากกาและกระดาษออกจากกระเป๋าเสื้อ เขียนตอบกลับไปว่า
“สนใจ…ว่าแต่เธอจะทำยังไง”
…
ในย่านสะพานเบ็คลันด์ ชายวันสามสิบเผยสีหน้าหวาดผวาสุดขีดขณะจ้องสตรีหัวขาด ไม่สิ ผีสี่หัวที่ปรากฏกายเบื้องหน้าและทิ้งจดหมายไว้
“ผู้ส่งสารของโลกเหนือธรรมชาติน่ากลัวแบบนี้กันหมดเลยหรือ?” หลังจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จากไปเกือบห้านาที ชายคนเดิมสูดลมหายใจยาว ก้มหยิบจดหมายขึ้นมามอง
ระหว่างนั้น ดวงตาของมันเริ่มลุกโชนด้วยความยินดี เพราะตนกำลังจะได้พบกับสาวงามในฝันอีกครั้ง
ตามคำแนะนำ มันรอจนกระทั่งตกเย็น จึงค่อยนำวัตถุสีดำคล้ายแป้งเปียกออกมาทาบนกระจกเงาอย่างทั่วถึง
ผ่านไปไม่กี่วินาที ผิวกระจกมืดลง ประหนึ่งเชื่อมต่อกับโลกอีกใบ
เพียงพริบตา ภาพในกระจกกลายเป็นห้องที่แตกต่างจากสภาพแวดล้อมโดยสิ้นเชิง ใจกลางห้องมีหญิงสาวหน้าตาอ่อนหวานคนหนึ่งแต่งกายในเดรสสีดำเข้ม ไม่ใช่ใครนอกจากแม่มดทริสซี่
ชายผู้ประกอบพิธีกรรมเผยสีหน้าลามกพลางหรี่เสียงลงโดยไม่รู้ตัว
“อีกฝ่ายตอบว่าสนใจ”
ลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้างของทริสซี่เริ่มขยายใหญ่ ส่งผลให้ฉากภายในกระจกดูสดใสขึ้นเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้วผ่อนคลายพลางกล่าว
“ฉันจะส่งจดหมายถึงคุณ ให้คุณส่งต่อไปหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์…ห้ามเปิดอ่านเนื้อหาเด็ดขาด”
หลังจากได้ยินอีกฝ่ายรับปากโดยไม่ลังเล ทริสซี่ยื่นมือขวาออกมาเช็ดผิวกระจก เกิดแสงวารีสีดำกระเพื่อมและเลือนหาย
หญิงสาวหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาถือ ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเขียน
“สุสานลับที่จำเป็นในพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืดของจอร์จที่สาม น่าจะเคยเป็นของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์มาก่อน มีบางตัวตนที่ล่วงรู้ข้อมูลนี้ในเชิงลึก อาจช่วยให้พวกเราแทรกซึมเข้าไปได้อย่างราบรื่นระหว่างพิธีกรรม… ฉันมีวิธีติดต่อกับตัวตนดังกล่าว แต่ต้องรอให้เกิดพระจันทร์เต็มดวงครั้งถัดไปเสียก่อน สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียง ช่วยรวบรวมเลือด เส้นผม เนื้อ หรือกระดูก จากลูกหลานของตระกูลอับราฮัม”
“ทริสซี่”
…………………………