ไคลน์วางสูตรโอสถ ‘นักถลุงโลหะโบราณ’ ในมือลง หันไปจ้องหลอดบรรจุเลือดสองหลอดที่เดอะซันน้อยสังเวยมาให้
จากนั้น มันกวักมือเรียกไหเคลือบเงาที่ห่อหุ้มด้วยกระดาษคนหลายชั้น
นี่คือเลือดของผู้วิเศษจากแหล่งต่าง ๆ ที่รวบรวมมาได้ ไหเก็บเลือดถูกวางไว้บนมิติหมอกและผนึกด้วยเทวทูตกระดาษหลายชั้น ป้องกันมิให้ออร่าของสายหมอกไหลซึมเข้าไปปะปน รวมถึงตัดขาดการเชื่อมต่อกับเจ้าของเลือด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขณะวาดสัญลักษณ์เปิดประตู
สำหรับไคลน์ มันไม่กลัวอันตรายที่อาจเกิดกับตัวเอง เพราะยังมีพลังในการคืนชีพอีกอย่างน้อยอีกหนึ่งครั้ง แต่ถ้าการนำเลือดไปใช้จะทำให้ผู้เสียสละต้องแบกรับความเสี่ยง มันขอไม่ทำดีกว่า
เมื่อแกะผนึกกระดาษออกและเทเลือดในหลอดทั้งสองลงไป ไคลน์เสกแท่งแก้วออกมาคนให้เข้ากันสองสามครั้ง
ทันทีหลังจากนั้น มันใช้เทวทูตกระดาษผนึกไหกลับไปใหม่
ตอนนี้ก็เหลือแค่เส้นทางนักโทษ ปีศาจ และแม่มด…หลังจากเสร็จพิธีกรรม เราจะไปขอเลือดจากชารอนด้วยตัวเอง สำหรับเรื่องแบบนี้ คงเป็นการดีกว่าหากจะเผชิญหน้าโดยตรง การเขียนจดหมายค่อนข้างหยาบคายไปสักนิด…มีเพียงมิสเมจิกเชี่ยนเท่านั้นที่ค่อนข้างพิเศษ เธอชอบที่จะติดต่อด้วยการเขียนจดหมายมากกว่าพบเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริง…หึหึ ช่วงนี้เธอถึงกับอ้างว่าน้ำหมึกกลายเป็นน้ำแข็ง ส่งผลให้เขียนต้นฉบับได้ล่าช้า…คิดว่าฉันโง่หรือ? เธอเล่นกลจุดไฟได้! โชคดีที่โอสถของเราถูกย่อยสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องเร่งนิยายอีก…ไคลน์พึมพำเงียบ โยนไหเคลือบเงาที่ห่อด้วยกระดาษคนเข้าไปในกองขยะ
หลังออกจากมิติหมอก ชายหนุ่มไม่คิดจะเลื่อนลำดับเป็นปราชญ์โบราณทันที แต่หยิบปากกากับกระดาษออกมาวาดสัญลักษณ์ของการส่องความลับและการปกปิด
นี่สิ่งมันที่วางแผนจะทำก่อนดื่มโอสถ – ถามกระจกวิเศษ อาโรเดส เกี่ยวกับข้อมูลของปราสาทต้นกำเนิด
เมื่อสัญลักษณ์ถูกวาดเสร็จ ภายในห้องที่มีบรรยากาศสลัวอยู่แล้ว ยิ่งทวีความมืดมิด ราวกับมีกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวมาบดบังดวงอาทิตย์
ผ่านไปสิบวินาที บนกระจกบานใหญ่ซึ่งมีรอยแตกร้าว เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมบนพื้นผิว ตัวอักษรสีเงินถูกเขียนทีละหนึ่ง
“นายท่านผู้เป็นนิรันดร์ ยิ่งใหญ่ และสูงส่ง อาโรเดส ทาสรับใช้ที่ต่ำต้อย เปี่ยมศรัทธา และซื่อสัตย์ของท่าน มาหาท่านตามที่ต้องการแล้ว”
“ข…ข้ายังเป็นทาสรับใช้ที่นายท่านไว้ใจที่สุด ใกล้ชิดที่สุด และชื่นชอบที่สุดอยู่ไหม?”
คำถามนี้…เราเข้าใจความตื่นตระหนกและกังวลของเจ้ากระจกวิเศษ…รู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองไม่ปลอดภัย? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิดเจือความขบขัน
“ใช่”
อันที่จริง นายไม่เคยเป็น…ฉันแค่พูดปลอบใจ…ไคลน์รำพันติดตลก
บนผิวกระจก คลื่นน้ำสว่างขึ้น ตัวอักษรสีเงินถูกย้อมกลายเป็นสีทอง
พวกมันดีดดิ้นสักพักจนกลายเป็นประโยคใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีคำถามต้องการทดสอบข้าใช่ไหม?”
“ใช่” ไคลน์แอบเกร็ง “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับปราสาทต้นกำเนิดบ้าง”
อาโรเดสเงียบไปสักพักก่อนขยับตัวอักษรสีทองซีด
“ข้าไม่มีข้อมูลมากนัก แต่เคยฟังข่าวลือที่สอดคล้องกัน: ในช่วงต้นยุคสมัยที่สอง เทพบรรพกาลเชื่อว่าพระผู้สร้างต้นกำเนิดได้ทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง อาจเป็นอาณาจักรที่เกิดจากส่วนหนึ่งของร่างกายพระองค์ หรือสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น และปราสาทต้นกำเนิดคือหนึ่งในนั้น”
“นี่คือชื่อที่ราชาหมาป่าอสูร เฟรเกีย ตั้งให้ นอกจากนั้นยังตั้งสมญานามให้กับสุนัขแห่งฟัลกริมว่า ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่มีชีวิตอยู่จวบจนร่วงหล่น เฟรเกียก็ไม่เคยเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดสำเร็จ หลายฝ่ายจึงชื่อว่า ปราสาทต้นกำเนิดไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสัญลักษณ์เชิงนามธรรม”
มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างต้นกำเนิด? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“หนึ่งในนั้น…มีสถานที่หรือสิ่งที่คล้ายกับปราสาทต้นกำเนิดอยู่กี่แห่ง?”
“แปด…ข้อมูลดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้อ่าน” บนผิวกระจก ถ้อยคำใหม่ปรากฏขึ้นทีละบรรทัด แต่สีทองซีดได้กลับไปเป็นสีเงินตามเดิม “เทพบรรพกาลตั้งข้อสังเกตว่า การกัดกร่อนจากใต้ดินอาจมาจากสถานที่ซึ่งคล้ายกับปราสาทต้นกำเนิด ชื่อของมันคือ ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ และลือกันว่ามีเบาะแสของ ‘แม่น้ำอันธการนิรันดร์’ ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเมืองวิญญาณ กัลเดรอน นี่เป็นข้อมูลจากต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี โดยตรง ส่วนชื่ออื่นข้าเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ไม่ครบถ้วน ประกอบด้วย ‘โลกเงามืด’ ‘ดินแดนรกร้างแห่งความรู้’ และ ‘รังมารดา’ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์”
แปดแห่ง…ทะเลแห่งความโกลาหล แม่น้ำอันธการนิรันดร์ ดินแดนรกร้างแห่งความรู้ โลกเงามืด…รังมารดาซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์…ชื่อนี้ฟังดูอันตรายมาก…อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับมารดาพฤกษาแห่งกรงกระหาย…ไคลน์ทบทวนข้อมูลที่อาโรเดสเล่าโดยเชื่อว่าตนน่าจะจับใจความบางสิ่งได้ แต่ท้ายที่สุดมันกลับไม่เข้าใจอะไรเลย เนื่องจากมีเบาะแสไม่มากพอที่จะเชื่อมต่อ
เมื่อตระหนักว่าอาโรเดสเคยได้ฟังเพียงข่าวลือ ปราศจากรายละเอียดที่แน่ชัด ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่านพร้อมกับเผยรอยยิ้ม
“เท่าที่ฟังดู เจ้าอาจมาจากทะเลแห่งความโกลาหล…”
“นั่นไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งสำคัญก็คือ ปัจจุบันข้าเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และเชื่อฟังของท่านแต่เพียงผู้เดียว” กระจกวิเศษ อาโรเดส เขียนข้อความรวดเดียวจบ
เชื่อฟัง…ดูการเลือกใช้คำ…ไคลน์จิกกัดในใจ
“ต้นกำเนิดของเทวทูตมืด ซาสเรีย คืออะไร?”
บนผิวกระจก คำพูดสีเงินเรียกตัวทีละหนึ่ง
“ข้ามองไม่เห็น แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวมีตำนานเล่าขานว่า เมื่อเทพสุริยันบรรพกาลถือกำเนิด แสงสว่างและความมืดถูกรวมเป็นหนึ่ง พระองค์อ้างว่าพระผู้สร้างต้องรอบรู้และไม่มีข้อบกพร่อง…ในภายหลัง พระองค์ทำการแยกความมืดในร่างกายออกมา และสร้างเทวทูตตนแรกโดยการผสานด้านมืดเข้ากับกระดูกซี่โครงหนึ่งท่อน ชื่อของเทวทูตตนดังกล่าวคือ เทวทูตมืด ซาสเรีย”
ซี่โครง…หืม…ดูเหมือนว่าเทพสุริยันบรรพกาลจะเป็นคนแต่งเรื่องนี้ขึ้นและเผยแพร่ด้วยตัวเอง…พี่ชายอามุนด์ ว่าที่ภรรยาของนายกลายเป็นเทวทูตมืดไปแล้ว! ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น ก่อนจะผุดความคิดพิสดารมากมาย
เมื่อสติเริ่มสงบลง ชายหนุ่มวิเคราะห์ความจริงเบื้องหลังตำนาน:
การแพร่กระจายตำนานดังกล่าวจะทำให้เหล่าสาวกต่างพากันเชื่อว่า เทวทูตมืด ซาสเรีย เป็น ‘ด้านมืด’ ของเทพสุริยันบรรพกาล ส่งผลให้ถูกเทิดทูนในลักษณะเดียวกับพระองค์…แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คัดค้านตำนานนี้… ประกอบกับเรื่องที่เทวทูตมืดดำรงตำแหน่งหมายเลขสองของดินแดนทวยเทพและหัตถ์ซ้ายของพระองค์มาตลอด แปลว่าตำนานดังกล่าวอาจเป็นเรื่องจริง…
โดยหลังจากนั้น…ด้านมืดของเทพสุริยันบรรพกาลสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูภายนอก ล่อลวงเหล่าราชาเทวทูตและลอบสังหารร่างต้น?
เรื่องนี้อธิบายได้ว่า เหตุใดโอโรเลอุสและเมดีซีถึงเข้าร่วมกุหลาบไถ่บาป เพราะพวกท่านแค่เชื่อฟังคำสั่งของ ‘พระองค์’ …
จากมุมมองดังกล่าว ตำแหน่งของเทวทูตมืด ซาสเรีย ในดินแดนทวยเทพของสุริยันบรรพกาล เปรียบเสมือนเดอะเวิร์ลแห่งชุมนุมทาโรต์…
โชคดีที่เดอะเวิร์ลเป็นแค่หุ่นเชิดจำลอง ไม่มีวิญญาณและความคิดเป็นของตัวเอง…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์รู้สึกคล้ายกับเหงื่อแตก มันพบว่าตนโชคดีมากที่อยู่บนเส้นทางนักทำนาย ไม่ใช่เส้นทางอื่น
จากข้อมูลข้างต้น มันเริ่มเดาได้ว่าเหตุใดเทวทูตมืด ซาสเรีย ถึงตัดสินใจหลับใหลอยู่ในวังราชาคนยักษ์
บางที…อาจเกี่ยวข้องกับการร่วงหล่นของเทพสุริยันบรรพกาล…
ด้วยเหตุนี้ พี่ชายอามุนด์ มังกรแห่งปัญญา และพระผู้สร้างแท้จริง จึงต้องการยืนยันสถานะปัจจุบันของเทวทูตมืด ซาสเรีย…
แต่เรายังมีคำถาม…จากทั้งยี่สิบสองเส้นทางผู้วิเศษ ราชาเทวทูตและหัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้าง อยู่บนเส้นทางใด?
นักจารกรรมมีอามุนด์ ผู้ฝึกหัดมีมิสเตอร์ประตู…ส่วนผู้ชม นักอ่าน นักขับขาน ลูกเรือ ผู้วิงวอนความลับ นักรบ ผู้ไร้หลับ นักเพาะปลูก นักปราชญ์ สัตว์ประหลาด นักลอบสังหาร นักล่า และผู้ตัดสินล้วนเป็นไปไม่ได้…ผู้เก็บซากศพก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะในยุคสมัยที่สี่มีเทพมรณาซึ่งเป็นลำดับศูนย์ ของเส้นทาง ย่อมไม่มีลำดับหนึ่ง เว้นเสียแต่เทวทูตมืดจะถอยไปเป็นลำดับ สอง…เหตุผลเดียวกันสามารถใช้ได้กับเส้นทางนักทำนายและนักกฎหมาย…อาจยืนยันได้แล้วว่า เทวทูตมืดในปัจจุบัน ไม่ใช่ราชาเทวทูตอีกต่อไป…
แต่อาจเป็นเส้นทางผู้ส่องความลับ จันทรา หรือปีศาจก็ได้เช่นกัน…เพราะบางที ปราชญ์เร้นลับ ดวงจันทร์บรรพกาล และด้านมืดเอกภพ อาจเป็นหนึ่งใน ‘ร่างอวตาร’ ของเทวทูตมืด…รวมไปถึงมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…
เส้นทางนักโทษก็เป็นไปได้เช่นกัน เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เส้นทางดังกล่าวเคยมีเทพแท้จริงถือกำเนิดขึ้นมาก่อน บางที ‘เทพผู้ถูกล่าม’ อาจไม่เคยก้าวไปถึงระดับราชาเทวทูตด้วยซ้ำ…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก หันไปพูดกับกระจกวิเศษ อาโรเดส
“ตาเจ้าถาม”
บนกระจกที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ตัวอักษรสีเงินบิดเข้าหากันและเรียงเป็นประโยคใหม่
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอเดาได้ไหมว่าท่านจะถามสิ่งใดต่อ?”
“…” ไคลน์พยักหน้า
“ได้สิ”
“ท่านต้องการถามเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของซาสเรีย และคำตอบของข้าคือ ไม่ทราบ…ข้ามองไม่เห็น” อักษรสีเงินปิดท้ายหน้ายิ้ม
“ไม่เลว” ไคลน์ชมเชย “วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไว้ข้าจะเรียกหาเจ้าใหม่”
“ขอรับ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน พร้อมตอบสนองคำเรียกหาของนายท่านทุกเมื่อ!” บนผิวกระจก หน้ายิ้มท้ายประโยคถูกเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าแมวที่กำลังโบกมือ
เมื่อกระจกกลับเป็นปรกติ ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษ จดสิ่งที่มันเพิ่งเรียนรู้
นี่คือหนึ่งในเอกสารที่เตรียมใช้ประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับ ‘ปราชญ์โบราณ’
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา มันลงมือเขียนเอกสารทางประวัติศาสตร์มากมาย
จากนั้น ไคลน์ทำการเทเลพอร์ตไปยังทวีปใต้พร้อมกับหุ่นเชิดทั้งสองและเอกสารในมือ
มันไม่กล้าเลื่อนลำดับในเบ็คลันด์ เพราะถ้าทำเช่นนั้น ซาราธและอามุนด์จะสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติ และพุ่งตรงมาหาโดยไม่รีรอแน่นอน!
…………………………