Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1138 : ปราชญ์โบราณ

บนที่ราบสูง เหนือแท่นบูชาที่มีดวงตา แขน หัว และอวัยวะภายในวางกอง

แสงสีแดงเข้มพวยพุ่งราวกับเลือดสด บิดตัวกลายเป็นเงาดำที่ดูคล้ายกับต้นไม้กลายพันธุ์

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น กระดูกมนุษย์ เทียนไข ถาดเงิน กล่องทอง และวัตถุชิ้นอื่น สั่นสะเทือนรุนแรงราวกับจะสลักรอยขีดข่วนลงในวิญญาณ

บทสวดของผู้วิงวอนโดยรอบมีอันต้องหยุดชะงัก พวกมันก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณและหมอบกราบไปบนพื้น

จากนั้น พวกมันเข้าใจตรงกันโดยปริยาย

“ทะเลคลั่ง เกาะแนวปะการัง…”

เมื่อเห็นวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทาด้วยสองตา ขณะเดียวกันก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนแผ่วเบาของพื้นที่ลึกลับ ไคลน์ทราบทันทีว่า สายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นระหว่างตนกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปราสาทต้นกำเนิด’ แนบแน่นขึ้นไปอีกระดับ

ในวินาทีนี้ มันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า สถานที่ดังกล่าวคือของตน

เพียงไม่กี่วินาที ความผิดปรกติบนท้องฟ้าเลือนหายไป ไคลน์ไม่มัวรีรอ บังคับหุ่นเชิดทั้งสองเก็บสิ่งของมีค่าและทำลายที่เหลือ จากนั้นก็นำกระดาษคนออกมาสะบัดหนึ่งครั้ง

สิ้นเสียงกระดาษปะทะกับอากาศ กระดาษคนลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดง ปีกมายาที่คมชัดงอกออกจากแผ่นหลังพวกมัน

ไคลน์ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ไม่คิดว่าการแทรกแซงจากกระดาษคนตัวแทนแสนธรรมดา จะมีกลิ่นอายคล้ายอ้อมกอดเทวทูต

มันรีบคว้าหุ่นเชิดเอ็นยูนและโจนาส อาศัยความช่วยเหลือจากพลังเทเลพอร์ต หายตัวไปจากเกาะที่เกิดจากแนวปะการัง

หลังจากอ้อมไปรอบเกาะหลายแห่งบนทะเลโซเนีย ในที่สุดไคลน์ก็กลับมายังบ้านเช่าในเขตตะวันออกของกรุงเบ็คลันด์

ระหว่างการเดินทาง มันกระหน่ำใช้กระดาษคนตัวแทนที่ถูกยกระดับเชิงคุณภาพเพื่อขัดขวางการทำนายถึง แกะรอย และพยากรณ์

ฟู่ว…เราไม่คิดว่าการเลื่อนลำดับจะสร้างความเปลี่ยนแปลงกับปราสาทต้นกำเนิด จนก่อให้เกิดทัศนียภาพที่มิอาจปกปิด…โชคดีที่เราระวังตัวมากพอ เพราะถ้าประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับในกรุงเบ็คลันด์ อามุนด์กับซาราธคง ‘เห็น’ แน่นอน…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย จากนั้นก็เข้าไปในมิติหมอกเพื่อทำนายยืนยัน

หลังจากมั่นใจว่าปลอดภัย มันไม่แช่อยู่นาน รีบกลับโลกความจริงและเข้าฌานเพื่อหลอมรวมพลังวิญญาณที่กำลังแตกซ่าน

เมื่อจัดการเสร็จ มันเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิ้งตัวลงนอนและหลับสนิท

โดยทั่วไปแล้ว จอมเวทพิสดารที่เลื่อนลำดับไปเป็นปราชญ์โบราณสำเร็จจะไม่อ่อนเพลียอย่างที่ไคลน์เป็น และมีพละกำลังเหลือเฟือในการตรวจสอบสภาพร่างกายใหม่ แต่ขณะไคลน์สำรวจประวัติศาสตร์ มันอาศัยความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โบราณที่เกินสามัญสำนึกอย่างเต็มที่ ทำการสำรวจลึกไปถึงจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่สอง หรือแม้กระทั่งจุดสิ้นสุดยุคสมัยที่หนึ่ง ในตอนที่วังราชาคนยักษ์ถือกำเนิด

ประสบการณ์เช่นนี้เทียบเท่าการย่อยโอสถ

หลังจากหลับลึกนานหลายชั่วโมง ไคลน์ตื่นขึ้นและบรรจงลืมตา

มันคลำหาหมอนและลุกขึ้นนั่งบนเตียง สอดหมอนไว้ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นพลางลูบหน้าผาก

หลังจากผ่อนคลายตัวเองนานกว่าสิบนาที มันตื่นตัวเต็มที่และเริ่มสำรวจตัวเอง

อย่างที่คิด เราย่อยโอสถไปได้เกือบหมดทันทีหลังจากดื่ม…อย่างน้อยก็สี่ในห้าส่วน…ตรงตามที่คาดหวัง…แต่เราไม่รู้ว่าต้องรวบรวมข้อมูลโบราณมากเพียงใดเพื่อให้ย่อยโอสถได้สมบูรณ์…

ดูเหมือนว่า หลักการย่อยโอสถจะมีอยู่สองรูปแบบ หนึ่ง สวมบทบาทเป็น ‘ปราชญ์จากยุคโบราณ’ และสอง สวมบทบาทเป็น ‘ปราชญ์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์โบราณ’ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ใด…บทบาทแรกไม่ใช่เรื่องยาก เงื่อนไขของพิธีกรรมเลื่อนลำดับช่วยให้ทุกคนเป็น ‘ปราชญ์จากยุคโบราณ’ ได้อยู่แล้ว…

แต่บทบาทที่สองนั้นยากมาก…อาจง่ายในสังคมสมัยใหม่ แต่ไม่ใช่กับยุคสมัยที่มีเทพ ปีศาจ และมาร…ลำพังการรวบรวมข้อมูลโบราณก็มีความเสี่ยงสูงแล้ว ยังไม่นับรวมถึงการศึกษาประวัติศาสตร์ที่อาจตายได้ทุกเมื่อโดยไม่รู้ตัว เพราะยิ่งเข้าใกล้ความจริง อันตรายก็ยิ่งมาก…

การที่เรารวบรวมข้อมูลได้มากขนาดนี้ ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณ ‘แผนการ’ ของตัวตนที่ยิ่งใหญ่สองสามคน รวมถึงชะตากรรมอันซับซ้อนที่ชักนำโดยปราสาทต้นกำเนิด จนได้มีประสบการณ์ที่ชีวิตโลดโผนดังที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งที่เป็นข้ารับใช้ของเทพแท้จริง เรากลับพลาดท่าตายไปแล้วหนึ่งครั้ง นับประสาอะไรกับปราชญ์โบราณคนอื่น…

มันคงง่ายขึ้นถ้า ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ และ ‘ปราชญ์โบราณ’ สลับวิธีการสวมบทบาทกัน…แต่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า…

นอกจากนั้น สองวิธีในการสวมบทบาทที่เราเพิ่งสรุปได้ เน้นหนักที่คำว่า ‘โบราณ’ มากเกินไป ต้องสนใจคำว่า ‘ปราชญ์’ ด้วย…ต้องเรียนรู้สิ่งใดจากประวัติศาสตร์จึงจะคู่ควรกับคำว่า ‘ปราชญ์’ ?

หลังจากนี้ มีหลายทิศทางที่เราต้องมุ่งหน้าไป…อันดับแรกคือการยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเทวทูตมืด ซาสเรีย และศึกษาขั้นตอนการเกิดมหาภัยพิบัติอย่างละเอียด ถัดมา เราต้องทุ่มเวลาให้กับการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์อย่างละเอียดของยุคสมัยที่สี่เข้าด้วยกัน ไม่ใช่พึงพอใจแค่การปะติดปะต่อเหตุการณ์อย่างคร่าว…ประการที่สาม ต้องเจาะลึกประวัติศาสตร์ในบางจุด เช่นการผงาดและร่วงหล่นของตระกูลอันทีโกนัส…

หลังจากยืนยันวิธีสวมบทบาทอย่างมีประสิทธิภาพ และทิศทางที่ตนต้องเดินไปในอนาคต ไคลน์ทำการวิเคราะห์ความก้าวหน้าของพลังพิเศษที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงลวดลายศักดิ์สิทธิ์ของหนอนวิญญาณ ระหว่างการทดลอง มันอาศัยพลังทำนายและการปฏิบัติจริงเพื่อกะเกณฑ์ประสิทธิภาพของพลังใหม่อย่างแม่นยำ

ตอนนี้สามารถแบ่งหนอนวิญญาณได้มากถึงหกร้อยตัว ลวดลายศักดิ์สิทธิ์บนตัวหนอนก็มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสำแดงอำนาจในเชิงความพิสดารและสะกดข่ม…

การเปลี่ยนแปลงของลวดลายศักดิ์สิทธิ์ ปัจจัยแรกมาจากตะกอนพลัง…ปัจจัยที่สองมาจากความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับในโอสถ และไม่ได้มาจากตะกอนพลังเพียงอย่างเดียว แต่บางส่วนมาจากแหล่งข้อมูลที่มีระดับสูงกว่านั้น…หมายความว่า หลังจากกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงอย่างแท้จริง ผู้วิเศษสามารถดัดแปลงองค์ความรู้ภายในแหล่งข้อมูลระดับสูงเพื่อสร้างอิทธิพลต่อลำดับอื่นได้?

ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การ ‘เข้าใจ’ สูตรโอสถหลังจากได้เห็นลวดลายศักดิ์สิทธิ์…ถ้ามีชีวิตรอดกลับไปล่ะนะ…

นอกจากนั้น สำหรับผู้วิเศษลำดับสาม การเปลี่ยนแปลงของลวดลายศักดิ์สิทธิ์จะมีผลต่อคุณสมบัติส่วนตัว และนั่นคือกุญแจสำคัญในการสวดวิงวอนและตอบสนอง ถึงจะเป็นปราชญ์โบราณเหมือนกัน แต่พระนามเต็มอันทรงเกียรติย่อมต่างกันไปตามคุณสมบัติ ประสบการณ์ และอุปนิสัย

อา…เราสามารถใช้หนอนวิญญาณเป็น ‘ระบบตอบรับอัตโนมัติ’ เวลามีคำสวดวิงวอนที่ไม่สำคัญเข้ามา และนั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างหลัก…สำหรับบุคคลที่ทำเครื่องหมายพิเศษไว้ หรือคำสวดวิงวอนที่สำคัญมาก จะยังคงถูกส่งมายังร่างหลักเหมือนเดิม…

ปราชญ์โบราณสามารถใช้หนอนวิญญาณหลายตัวในการทำหน้าที่ ‘เทพ’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ลำดับสาม ของเส้นทางอื่นจัดการกับเรื่องนี้ยังไง? คงไม่สามารถตอบสนองตอนนอนได้หรอกกระมัง…

หึหึ…ไว้ค่อยคิดพระนามเต็มอันทรงเกียรติของปราชญ์โบราณวันหลัง…ตอนนี้ต้องศึกษาพลังใหม่ก่อน…

หืม…พลังหลักของปราชญ์โบราณคือการพึ่งพาความช่วยเหลือจากประวัติศาสตร์…แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการยืมความแข็งแกร่งมาจากอดีต…

สำหรับเราการทำแบบนั้นกับตัวเองคงมีแต่ผลเสีย เพราะตัวเราในอดีตอ่อนแอกว่าปัจจุบันมาก โดยเฉพาะช่วงที่ยังถูกแขวนอยู่เหนือบานประตูแห่งแสง ตอนนั้นเป็นแค่คนธรรมดา…เทียบกันแล้ว พลังนี้มีประโยชน์กับตัวตนที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ปัจจุบันอ่อนแอจากหลายสาเหตุ…ยกตัวอย่างเช่น ใครสักคนที่เป็นทารกขี้แยและชอบกินไอศกรีม สามารถกลายร่างและเข้าร่วมสงครามของเทวทูตลำดับหนึ่งได้อย่างแข็งแกร่งและปราศจากจุดอ่อน…ปัญหาเดียวก็คือ ผลลัพธ์คงอยู่ได้ไม่นาน…

แต่แน่นอน ถ้าเราเป็นปราชญ์โบราณนานเข้า พลังนี้จะเริ่มมีประโยชน์กับตัวเอง เพราะสามารถยืมพลังของตัวเองซึ่งเป็นปราชญ์โบราณในสภาพ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ มาสู้ได้เรื่อย ๆ แม้ว่าจะพลาดท่าจนได้รับบาดเจ็บหนัก…กล่าวคือ หากไม่ตายคาที่หรือพลังวิญญาณหมดลง เราจะไม่มีวันตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เด็ดขาด…

ใช่แล้วตราบใดที่พลังวิญญาณยังเหลือ เราสามารถยืมความแข็งแกร่งจากอดีตได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง…สำหรับพลังวิญญาณในปัจจุบัน ต่อให้ไม่มีการฟื้นฟูระหว่างต่อสู้เลย ก็ยังยืมพลังจากตัวเองในอดีตได้เกือบสิบครั้งต่อวัน…ครั้งละห้านาที…

ส่วนที่สองพลังในการเรียกภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ เป็นได้ทั้งมนุษย์และวัตถุ ยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เรามีส่วนเกี่ยวข้องและเข้าใจอย่างถ่องแท้มากเพียงใด โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมากขึ้น และคงสภาพได้นานขึ้น…

ในทำนองเดียวกัน ยิ่งระดับตัวตนของเป้าหมายต่ำ โอกาสสำเร็จก็ยิ่งสูง และยิ่งคงสภาพได้นาน…

นอกจากนั้น ยิ่งเรากับเป้าหมายใกล้ชิดกัน โอกาสสำเร็จและระยะเวลาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น…

นี่คือเงื่อนไขสามข้อที่ส่งผลต่ออัตราความสำเร็จ…นอกจากนั้น หากพยายามอัญเชิญสิ่งของหรือบุคคลที่มีระดับเหนือกว่าตัวเอง ถึงแม้จะโชคดีประสบความสำเร็จ แต่ภาพฉายที่เกิดขึ้นจะมีความแข็งแกร่งเพียงส่วนหนึ่งจากความจริง ไม่มีทางอัญเชิญร่างสมบูรณ์ออกมาได้…ในปัจจุบัน เราสามารถอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ได้พร้อมกับสูงสุดสามชนิด นับรวมกับสิ่งที่หุ่นเชิดอัญเชิญออกมา…

สำหรับตอนนี้ ต่อให้เป็นวัตถุที่เราใกล้ชิดและเคยใช้งาน แต่ก็จะคงสภาพได้นานที่สุดไม่เกินสิบห้านาที…

แนวคิดที่ว่า ยิ่งสนิทสนมกันยิ่งมีโอกาสสำเร็จสูงนั้นน่าสนใจมาก…โดยพื้นฐานแล้ว การยืมพลังจากตัวเองในอดีตก็เป็นการอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่ง แต่เนื่องจากเราสนิทกับตัวเองมาก โอกาสล้มเหลวจึงแทบไม่มี…

หรือกล่าวได้ว่า หากเราต้องการอัญเชิญตัวตนที่ยิ่งใหญ่ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ก็ควรเลือกคนที่มีความสัมพันธ์ต่อกันมานาน…ยกตัวอย่างเช่น การอัญเชิญมิสเตอร์อะซิกจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการอัญเชิญเทวทูตตนอื่น…

สิ่งนี้เรียกว่าพลังพิเศษได้หรือ? เห็นได้ชัดว่าเรายังต้องพึ่งพาทักษะทางด้านอารมณ์ มนุษยสัมพันธ์ และการสื่อสารระหว่างบุคคล!

ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน มันเชื่อโดยไม่คลางแคลงว่า พลังของปราชญ์โบราณนั้นเข้าขั้นมหัศจรรย์ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนที่อยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่แข็งแกร่งเหนือจินตนาการ

ทว่า หากต้องการสำแดงพลังอย่างเต็มประสิทธิภาพ ปราชญ์โบราณจำเป็นต้องใช้สมองให้มาก แถมยังต้องเตรียมตัวล่วงหน้า

นี่คือ ‘กฎ’ ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของเส้นทางนักทำนาย

อา…หลังจากเรียกภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ออกมา เราคงสนทนาหรือสื่อสารกับพวกเขาไม่ได้…กล่าวคือ ปราชญ์โบราณไม่มีสิทธิ์แทรกแซงประวัติศาสตร์หรือเปลี่ยนแปลงอดีต…หากมองในมุมการสวมบทบาท เราสามารถสรุปแก่นสำคัญได้ว่า ปราชญ์โบราณต้อง ‘เป็นสักขีพยานให้กับอดีต’ ‘สร้างอิทธิพลกับปัจจุบัน’ และ ‘เปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้’

สำหรับกระดาษคนตัวแทน นอกจากการโอนถ่ายโรคภัย คำสาป การโจมตี คำพยากรณ์ และการจ้องมอง มันยังมีพลังใหม่ในการ ‘ถ่ายโอนอวัยวะบางส่วนของกระดาษ’ ให้กับเป้าหมาย…สมจริงมากจนต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าเป็นของปลอม…หึหึ หากใครถูกทำลายหัวใจและรีบมาหาเรา ตราบใดที่สมองยังไม่ตาย เราสามารถมอบหัวใจกระดาษให้ จากนั้นก็ยืมความสามารถในการสูบฉีดเลือดมาจากประวัติศาสตร์…

ระยะเวลาในการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้นเหลือแค่สองวินาที และใช้เวลาเพียงสิบวินาทีในการเข้าควบคุมอย่างสมบูรณ์พร้อมกับเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด…รัศมีการใช้งานพลังคือห้าร้อยเมตร…พลังสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดเพิ่มเป็นห้ากิโลเมตร…

กระโจนไฟสามารถใช้ได้ไกลถึงห้ากิโลเมตร…สามารถใช้ปืนใหญ่อัดอากาศได้อย่างอิสระ และหากเค้นพลังเต็มที่ ความรุนแรงจะเทียบเท่าปืนใหญ่ป้องกันชายฝั่ง…

สามารถแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้โดยไม่มีขีดจำกัดด้านขนาดร่างกาย…อวัยวะจำลองบางชิ้นจะใช้งานได้จริง แต่บางชิ้นก็เป็นแค่เครื่องประดับ…

ฟู่ว…นี่คือปราชญ์โบราณที่ย่อยโอสถเกือบสมบูรณ์…สำรวจตัวเองเสร็จ ไคลน์บรรจงลุกขึ้นยืน

มันเตรียมส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก เพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของปราสาทต้นกำเนิด

…………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset