Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1143 : การพัฒนาที่สมเหตุสมผล

คงสภาพได้แค่หนึ่งนาที…ไม่น้อยไปหน่อยหรือ? ความคิดไคลน์สว่างวาบ โดยไม่มัวรีรอ มันเดินสองก้าวมาที่โต๊ะอ่านหนังสือ

ชายหนุ่มวาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ลงและนำศูนย์ ศูนย์แปด เขียนลงบนกระดาษขาว

“จอร์จที่สามจงใจใช้สุนทรพจน์เป็นเหยื่อล่อศัตรูที่ต้องการขัดขวางพิธีกรรม แต่หากทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น มันจะถือโอกาสนี้ดื่มโอสถพร้อมกับเผยไพ่ตายในการเถลิงบัลลังก์เทพของตน ถึงแม้อนาคตจะไม่แน่นอนและมากด้วยตัวแปร ส่งผลให้พิธีกรรมในคราวนี้ยังไม่ปลอดภัยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การเตรียมตัวในปัจจุบันก็สมบูรณ์แบบและเหมาะสมเพียงพอแล้ว…”

“ทุกสิ่งพัฒนาไปอย่างสมเหตุสมผล”

หลังจากเขียนประโยคสุดท้าย ไคลน์เตรียมอ่านทวนเนื้อหาเพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาด แต่ปากกาขนนกสีเข้มในมือกลับสลายไปอย่างเงียบเชียบประหนึ่งไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

และดูเหมือนว่าเนื้อหาสั้น ๆ ที่เขียนลงไปไม่กี่ประโยค จะดูดกลืนพลังงานของไคลน์ไปจนเกือบหมด ศีรษะชายหนุ่มวิงเวียนจนซวนเซสองสามก้าวและนั่งลงบนเก้าอี้

ไม่สมเหตุสมผลเลย…ทำไมอินซ์ แซงวิลล์ถึงเขียนได้โดยไม่เหนื่อย…คงเป็นเพราะเราฝืนใช้ศูนย์ ศูนย์แปด เขียนเรื่องราวโดยที่ไม่ยอมปล่อยให้มันเขียนเอง พลังวิญญาณจึงถูกดูดกลืนจากร่างกายเราโดยตรง…แต่กับอินซ์ แซงวิลล์ หมอนั่นคงเจรจาขอความร่วมมือ ส่งผลให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของตัวเองทั้งหมด…ไคลน์หลับตาสนิท เข้าฌานสักพักจนอาการเริ่มดีขึ้น

ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ไคลน์ที่ไม่เคยสัมผัสกับศูนย์ ศูนย์แปด มาก่อน และเคยเห็นกับตาแค่ครั้งเดียว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะอัญเชิญสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ชิ้นนี้ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ แต่เมื่อครู่ มันได้รับพรโชคดีจากอสรพิษแห่งชะตา แถมยังมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ซึ่งถูกทิ้งไว้โดยมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล ด้านในหนังสือเล่มนี้มีเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด ซ่อนอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับศูนย์ ศูนย์แปดย่อมไม่ธรรมดาและหากไม่ถูกก่อกวนด้วยพลังระดับสูง พวกมันคงได้กลับมาอยู่ด้วยกันไปนานแล้ว

ในตอนแรกไคลน์ไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์เชิงโชคชะตาผ่านสื่อกลางเช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จหรือไม่ มันแค่พยายามอย่างสุดความสามารถและลองทำทุกวิธีที่นึกออก และผลลัพธ์ก็เหนือความคาดหมาย

นั่นคือเหตุผลที่ไคลน์ไม่กล้าใช้ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นกระดาษสำหรับเขียนด้วยศูนย์ ศูนย์แปด ไม่แม้แต่จะนำมาวางใกล้กัน ด้วยเกรงว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ที่ตนไม่สามารถรับมือ

ที่นี่คือเบ็คลันด์ซึ่งมีปริมาณประชากรหนาแน่มาก!

แต่พิจารณาตามหลักเหตุและผล เราคิดว่าไม่น่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เนื่องจากศูนย์ ศูนย์แปดเป็นเพียงภาพฉายทางประวัติศาสตร์ เป็นของปลอม และ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ก็ถูกสร้างจากจินตนาการของมังกรจินตภาพ เรียกว่าเป็นของปลอมเช่นกัน เมื่อของปลอมมาเจอกัน มันก็ไม่น่าจะเกิดผลลัพธ์ใด เพราะปราศจากต้นกำเนิดความมหัศจรรย์อย่างตะกอนพลังทั้งคู่…ไว้ค่อยทดสอบเรื่องนี้วันหลังบนเกาะแนวปะการัง…ไคลน์ลูบหน้าผาก ยืนขึ้นและเดินกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ ทบทวนเนื้อหาที่ตัวเองเขียนลงไป

มันไม่ได้เขียนโดยตรงว่า จอร์จที่สามเลื่อนลำดับล้มเหลวและตายคาที่ เพราะเชื่อว่าเทวทูตลำดับหนึ่ง ไม่น่าจะได้รับอิทธิพลที่รุนแรงระดับนั้นจากฝีมือของศูนย์ ศูนย์แปดปลอมจึงทำได้เพียงสร้างอิทธิพลทางอ้อมที่สมเหตุสมผล

ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังของจอร์จที่สามยังมีสมาคมแปรจิตและพี่ชายอามุนด์ การสร้างอิทธิพลที่ชัดเจนเกินไปจะทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น ไคลน์ต้องเลี่ยงความชัดเจนและลงมืออย่างรัดกุมแทน

หวังว่าจะได้ผลนะ…จ้องมองสักพัก ไคลน์พับกระดาษและยัดลงในกระเป๋าเสื้อ

จากนั้น มันสังเวย ‘การเดินทางของกรอซาย’ กลับเข้าสู่มิติหมอก

จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์เริ่มทบทวนปัญหาถัดไปของตัวเอง นั่นคือ มันควรจะออกไปซื้อไอศกรีมให้ทารกตอนไหน?

ในกรุงเบ็คลันด์มีซาราธ และน่าจะมีอามุนด์ด้วยเช่นกัน การออกไปเตร็ดเตร่บ่อยครั้งอาจทำให้เดินสวนกันโดยบังเอิญ ซึ่งนั่นอันตรายมาก…ดึงไอศกรีมออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์? สิ่งนี้จะหายไปในสิบห้านาที…นอกจากอร่อยแล้ว ยังไม่อ้วนด้วย ของกินในฝันเลย…ไคลน์พึมพำ

ท้ายที่สุด มันตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกจากบ้าน เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษาสัญญา!

เช้าวันเสาร์ ท้องฟ้าเป็นสีเทาหม่น มีหมอกหนา บรรยากาศทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่โดยไม่มีเหตุผล

นี่คือสภาพอากาศทั่วไปในฤดูหนาวจัดของกรุงเบ็คลันด์ แม้จะไม่มีหมอกควันหนาทึบและกลิ่นเหม็นเหมือนกับปีที่แล้ว แต่ในเชิงภูมิศาสตร์ สภาพอากาศเป็นเรื่องของสถานที่ตั้ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญฤดูกาลแบบเดิมตลอดทุกปี นอกจากนั้น ผู้คนเพิ่งตื่นตัวกับการรักษาสภาพแวดล้อม ไม่ใช่สิ่งที่จะประกาศชัยชนะได้ในหนึ่งถึงสองปี

เมลิสซ่าซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำยาวคลุมเข่า กระโปรงยาว สวมหมวกที่มีตาข่ายคลุมหน้าสีดำ เร่งฝีเท้าเดินไปทางประตู

เบ็นสันหยิบหมวกทรงสูงพลางส่ายหน้าให้กับสิ่งที่เห็น

“เด็กผู้หญิงที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ ไม่ควรแต่งตัวให้ดูแก่และเชยขนาดนี้…เข้าใจไหม? เชยมาก!”

เมลิสซ่าชำเลืองพี่ชายด้วยหางตา ตอบเสียงเย็น

“ราคาขนมปังเพิ่มขึ้นอีก ศูนย์จุดสองห้า เพนนีต่อน้ำหนักหนึ่งปอนด์”

“ให้ตายสิ…” เบ็นสันถอนหายใจ

มันหยิบนาฬิกาพกสีเงินที่มีลวดลายใบองุ่นออกมาตรวจสอบ

“ไปกันเถอะ ระยะทางจากที่นี่ไปถึงจัตุรัสเทศบาลค่อนข้างไกล”

เมลิสซ่าอืมในลำคอ เดินตามพี่ชายออกไปที่ถนน

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนายแดเนียล” หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าว เบ็นสันที่เห็นเพื่อนบ้านเตรียมออกเดินทาง หันไปกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

มันเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี ปัจจุบันสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนบ้านละแวกในใกล้เคียงครบหมดแล้ว

สตรีที่ถูกเรียกว่าคุณนายแดเนียลมีอายุราวสี่สิบ แต่งกายด้วยเดรสสีดำล้วน ใบหน้าที่ผอมเพรียวถูกคลุมด้วยตาข่ายสีดำที่ห้อยจากหมวก เมื่อได้ยินคำทักทาย เธอหันมาพยักหน้าให้และตอบกระชับ

“อรุณสวัสดิ์ สองพี่น้อง”

เธอไม่ทักทายจิปาถะตามมารยาท เพียงจากไปอย่างเย็นชา

เบ็นสันจ้องมองแผ่นหลังสตรีคนดังกล่าวสักพัก ความเร็วในการเดินลดลง จนกระทั่งรักษาระยะห่าง จึงหันไปพูดกับน้องสาว

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณนายแดเนียล? ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไม่ได้แวะไปหาเพื่อนบ้านสักพักใหญ่แล้ว”

เมลิสซ่าเม้มปาก

“ลาร์รี่ บุตรชายคนโตของคุณนายแดเนียล ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตในสมรภูมิเทือกเขาอมานด้า…ข่าวมาถึงเมื่อวาน”

“เด็กหนุ่มที่ตัวสูง ขี้อาย จิตใจดีและจริงใจคนนั้นน่ะหรือ? ครั้งก่อนที่กลับมาเยี่ยม เขาเพิ่งเล่าว่าถูกเลื่อนยศเป็นร้อยโท…” เบ็นสันเล่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เมลิสซ่าพยักหน้า

“ไม่คิดเลยว่าลาร์รี่คนนั้นจะด่วนจากไปไว…”

ชวนให้เธอนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกระเบิดตายไปต่อหน้าต่อตาในวันเกิดเหตุ

สิ่งที่เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาที กลับทำให้ใครบางคนพูดไม่ได้ หรืออ่านหนังสือไม่ได้ไปตลอดชีวิต

เบ็นสันเงียบงันสักพัก ถอนหายใจยาว

“ช่วงนี้ฉันกำลังยุ่งมาก งานส่วนใหญ่เป็นการจัดสรรเงินชดเชยให้เหยื่อ…รายชื่อส่วนหนึ่งที่อยู่ในมือฉันไม่มีลาร์รี่ ก็เลยไม่ทราบเรื่องนี้…ข้อมูลที่ถูกส่งมาค่อนข้างลงลึกในรายละเอียด…ผู้สูญเสียบางคนร่าเริง กระตือรือร้น บางคนมีอารมณ์ขัน บางคนเป็นลูกคนเดียวของบ้าน บางคนขยันหมั่นเพียรและเป็นผู้นำของกลุ่มทหารรอบตัว บางคนเพิ่งแต่งงานแต่ยังไม่มีลูก บางคนลูกยังเล็ก บางคนกำลังเตรียมของขวัญให้ลูกสาวและบางคนพกจดหมายรักไว้กับตัว คิดจะรอให้สงครามจบลงก่อนค่อยนำไปส่งไปรษณีย์…แต่ทุกคนตายหมด”

เมลิสซ่าและเบ็นสันเงียบไปนาน ไม่มีใครกล่าวคำใดออกมา

เมื่อใกล้ถึงทางแยก เมลิสซ่ามองไปที่ถนนข้างหน้าและกล่าวเสียงเรียบ

“นายคิดว่าวันนี้ฝ่าบาทจะกล่าวสุนทรพจน์แบบไหน?”

“อาจมาเกณฑ์คนไปรบเพิ่ม หรือไม่ก็ปลุกใจและชวนให้เชื่อว่าพวกเรากำลังคว้าชัยชนะ” เบ็นสันตอบโดยไม่มองหน้า

เมลิสซ่าเหลือบไปมองพี่ชาย

“ตอบแบบนี้ไม่สมเป็นนายเลย เบ็นสัน…ไม่ใช่ว่าต้องจิกกัดหรือล้อเลียนพวกเขาหรือ?”

“การล้อเลียนจะเกิดขึ้นหลังจากฟังสุนทรพจน์จบ เมื่อเข้าใจเนื้อหาและแก่นสารอย่างถ่องแท้ การล้อเล่นจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด…หลักพื้นฐานในการดำรงชีวิตก็คือ ไม่ควรแสดงความเห็นในสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือยังไม่รู้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับลิงบาบูนขนหยิก” เบ็นสันยิ้ม

ขณะเดียวกัน มันเห็นเพื่อนบ้านอีกหนึ่งคน

อีกฝ่ายมีผมหงอกขาว ใบหน้ากว่าครึ่งถูกปกปิดด้วยผ้าพันคอ สวมเสื้อนอกตัวหนา ถือถุงผ้าในมือ เดินผ่านสองพี่น้องไปอย่างรวดเร็ว

“มิสเตอร์โทมัสแต่งตัวแปลกมาก…เขากำลังจะไปไหน?” เบ็นสันถามขณะหันไปมองแผ่นหลังอีกฝ่าย

เมลิสซ่าตอนเสียงแผ่ว

“คุณนายโทมัสป่วย ทำให้เงินเก็บของครอบครัวเหลือน้อย ประกอบกับการที่ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นโดยที่รายรับของมิสเตอร์โทมัสยังเท่าเดิม เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากไปต่อแถวรับบริจาคอาหารทุกสองสามวัน…เขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมาตลอด คงไม่อยากให้ใครจำหน้าได้…นอกจากนั้น อาหารที่จุดบริการยังมีจำกัด ถ้าไปสายก็ไม่ได้กิน ต้องไปที่วิหาร โรงทำงาน หรือที่อื่นเพื่อขอเพิ่ม…ได้ยินว่าจะมีการแจกอาหารหลังจบสุนทรพจน์ของฝ่าบาทในวันนี้ บางทีเขาคงรีบไปที่นั่นให้ทัน”

เบ็นสันพยักหน้าเชื่องช้า

“คุณนายโทมัสป่วยเป็นอะไร? ฉันพอจะรู้จักหมอเก่ง ๆ อยู่บ้าง”

“โรควิตกกังวล” เมลิสซ่าเล่าในสิ่งที่ได้ยินมา “คุณนายโทมัสเป็นห่วงลูกชายคนสุดท้องที่เพิ่งถูกส่งไปแนวรบ”

“โทมัสจูเนียร์?” เบ็นสันขมวดคิ้ว

หลังจากฟังคำตอบจากน้องสาว มันเงียบไปพักใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิด

ผ่านไปสักพัก เมื่อเข้าใกล้จัตุรัสเทศบาล เบ็นสันมองตรงไปและหรี่เสียงพูด

“โทมัสจูเนียร์ตายแล้ว…”

“…” เมลิสซ่าไม่ตอบสนอง สีหน้าค่อนไปทางแข็งทื่อ

พวกมันเดินตรงไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความเงียบ

ยิ่งตรงเข้าไปก็ยิ่งพบเจอผู้คนมากขึ้น บ้างแต่งกายด้วยชุดสุภาพ ถือไม้เท้าเหมือนกับสุภาพบุรุษ บ้างแต่งกายด้วยกระโปรงสีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง บ้างแต่งกายด้วยเสื้อกันหนาว เสื้อคลุม และกางเกงขายาว บ้างแต่งกายในชุดสีดำโทนหม่น

พวกมันทยอยออกจากบ้านผ่านถนนที่อาศัย ดูคล้ายกับหยดน้ำที่ค่อย ๆ มารวมกลุ่มกันจนเป็นลำธารบริเวณทางแยก

กระแสน้ำยังคงไหลต่อไป ลำธารหลายสายได้ไหลเข้ามาบรรจบกันที่ทางเข้าจัตุรัสจนกลายเป็นแม่น้ำ

ยิ่งเวลาผ่านไป สายน้ำก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาในจัตุรัสอย่างท่วมท้น

ท่ามกลางกระแสสายธารของผู้คน เมลิสซ่ารู้สึกลีบเล็กราวกับเป็นเพียงน้ำหนึ่งหยด

…………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset